ปลูกต้นไม้บนที่ดินคนอื่น (ภาค 2)‏

ปลูกต้นไม้บนที่ดินคนอื่น (ภาค 2)‏



   บทความนี้เป็นภาค 2 แต่เนื้อเรื่องจะไม่ต่อกันกับภาคแรก(ก็พยายามเขียนให้เกี่ยวกันแล้วน่ะ)...เพราะภาคนี้จะเขียนในมุมตรงกันข้ามกับภาพแรกเลย ดังนั้นใครที่ยังไม่ได้อ่านภาคแรก จะอ่านภาค 2 ก่อนก็ได้ค่ะ ส่วน Link ของภาคแรกจะอยู่ด้านล่างของบทความนี้น่ะค่ะ....งั้นแอนขอเล่าเรื่องเลยแล้วกันน่ะ

 
   เรื่องก็มีอยู่ว่า...มีครอบครัวเล็กๆครอบครัวหนึ่งมีสมาชิก 3 คน คือ พ่อ ชื่อนายมั่น แม่ ชื่อนางเหมาะ และลูกชายเล็กๆ 1 คน ชื่อเด็กชายมั่นคง นายมั่นมีอาชีพขับรถส่งของให้กับเศรษฐี ชื่อมั่งมี ส่วนนางเหมาะเป็นเพียงแม่บ้าน ทำงานบ้านและเลี้ยงเด็กชายมั่นคง ไม่มีรายได้อะไร ทุกครั้งที่นางเหมาะขอนายมั่นทำงานหายรายได้เสริมเข้าบ้าน นายมั่นมักจะพูดว่า "เมียกับลูกพี่เลี้ยงได้ ไม่ได้หนักหนาอะไร ถ้าพี่แค่เลี้ยงเมียและลูกไม่ได้ก็อายหมามัน" นายมั่นเป็นคนขยันทำงานดังนั้นเกือบทุกวันนายมั่นมักจะทำ OT (Over time ทำงานนอกเวลางานปกติ) เพื่อจะได้รายได้เพิ่มขึ้นจากเงินเดือน กระทั่งเศรษฐีมั่งมีเห็นแวว(เห็นผลงาน) เลยเลื่อตำแหน่งให้เป็นหัวหน้าคุมคนขับรถและเป็นพนักงานขับรถส่วนตัวให้กับเศรษฐีมั่งมีด้วย...เรียกได้ว่านายมั่นอนาคตสดใส่เลยล่ะ หลังจากนั้นฐานะของนายมั่นก็ดีขึ้นเป็นลำดับ...

