ประสบการณ์!!จากเด็กจบแค่ม.6 สู่อาชีพแอร์โฮสเตสที่สาวๆใฝ่ฝัน!!


เป็นอีกหนึ่งกระทู้ที่สร้างแรงบันดาลใจดีๆให้กับคนที่มีความฝันได้เป็นอย่างมากเมื่อมีคนมาตั้งกระทู้ในเว็บพันทิปดอทคอมชื่อกระทู้ว่า "จากเด็กผู้หญิงที่จบแค่ม.6 สู่อาชีพแอร์โฮสเตสที่ผู้หญิงหลายๆคนใฝ่ฝัน" เจ้าของกระทู้คือ MarshmallowCandy โดยเรื่องทั้งหมดระบุว่า...

สวัสดีค่ะ หลังจากที่เคยตั้งกระทู้เกี่ยวกับประสบการณ์การสมัครแอร์โฮสเตสของสายการบินEmirates ไปเมื่อไม่กี่เดือนที่แล้ว วันนี้เราอยากจะมาเล่าประสบการณ์การสมัครแอร์ตั้งแต่สายแรกจนมาถึงสายปัจจุบันให้ได้อ่านกัน เผื่อจะเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่รู้สึกท้อกับการสมัครแอร์ได้ลองกลับมาฮึดสู้กันดูอีกครั้ง หรือแม้กระทั่งคนที่กำลังท้อหรือผิดหวังในชีวิต เผื่อได้อ่านเรื่องราวของเราแล้วจะมีกำลังใจในการทำสิ่งที่หวังให้สำเร็จนะคะ ^^ (แท็กผิดแท็กถูกขออภัยค่ะ -/|-)


1.จุดเริ่มต้น

จุดเริ่มต้นที่อยากเป็นแอร์ ก็แน่นอนค่ะ ถามร้อยทั้งร้อยต้องตอบว่าเป็นความฝันตั้งแต่เด็ก 555 แต่มันเป็นแบบนั้นจริงๆนะ ตอนเด็กๆเราขึ้นเครื่องบินบ่อย เห็นแอร์เค้าแต่งตัวสวย เดินสวย ยิ้มสวย ทำอะไรก็ดูดีไปหมดเลย ได้ไปเที่ยวต่างประเทศด้วย ได้ยินมาว่าเงินดีอีก แบบโหววว อะไรมันจะดีแบบนี้ ก็คิดอยากเป็นแอร์ตั้งแต่นั้นค่ะ มีไขว้เขวอยากเป็นหมอ เป็นนักการทูต เป็นสถาปนิกอะไรบ้างตามช่วงวัย 555 แต่พอได้ขึ้นเครื่องบินทีไร ความอยากเป็นแอร์มันกลับมาทุกทีเลยค่ะ กะว่าเรียนจบปริญญาตรีแล้ว ถ้าไม่ทำงานตามสายที่เรียนมา ก็คงเป็นแอร์นี่แหละ

