บางที ยิ่งเซ็ง ก็ ยิ่งซวยนะ ...ขอบอก

บางที ยิ่งเซ็ง ก็ ยิ่งซวยนะ ...ขอบอก



ช่วงนี้เห็นรังสีความเบื่อหน่ายฉาบหน้า เห็นความเซ็งทะลักล้นผ่านแววตา ของผู้คนเยอะมาก จากการสนทนาได้บทสรุปว่า
 
ปัจจัยหนึ่งมากจากการเงินง่อนแง่น ซึ่งก็ต่อยอดมาจากการงานที่เงอะๆงะๆ ด้วยขาดทุนหมุนเวียน และทุกคนก็ฟันธงตรงกันว่า มันมาจากการเมือง "ฉันเบื่อการเมือง" ๆๆๆๆๆ จึงเป็นคำที่หลายคนระเบิด ระบายออกปากมากเหลือเกิน

ก็ได้แต่ต้องบอกพี่น้องว่า..
.ยิ่งเบื่อ ก็ยิ่งบ่น ยิ่งบ่น คนก็ยิ่งน่าเบื่อ ยิ่งเซ็ง ก็ยิ่งซวย ยิ่งซวย คนก็ยิ่งเซ็ง
ความเบื่อความเซ็งนั้นไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น และจะไม่ซวยได้อย่างไร ในขณะใจเซ็งอยู่ สติ ปัญญา ไม่ทำงาน อารมณ์ชาด้าน และพร้อมจะหงุดหงิดงี่เง่าเอาได้ง่ายๆ
คิดดูเองก็แล้วกันว่า คนผู้หนึ่ง หากพูดหรือกระทำ หรือสัมผัสสัมพันธ์กับใครอยู่ แต่ปราศจาก สติ ปัญญา มีอารมณ์เอาแน่ไม่ได้นำหน้า จะเรตติ้งตกขนาดไหน จะโง่เง่า งุ่นง่าน ไร้การประมาณความเหมาะสมขนาดไหน ...แล้วอย่างนี้จะไม่ซวยได้อย่างไร?

โดยจริง เซ็ง...นั้นไม่ได้มีสาเหตุมาจากการเมืองที่ยังไม่จบ หรือการงานอืดอาด การเงินอ่อยเอื่อย...ไม่ใช่ นั่นเป็นเพียงปัจจัย แต่มาจากจิต จิตที่ซังกะตาย ไม่อยากทำความเข้าใจกับเรื่องที่รับรู้ ที่เจออยู่ และซังกะตายนี้ ก็มาจาก ความถดถอยท้อแท้ หรือจิตหดกลับ จากเรื่องที่เจอ คือเพียงเจอ ก็ปฏิเสธ ไม่เอา ไม่เกี่ยว ไม่ยุ่ง ไม่ชอบๆๆ คนเราเมื่อจิตหดหรือถดถอยมากๆ ก็ซังกะตาย จากนั้นก็เซ็ง หากเซ็งมากๆก็ซึม และเศร้าโศกสืบต่อไป

รู้เถอะ...โศก เศร้า ซึม เซ็ง ซังกะตาย ถดถอยท้อแท้ เหล่านี้มีแต่จะเรียกร้องความซวยมาสู่ โดยราก มันมาจาก อรติสะสม สะสมความไม่ยินดีใส่จิตทีละนิดทีละน้อย ยามกระทบพบเจอเรื่องต่างๆ และอาการเช่นนี้หากปล่อยไว้นาน ไม่บ้าก็ฆ่าตัวตาย ซึ่งจากงานวิจัยสาเหตุการฆ่าตัวตายเมื่อสองปีก่อน ก็ยืนยันว่า โรคซึมเศร้า เป็นสาเหตุอันดับท๊อป ...
ยืนยันกับพี่น้องว่า ยาเม็ด ยาดื่ม ยาทาแก้ปัญหาซึมเศร้าไม่ได้...

พระพุทธองค์ตรัสสอนพวกเราชาวพุทธว่า ธรรมใดเกิดแต่เหตุ เราตถาคตสอนให้รู้เหตุและละเหตุแห่งธรรมนั้น
ดังนั้น...หากจะปลิดทิ้งความซึมเศร้า หรือบอกลาความเบื่อ ความเซ็ง ก็ต้องละอาการไม่ยินดี เมื่อกระทบพบเจอกับเรื่องต่างๆ ซึ่งตรงนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป หากใจยอมรับ การรู้ตามจริง ยิ่งกว่าการหลงตามใจ หรือหมายให้ใดๆเป็นไปดั่งใจตน

มีหลายคนบ่นว่า
 
ทำไมคนไทยไม่สามัคคีๆ และก็พร่ำหาสามัคคีจากคนเหล่าอื่น เหมือนนางกวักเรียกหาลูกค้าตามตลาดสดปานนั้น เช่นนี้ยืนยันเลยว่า
จะมีเรื่องให้เบื่อ เซ็ง ซึม เศร้า กับสถานการณ์สังคมไปอีกนาน เพราะมันเป็นความปรารถนาที่ผิดสัจจะ
โดยสัจจะ... แตกแยกในโลกเป็นเรื่องธรรมดา สามัคคีทั่วหล้า เป็นอุดมคติ