   เศรษฐีมั่งมี มีสวนผลไม้เป็นร้อยๆไร่ นอกจากนี้ยังมีโรงงานผลิตผลไม้กระป๋องเพื่อรองรับผลไม้จากสวนของตนเองและสวนข้างเคียง ส่งขายภายในประเทศและต่างประเทศ ผลประกอบการต่อปีมากมายนัก ส่วนพนักงานเองก็จะได้โบนัสขั้นต่ำ 1 เดือนทุกๆปี(ถือว่าบริษัทมั่นคงมากๆๆ น่ะนิ) รวมถึงนายมั่นด้วย
   ผลไม้กระป๋องของเศรษฐีมั่งมี ได้รับความนิยมเป็นอันมาก เศรษฐีมั่งมีจึงมีความคิดที่จะขยายโรงงานผลิตไปยังภูมิภาคต่างๆของประเทศ...เพื่อให้ใกล้กับแห่งผลไม้ ดังนั้นช่วงนี้เศรษฐีมั่งมีเลยต้องทำงานหนักหน่อย คือต้องหาข้อมูลมากมายเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจว่าจะตั้งโรงงานที่ไหนดี...ด้วยความที่เศรษฐีมั่งมีเป็นคนขยันเลยเดินทางไปเก็บข้อมูลเองเกือบทุกๆที่ ที่สามารถไปได้ โดยมีนายมั่นเป็นผู้ขับรถให้ คราวเมื่อนายเศรษฐีมั่งมีไม่สามารถไปได้ด้วยตนเองก็จะส่งให้นายมั่งเป็นคนไปเก็บข้อมูลแทนตนทุกครั้งเช่นกัน
   ผลจากการทำงานหนักของนายมั่นทำให้นายมั่นก็มีรายได้มากขึ้นเช่นกัน...เพราะเศรษฐีมั่งมีมักจะให้เกินพิเศรษทุกครั้งที่ออกต่างจังหวัดไกลๆ แต่ผลข้างเคียงจากการทำงานหนักก็คือร่างกายทรุดโทรม....แต่นายมั่นก็ยังคงฝืนทำต่อไป..จนกระทั่งวันหนึ่ง เศรษฐีมั่งมีให้นายมั่นขับรถไปเก็บข้อมูลพร้อมตัวอย่างผลไม้จากชาวสวนทางตอนเหนือของประเทศ แต่ตัวเศรษฐีเองไม่สามารถไปได้ จึงมีเพียงนายมั่นขับรถไปเพียงคนเดียวเท่านั้น เมื่อนายมั่นเก็บข้อมูลเสร็จก็ขับรถกลับทันทีโดยไม่คิดจะหยุดพัก เนื่องจากนายมั่นของเศรษฐีมั่งมีว่าเสร็จงานนี้แล้วจะขอลาพักร้อนสัก 4-5 วัน ดังนั้นถ้ากลับเร็วเท่าไรก็จะได้พักเร็วขึ้นเท่านั้น แต่โชคร้ายมันก็มาก่อนที่นายมั่นจะได้พักเพียง 4-5 วัน เพราะนายมั่นกลับต้องพักตลอดไปแทน
   ในคืนที่นายมั่นขับรถกลับนั้นเอง นายมั่นเกิดหลับในทำให้รถที่ขับประสบอุบัติเหตุรถตกเขา สภาพรถนั้นไม่มีชิ้นดีให้หา ส่วนนายมั่นคนขับโชคดีนิดนึงไม่เสียชีวิตแต่ปลุกอย่างไรก็ไม่ลืมตาตื่นขึ้นมาได้(เจ้าชายนิทรา)
   เศรษฐีมั่งมีจึงให้เงินแก่ครอบครัวนายมั่นเป็นจำนวนเงิน 1 ล้านบาท(ก็ถือว่าเยอะมากๆแล้วอ่ะนิ) ถือเป็นการช่วยเหลือครอบครัวนายมั่นในเบื่องต้น ส่วนรถที่นายมั่นขับตกเขา เศรษฐีมั่งมีไม่คิดจะกู้ซากขึ้นมาเพราะคงไม่คุ้มถ้าจะทำเช่นนั้น ทั้งๆที่รถคั้นนั้นเป็นรถใหม่พึ่งถอดป้ายแดงออกไม่ไม่กี่เดือนเอง อีกอย่างคือเศรษฐีมั่งมีก็มีรถมากมายเสียไปคัน
หนึ่งคงไม่เป็นไร......จบแหละสำหรับเรื่องเล่า แต่ยังต้องวิเคราะห์ต่อ ยาวนิดนึงน่ะ

   เรื่องของครอบครัวนายมั่น ถือว่าเป็นตอนต่อหรือขยายความจากเรื่อง "คุณพ่อยอดมนุษย์" (ถ้าใครยังไม่เคยอ่านแล้วอยากอ่านก็คริกที่ Link ข้างล้างได้ค่ะ) ที่ติดค้างไว้ตรงว่า..."ทำไมคุณพ่อทำงานคนเดียวถือว่าเสี่ยงมากๆ" แอนขอรวมถึงบ้านไหนหรือครอบครัวไหนที่มีคนทำงานแค่คนเดียวด้วยน่ะค่ะ ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นคุณพ่อคนเดียว อาจจะเป็นคุณแม่ทำงานคนเดียว หรือ คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย คุณลุง คุณป้า คุณอา ทำงานคนเดียวแล้วเลี้ยงหลายๆคนในครอบครัว แต่ในที่นี้แอนขอยกตัวอย่างคุณพ่อคนเดียวน่ะค่ะ