แต่จุดพลิกผันมันอยู่ตรงที่เราเรียนไม่จบป.ตรีค่ะ ตอนเรียนอยู่ปี3เราต้องลาออกจากมหาวิทยาลัยกะทันหันเพราะคุณแม่กำลังจะเปิดร้านอาหารที่อเมริกา เปิดคนเดียวค่ะ ไม่มีลูกมือเลย ท่านเลยอยากให้เราไปช่วยเพราะแม่ทำคนเดียวไม่ไหว แม่ทำอาหารเก่ง ทำบัญชีได้ แต่ไม่เก่งเรื่องการโปรโมทร้านหรือการทำประชาสัมพันธ์ (ซึ่งมันก็สำคัญสำหรับการทำธุรกิจ) แล้วเราเรียนด้านนี้มาพอดีเราเลยยิ่งอยากไปช่วยแม่ค่ะ ตัวเราเองก็มีกรีนการ์ด แต่เพราะเราอยู่นอกอเมริกาเกิน1ปีก็เลยต้องทำเรื่องที่สถานทูตเพื่อไม่ให้กรีนการ์ดมันขาด แล้วที่เราต้องลาออกก็เพื่อต้องนำใบไปยืนยันกับสถานทูตว่าเราลาออกจากมหาวิทยาลัยที่ไทยแล้วจริงๆนะ เราจะไปอยู่ที่โน่นแล้วจริงๆ (ถ้าเข้าไปดูในประวัติการตั้งกระทู้ของเรา จะเห็นได้ว่ามีแต่กระทู้ถามเรื่องกรีนการ์ดและกระทู้เรียนแบบออนไลน์ 555) แต่สุดท้ายการไปทำเรื่องที่สถานทูตก็ไม่สำเร็จค่ะ สถานทูตไม่ให้ผ่าน เคว้งคว้างมากตอนนั้น จะให้กลับไปนั่งเรียนที่มหาวิทยาลัยก็ไม่อยากแล้ว คือจริงๆแล้วตอนขึ้นปี2เราย้ายคณะค่ะ เลยต้องเรียนปี1ใหม่ แล้วตอนปี3ที่ลาออกมาก็อายุ21แล้ว จริงๆเราต้องจบปี4แล้วด้วยซ้ำ เพื่อนๆรุ่นเดียวกันก็ฝึกงาน จะทำงานกันอยู่แล้ว เราเลยมีความคิดว่าเราอยากทำงานแล้ว (ความคิดตอนนั้นคือ เอาจริงๆเราเรียนครบ4ปีแล้วด้วยซ้ำนะ แค่ไม่ได้ใบปริญญาแค่นั้นเอง) เลยบอกที่บ้านว่า ไหนๆก็ไปเมกาไม่ได้แล้ว เรื่องเรียนก็ปลงแล้ว ขอทำงานเลยแล้วกันนะ แล้วตอนนั้นเลื่อนเฟสบุ้คเล่นๆ เจอว่าสายการบิน Swiss air มารับสมัครลูกเรือหลังจากที่ไม่ได้มารับหลายปี อยู่ดีๆก็อยากลองสมัครเฉยเลยอ่ะ แต่ติดตรงที่ว่าเค้ารับวุฒิป.ตรีนี่สิ อีกทั้งตอนนั้นเราไม่มีข้อมูลอะไรเลยว่าสมัครแอร์ต้องทำไงบ้าง เตรียมตัวอะไรบ้าง ก็เลยอ่ะ โอเค ไว้ก่อนแล้วกัน แต่เดี๋ยวเราเจอกันแน่อาชีพนี้ ขอเวลาเตรียมตัวแป๊บ 5555



ประสบการณ์!!จากเด็กจบแค่ม.6 สู่อาชีพแอร์โฮสเตสที่สาวๆใฝ่ฝัน!!


2.เตรียมตัวสมัครแอร์

หาข้อมูลไปมาก็พบว่าการสมัครแอร์นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลยนะ ทุกอย่างมันดูจริงจังและลงทุนมาก ต้องสอบโทอิค ค่าสอบก็ตั้ง1,500 บาท ถ้าสอบได้คะแนนไม่ถึงที่สายการบินกำหนดก็ต้องมาสอบใหม่อีก แล้วยังต้องมีถ่ายรูปสมัครแอร์ซึ่งก็มีสตูดิโอสำหรับถ่ายรูปสมัครแอร์โดยเฉพาะ แล้วต้องเอารูปแบบไหนบ้างล่ะ Business attire? Casual style? พื้นหลังฟ้า? พื้นหลังขาว? โหยย เยอะแยะไปหมด ชุดเค้าก็ต้องตัดกันเหรอ? ชุดละหลายพันเลย อ่ะ ตัดก็ตัด เพราะรู้สึกว่าชุดสมัครแอร์มันคงไม่ใช่ชุดอะไรก็ได้เหมือนไปสมัครงานอื่นๆ คงต้องเนี๊ยบ ดูเป็นผู้ใหญ่ ดูProfessional ให้เค้าเห็นว่าเราเหมาะที่จะใส่ยูนิฟอร์มของเค้า หมดค่าใช้จ่ายไปเยอะมากค่ะตอนนั้น โชคดีที่คุณพ่อสนับสนุน อยากทำอะไรก็ทำเลยเต็มที่ แล้วด้วยความที่ตอนนั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับการสมัครแอร์ ก็เปิดไปเจอเพจนึงที่เค้าเปิดสอนคอร์สเตรียมแอร์พื้นฐานแบบวันเดียว คือไปให้รู้ว่าการสมัครแอร์ต้องทำยังไงบ้าง,เรซูเม่ต้องเขียนยังไง,บุคลิกเราควรเป็นแบบไหน เรียนแค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่ก็ทำให้เราพอได้ไอเดียกลับมาต่อยอดเองว่า เราคิดว่าเราเป็นคนยังไง เหมาะกับสายการบินไหน แล้วเราต้องพัฒนาอะไรเพิ่มบ้าง ก็กลับมาฝึกอ่านหนังสือโทอิค ลองทำแบบข้อสอบโทอิคดูเป็นอาทิตย์เลย ไปสอบครั้งแรกผลออกมาก็น่าพอใจค่ะ ได้7xxคะแนน ไม่ได้เยอะมาก แต่ก็ไม่ได้น้อยสำหรับการเตรียมตัวเอง เท่านี้ก็ไปได้หลายสายแล้ว ชุดก็ได้แล้ว รูปถ่ายก็มีแล้ว เอกสารพื้นฐานต่างๆที่ต้องใช้ก็มีครบ การเตรียมตัวขั้นตอนแรกถือว่าเสร็จเรียบร้อยค่ะ