หากยอมรับความจริงนี้ จะไม่แปลกใจกับการแตกแยกเป็นมุมเหลือง มุมแดง จะเห็นว่าถูกแล้ว อย่างนี้แหละ...โลก

อีกอย่าง...ธรรมดาโลกมีสองฝั่ง คือ
 
อิฐารมณ์(เรื่องชวนอารมณ์ดี) กับ อนิฏฐารมณ์(เรื่องชวนอารมณ์เสีย) หรือมีรวย มีจน มีคนยกให้ มีคนขับไล่ มีคนสรรเสริญ มีคนส่อเสียด มีสุขสม มีทุกข์โศก เป็นโลกธรรม หรือธรรมคู่โลก ฉะนั้นหากเจอใครหรือแม้ตน จะรวย หรือจน จะมีคนยกไว้ให้ค่า หรือมีคนขับไล่ไม่ชอบใจ มีคนนินทาหมั่นไส้ มีคนสรรเสริญเอาใจ แม้สุข หรือทุกข์จะเกิดดับสลับกันไปในชีวิต ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่โลกต้องมีอย่างนี้ ไม่เคยมีใครเปี่ยมสุขเต็มสิบ สุขเสมอต้นเสมอปลาย ... ไม่มี
การเข้าใจ ยอมรับ...ธรรมคู่โลกเหล่านี้ ทำให้จิตไม่ดิ้น ไม่ซังกะตาย ไม่ตีโพยโวยวาย ร้องให้เหมือนเด็กต๊องสูญเสียตุ๊กตา เมื่อเจอ อนิฏฐารมย์ และไม่เริงรื่นครึกครื้นเกินการณ์ เหมือนจิ๊กโก๋เห็นกลอง
เมื่อเจอ อิฏฐารมย์
ยิ่งเข้าใจว่า ทั้งเรา ทั้งโลก ทุกเรื่อง ล้วนขึ้นตรงต่อกฏไตรลักษณ์ คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
สมใจ เสียใจ อันใดเกิดมาก็ไม่เที่ยง และทุกข์ก็เป็นเรื่องจริงแท้


แม้พระพุทธองค์ ก็ยืนยันว่า
 
ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นอกจากทุกข์แล้วไม่มีอะไร...ดังนั้นหากบอกว่าโลกนี้เป็นลานทุกข์ระทม ชีวิตที่จมอยู่กับโลก จะต้องเจอทุกข์...ก็ถูกแล้ว เพียงเข้าใจว่า ถูกแล้ว ธรรมดาเป็นอย่างนี้ เบื่อ เซ็งจะหายไปทันที และใดๆล้วนเป็นอนัตตา คือไม่เป็นตน แม้ตนก็ยังไม่ใช่ตน นอกจากใจหลงสำคัญมั่นหมายว่าตนเป็นไปต่างๆนาๆ ความรู้สึกว่า เราเป็นอัตตาจึงมีอยู่... ไตรลักษณ์เหล่านี้ หากผู้ใดเรียนรู้ด้วยสติ กระทั่งใจสัมผัสชัด เซ็งจะคลาย เบื่อจะหายเป็นปลิดทิ้ง

มีอยู่...บางคน เหนื่อยหน่ายในการงาน ในการหาเลี้ยงครอบครัว แล้วก็เซ็งๆๆๆ บอกพี่น้อง ในการงานการหาเลี้ยงชีวิต หากไม่ทำกิจด้วยจำนน ไม่ตระหนักว่าเป็นหน้าที่ แต่ด้วยเจตนาบำเพ็ญบารมี... เบื่อเซ็งไม่เกิด ด้วยรู้สึกว่าเราได้...ได้สะสมบุญสะสมบารมี

คนที่ทำกิจด้วยจำนน เป็นคนไม่หาญกล้า ไม่มีสติปัญญา เพียงกล้า และขยับ จะเห็นทางที่ไม่ต้องจำนน

คนที่ทำกิจด้วยตระหนักว่าเป็นหน้าที่ ส่วนหนึ่งของใจมักรอคอย เมื่อไรหนอฉันจะหมดหน้าที่ซะที อย่างนี้พลังไม่เต็มร้อย ฉันทะไม่เต็มที่ สุขไม่มี


คนที่ทำกิจด้วยเจตนาสะสมบารมี ...ทำไปใจก็เบา เมื่อได้ทรัพย์มาแม้ต้องให้ครอบครัว ก็เข้าใจใหม่ว่า นั่นคือการบำเพ็ญทานบารมี เมื่ออยู่ร่วมแล้วไม่ราบรื่น นั่นก็เป็นที่ตั้งของการบำเพ็ญขันติบารมี วิริยะบารมี เมตตาบารมี ปัญญาบารมี อาศัยครอบครัวนี่แหละเป็นที่สะสมบุญ เพียงรู้สึกว่าได้ทำบุญ เบื่อก็จะหาย เซ็งซังกะตาย ก็จะลาจาก เพราะสารสุขไล่ส่ง
บอกพี่น้อง...อารมณ์ไม่เบื่อหน่าย ซึมเซ็ง ร่างกายไม่เป็นมะเร็งได้ง่ายๆ ทำอารมณ์ให้สบาย ทำตัวให้ดี ไม่มีความรู้สึกเป็นลบเป็นร้าย...อยู่สุข อยู่สบาย...แน่นอน
ที่มา : Roidaoดอทคอม
จาก dhammathai

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์