3.สร้างProfileให้ตัวเอง

แน่นอนว่าอาชีพนี้นอกจากเรื่องของความปลอดภัยแล้ว เรื่องการบริการก็เป็นหน้าที่หลักของลูกเรือเช่นกัน หลายๆสายการบินก็เลยจะชอบคนที่มีประสบการณ์ด้านการทำงานบริการ เค้าจะได้รู้ว่าเราจะรับมือกับปัญหาของลูกค้าได้มั้ย มีใจบริการมากแค่ไหน เคยทำอะไรให้ลูกค้าประทับใจบ้างรึเปล่า ซึ่งเราเองก็พอมีประสบการณ์ด้านนี้มาบ้างเพราะก่อนที่กรีนการ์ดจะโดนตัดก็เคยไปหาแม่ที่อเมริกาแล้วก็ทำงานในร้านอาหารไทย แต่รู้สึกว่ามันไม่พอ มันยังไม่น่าสนใจ เลยคิดจะไปเป็นอาสาสมัครสอนหนังสือคนตาบอดค่ะ เราคิดว่างานอาสาสมัครมันเป็นงานที่น่าสนใจ พูดกันตรงๆเลยว่ามันทำให้ดูเป็นคนจิตใจดีขึ้นมาเลย 55 พอได้ลองไปทำแล้วมันรู้สึกดีจริงๆนะคะ เหมือนเราสอนการบ้านน้องหรือหลานอะไรแบบนี้ แค่ต่างกันที่เค้ามองไม่เห็น และเราก็ต้องทำให้เค้า แต่ทำไปด้วยก็อธิบายไปด้วยให้เค้าเข้าใจ มันก็สนุกตรงที่เค้าอ่านไม่ได้ มองไม่เห็น เราก็ต้องมีเทคนิคในการอธิบายให้เค้าจินตนาการภาพในหัวไปได้ สนุกมากค่ะ ตอนนี้ก็เสียดายที่ไม่ได้อยู่ไทยแล้วก็เลยไม่ค่อยได้ไปเลย หลังจากนั้นก็มีงานอาสาสมัครอื่นอีกเพื่อเอามาใส่ในเรซูเม่ พอในเรซูเม่มีประสบการณ์การทำงานสวยๆแล้วก็เริ่มสมัครโลดค่ะ


ประสบการณ์!!จากเด็กจบแค่ม.6 สู่อาชีพแอร์โฮสเตสที่สาวๆใฝ่ฝัน!!


4.ตามหาสายการบินที่เหมาะกับเรา

ไม่ใช่ว่าหาว่าสายการบินไหนได้เงินเยอะตรงกับความต้องการของเรานะคะ หาสายการบินที่เหมาะกับเราในที่นี้คือคุณสมบัติเราสามารถสมัครสายการบินไหนได้บ้าง เช่น เราไม่มีวุฒิป.ตรี เราก็จะหาแต่สายการบินที่รับแค่วุฒิม.6 เราได้โทอิค7xx เราก็ดูว่าสายการบินไหนรับโทอิคไม่เกินนี้บ้าง และเราสูงประมาณ160ซม. (ถึงบ้างไม่ถึงบ้าง 555) ก็จะดูว่าสายไหนรับความสูงไม่เกินนี้ รับ156-158ยิ่งดี หรือไม่มีวัดส่วนสูงเลยยิ่งดีใหญ่ นอกนั้นก็ดูว่ามีคุณสมบัติพิเศษอะไรเพิ่มเติมมั้ย เช่นรับเฉพาะคนที่พูดภาษาที่สามได้เท่านั้นหรือเปล่า อะไรแบบนี้ค่ะ ถ้าอันไหนคุณสมบัติเราไม่ผ่าน เราก็จะไม่สมัครเลยนะ เพราะเราไม่อยากไปถึงแล้วต้องโดนเชิญกลับบ้าน มันท้อมาก เราเชื่อว่ามันต้องมีซักที่แหละที่เหมาะกับเรา รอให้สายการบินมารับสมัครเรื่อยๆ จนการสมัครครั้งแรกก็เริ่มขึ้นค่ะ


5.สมัครแอร์ครั้งที่1

ตอนนั้นสมัครออนไลน์ของสายการบินตะวันออกกลางสายหนึ่งไป แล้วได้Invitation Letterกลับมาให้ไปPre-screenค่ะ ดีใจมากกกก เหมือนได้เป็นแอร์แล้ว 555 ก็ไปแบบไม่รู้เรื่องอะไรเลย ต้องตอบอะไรประมาณไหนก็ไม่รู้ ถือซะว่าเหมือนไปพูดคุยธรรมดา กรรมการถามอะไรก็ตอบไป แต่ลืมนึกไปว่าไหวพริบหน้างานมันก็สำคัญมากๆ มีข้อนึงโดนกรรมการถามแล้วเราแบลงค์ไปเลย งง ไม่รู้จะตอบอะไร ไปตอบอีกอย่างนึงที่เค้าไม่ได้อยากรู้ ก็เดาไม่ยากค่ะ ตกรอบตามระเบียบ 555


6. ถ้าสายใหญ่ๆมันได้ยาก ก็สมัครสายเล็กๆไปก่อนแล้วกัน

หลังจากตกรอบกับสายแรกก็มีสายการบินต่างชาติที่ขยายเส้นทางมาเปิดที่ไทยเปิดรับสมัครแอร์โฮสเตสรุ่นแรกค่ะ แล้วคุณสมบัติเราก็ตรงตามที่เค้ากำหนด ไม่ลังเลเลย สมัครเลยค่ะ แม้จะเป็นสายการบินเปิดใหม่ก็ตาม ขอให้เราได้เถอะ ที่ไหนก็ไม่เกี่ยง แล้วก็คิดว่าสายการบินใหม่คนคงมาสมัครน้อยเพราะอาจจะยังไม่มั่นใจว่าจะมั่นคงรึเปล่า ที่ไหนได้ คนเยอะมากเลยค่ะ ทำให้เรารู้สึกว่าอาชีพนี้มันไม่ใช่เล่นๆแล้วนะ 555 ขนาดสายการบินเล็กๆเปิดใหม่คนยังมากันขนาดนี้ แต่ก็สู้เต็มที่ค่ะ ผ่านเข้าไปถึงรอบที่ต้องทำ Group Discussion แล้วไม่เคยรู้เลยว่าต้องพูดประมาณไหน ตื่นเต้นด้วยก็แทบไม่ได้พูดเลย พอได้พูดก็ดันพูดไม่รู้เรื่อง ตกรอบเช่นเคยค่ะ ครั้งนี้รู้เลยว่าภาษาอังกฤษเราอ่อนมาก จากที่คิดว่าก็พอไปวัดไปวาได้ แต่พอเทียบกับคนอื่นๆแล้วทักษะการฟังและพูดของเราด้อยกว่าคนอื่นเยอะเลย เลยกลับมาฝึกภาษาด่วนเลยค่ะ




7. ฟิตภาษาก่อนสู้ศึกครั้งต่อไป

กลับบ้านมาก็เริ่มฝึกภาษาเลยค่ะ ดูหนังฝรั่ง ดูซีรีส์ฝรั่ง ฟังเพลงฝรั่ง ท่องศัพท์ คือเน้นทักษะด้านฟังกับพูดก่อน เรื่องแกรมม่าค่อยว่ากัน จนรู้สึกว่าภาษาอังกฤษเราน่าจะดีขึ้นละ ก็สมัครสายเอเชียไปสายหนึ่งค่ะ แล้วสายนี้ไม่ต้องวัดส่วนสูงด้วย เอาเอื้อมแตะแค่208ซม.เท่านั้นเอง พอมาถึงรอบการทำ Group Discussion ที่เราเคยกลัวเพราะว่าเคยตกรอบมาก่อน ก็ทำได้ดีเกินคาด รู้สึกเลยว่าพูดได้ดี พรีเซนต์ก็โอเค ผ่านรอบกรุ๊ปได้แบบภูมิใจมากๆ >< แต่ดันมาตกรอบไฟนอลค่ะ ตอนนั้นแอบเสียใจว่าอีกนิดเดียวเองก็จะได้แล้ว แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่าที่นี่คงไม่ใช่ที่ของเรา มันต้องมีซักที่ที่เราได้สิน่า


8. และแล้ววันของเราก็มาถึง

วันนึงก็มีสายในไทยสายหนึ่งเปิดรับสมัครลูกเรือค่ะ แล้วมีพี่ที่รู้จักก็เป็นแอร์อยู่ที่นี่ เห็นว่าพี่เค้าดูมีความสุขจังเลยที่ได้ทำที่นี่ ได้ไปออกงานต่างๆให้สายการบินด้วย แล้วคุณสมบัติทุกอย่างเราก็ตรงพอดี ก็ไป Walk-inเลยค่ะ เอกสารทุกอย่างผ่านหมด เกือบมาตายตรงส่วนสูง เค้ารับส่วนสูง160ซม. อย่างที่เราบอกว่าถึงบ้างไม่ถึงบ้าง 55 เราก็พยายามยืดตัวยืดคอ ยิ้มสู้สุดฤทธิ์เลยค่ะ ขอหนูผ่านเถอะ แล้วก็ผ่านจนได้ ไม่ใช่แค่ผ่านการวัดส่วนสูง แต่ผ่านพรีสกรีน ผ่านไฟนอล จนได้ติดปีกแรกในที่สุดค่ะ ^^




9.มันใช่สิ่งที่เราต้องการแน่รึเปล่า?

บินมาได้ประมาณ1ปี ก็เริ่มรู้สึกเบื่อค่ะ ไม่ได้เบื่ออาชีพนี้นะ แต่เบื่อที่ว่าไม่ได้ไปไหนเลย บินแค่ในประเทศ ถึงที่หมายก็อยู่แต่บนเครื่อง บินไปบินมาแค่นี้จริงๆ เห็นเพื่อนๆที่เป็นแอร์สายอื่นเค้าได้ไปต่างประเทศ เล่นหิมะ กินราเมงที่ญี่ปุ่น เดินเที่ยวเล่นที่ซานฟราน เลยถามตัวเองว่า นี่อยากทำงานให้ได้ชื่อว่าเป็นแอร์โฮสเตสเฉยๆ หรืออยากใช้ชีวิตแบบแอร์โฮสเตสจริงๆ? เราเองก็ยังอายุไม่มาก รู้สึกว่าครั้งหนึ่งในชีวิตอ่ะ มันต้องลองไปอยู่ไกลๆบ้าน ไปใช้ชีวิตคนเดียวดูซักครั้งมั้ย? ประจวบเหมาะกับที่ตอนนั้นมีสายการบินเบสตะวันออกกลางมาเปิดพร้อมกันสองสายค่ะ ไม่ลังเล สมัครไปทั้งสองที่เลย แล้วก็ได้เมล์เชิญไปสัมภาษณ์ทั้งสองที่ค่ะ


10. ชุดแดง หรือหมวกแดง?

ตอนที่ไปสัมภาษณ์กับทั้งสองที่ สายนึงก็ง๊ายง่าย อีกสายนึงก็ย๊ากยาก แต่บอกเลยว่าไม่หวั่น สู้ตาย ตอนนั้นคืออยากได้มาก ไม่เคยคิดเอาความเป็น ex-crew มาโชว์เหนือว่าแบบ..ฉันเป็นลูกเรืออยู่แล้ว ยังไงเค้าก็ต้องรับ ไม่เคยคิดเลย ยิ่งเป็นลูกเรือเรายิ่งกดดัน ยิ่งต้องเตรียมตัวให้เยอะ ต้องตอบคำถามอะไรให้ดูฉลาด ดูมีตรรกะของความเป็นลูกเรือที่จะต้องคิดหน้าคิดหลังให้รอบคอบตลอดเวลาจะทำอะไร ใช้เวลาเตรียมตัวเยอะพอสมควรเลยค่ะ เปิดอ่านรีวิวการสมัครในเว็บบอร์ดต่างๆ พันทิปเองก็เป็นหนึ่งในนั้น อ่านแล้วเอามาคิดตามว่าถ้าเป็นเราจะทำยังไง จะตอบอะไร จะคิดทันมั้ยถ้าอยู่ในสถานการณ์ ณ ตอนนั้นจริงๆ บอกตรงๆว่าเครียดมากค่ะ แล้วใช่ว่าเค้ารับเยอะซะทีไหน สายนี้เคยรับไปแค่1-2คนเท่านั้นเองก็มีมาแล้ว แล้วพอได้มาสมัคร มันเข้ารอบลึกขึ้นเรื่อยๆๆๆ จากตอนแรกที่คิดว่าตกรอบก็ช่างมัน ตอนนี้แบบช่างไม่ได้แล้ว ไฟนอลแล้วนะ อีกนิดเดียวเท่านั้นเอง แล้วพอได้ก็ดันได้ทั้งสองที่ซะอีก! เลือกลำบากเลยทีนี้ เพราะตอนที่ประกาศผลว่าได้สายชุดแดง หมวกแดงยังไม่ประกาศผลค่ะ ต้องมาคิดว่าจะยังไงดี จะเซ็นสัญญากับชุดแดงไปก่อนมั้ย ถ้าหมวกแดงประกาศผลแล้วได้ค่อยลาออก หรือว่าสละสิทธิ์กับชุดแดงไปเลย แล้วรอแค่หมวกแดงอย่างเดียว แต่ก็ไม่รู้นะว่าจะได้รึเปล่า มันหน่วงมากจริงๆค่ะ สุดท้ายก็เชื่อครอบครัวและเซ้นส์ตัวเองว่า เอ้า! สละสิทธิ์ชุดแดงก็ได้ รอหมวกแดงนี่แหละ ถึงไม่ได้ขึ้นมาจริงๆก็ยังมีงานทำ สุดท้ายโชคก็เข้าข้างค่ะ หมวกแดงลงหัวในที่สุด >< (จริงๆกว่าจะได้หมวกแดงนี่อุปสรรคเยอะมากกกกกกกกก ไว้วันหลังจะมาเล่าให้ฟังค่ะ ร้องไห้ไปหลายรอบกว่าหมวกจะลงหัว 555)




ที่มาเล่าเรื่องนี้ ไม่ได้จะมาอวดว่าเก่งหรืออะไร แต่อยากแชร์ไว้เป็นแรงบันดาลใจจริงๆค่ะ เพราะเราไม่ใช่คนเก่งเลยและไม่ใช่คนเพอร์เฟ็คท์ด้วย ไม่ได้สวย ไม่ได้ขาว ไม่ได้สูง ไม่ได้เป็นสเป็คที่คนทั่วไปมองว่าคนนี้ต้องได้เป็นแอร์แน่ (ทุกวันนี้เวลามีคนไม่สนิทมาถามอาชีพ หรือต้องกรอกอาชีพเวลาทำธุรกรรมอะไรซักอย่างก็ยังเขินๆเลยค่ะ กลัวคนเค้าจะมองว่า เนี่ยนะแอร์? 555) แต่เราอาศัยความตั้งใจและไม่ท้อง่ายๆ ถ้าเราท้อตั้งแต่ตกพรีสกรีนสายแรกแล้วไม่สมัครอีก เราคงไม่มีวันนี้ เราพัฒนาตัวเอง ดึงจุดเด่นมากลบจุดด้อย(ที่เรามีเยอะมากๆ)ให้กรรมการเค้ามองข้ามไปแล้วมองเห็นแต่จุดเด่นของเรา เราใช้วุฒิม.6สมัครแอร์มาตลอด ในขณะที่เราต้องสู้กับอีกหลายๆคนที่จบป.ตรี บางคนป.โท เพราะงั้นเรายิ่งต้องพยายามหนักมากเลยค่ะให้กรรมการมองข้ามจุดด้อยข้อนี้ของเราไปให้ได้ เราเชื่อว่าไม่ว่าการจะสมัครแอร์หรือสมัครงานอะไรก็ตามแต่ เค้าไม่ได้มองหาคนที่เก่งที่สุด สวยที่สุด หรือฉลาดที่สุด แต่เค้ามองหาคนที่พร้อมที่สุดต่างหาก เพราะฉะนั้นลองถามตัวเองนะคะว่าพร้อมแล้วหรือยัง? แล้วตรงไหนที่เรายังไม่พร้อม? ฝึกค่ะ พัฒนาตัวเอง ทำให้เต็มที่ที่สุด แล้วซักวันมันต้องเป็นวันของเราค่ะ ^^



ขอบคุณที่มา > > pantip


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์