   ผู้หญิงเรามักจะตายกับประโยคที่ว่า "ลูกเมียพี่เลี้ยงได้" ประโยคนี้ถ้าได้ออกจากชายคนใดดูเหมือนแมนมากๆ (เป็นลูกผู้ชายมากๆ) แต่....ลองคิดดูดีๆดิว่าแมนจริงหรอ..หรือว่าเขากำลังจะฆ่าเราทางอ้อมกันแน่....ถูกค่ะ..คุณพี่เลี้ยงเรา(ภรรยา + ลูก)ได้ แอนไม่เถียง...แต่วันใดที่ไม่มีคุณพี่อยู่ล่ะค่ะ(หย่า เสียชีวิต พิการ หรือ เป็นเจ้าชายนิทราเหมือนนายมั่น)...ใครจะเลี้ยงเรา แล้วเราจะทำอย่างไร ลูกก็ยังเล็ก ภรรยาก็อายุเยอะแล้ว(กรณีมากกว่า 30 - 35 ขึ้นไปน่ะ)จะไปสมัครทำงานที่ใดเขาก็ไม่ค่อยจะรับเพราะว่าหยุดทำงานมานานแล้ว ความรู้ในการทำงานนั้นๆก็อาจจะห่างหายไป หรือด้วยเหตุผลอื่นๆมากมายก็ตาม แต่ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ มีหนี้กองโตให้ต้องสะสาง เช่น ผ่อนรถ ผ่อนบ้าน ผ่อนๆๆๆๆ ถ้าการผ่อนบ้านหลุดไปก็อาจจะไม่มีที่อยู่เพิ่มเข้าไปอีก


   ดังนั้นมันจึงเป็นที่มาว่า "ทำไมคุณพ่อทำงานคนเดียวถือว่าเสี่ยงมากๆ" เมื่อคนเป็นหลักในบ้านล้มลง...ปัญหามากมายมันก็ตามมา.. สำหรับเพื่อนๆ(ถือว่าเป็นรุ่นเดียวกันน่ะ..แอนไม่ยอมแก่อ่ะ..อิอิอิ)ที่โตขึ้นมาโดยไม่เกิดอุบัติเหตุชีวิตเหมือนครอบครัวนายมั่น...ก็ถือว่าโชคดีมากๆจริงไหม?? เพราะก็คงจะมีหลายๆครอบครัวที่ไม่โชคดีอย่างเพื่อนๆ แต่กลับเป็นแบบ นางเหมาะ กับเด็กชายมั่นคง(ซึ่งจริงๆแล้วก็คงจะมีอย่างเดียวที่มั่นคงคือ จนมั่นคง เหมือนแอนเลย...ตรงที่ จนมั่นคง แต่ไม่จนน้ำใจน่ะจะบอกให้ อิอิอิอิ)


   บ้านไหนมีคนเป็นหลักให้ครอบครัวเพียงคนเดียว พึงตระหนักไว้เถอะ...หากวันใดที่เสาหลักของครอบครัวไม่มีแล้วเราจะอยู่กันอย่างไร แล้วอย่าลืมรักท่าน(คุณพ่อ คุณแม่ หรือใครก็ตามที่เลี้ยงเรามา)ให้มากๆๆ น่ะค่ะ แบ่งเบาภาระได้ก็ช่วยๆกันน่ะ


   ต่อไปเรามาดูเรื่อง รถ ที่นายมั่นขับตกเขากันดีกว่า...หลายคนอาจจะสงสัยว่ามันเกี่ยวไรกัน...ถ้าสงสัยก็ตามอ่านกันต่อไป....ให้เพื่อนลองจินตนาการว่า รถ คันนั้นคือตัวเรา แล้วเศรษฐีมั่งมี คือ บริษัทหรือองค์กรที่เราทำงานอยู่ แอนขอเน้นว่า...บริษัทหรือองค์กรนี้มั่นคงมากๆๆ เอาเป็นว่าไม่มีทางจ้างเราออก(lay off) แน่นอน 100% ลองจินตนาการต่อน่ะว่า...วันที่รถตกเขา ก็คือวันที่เราป่วยมาก มากเหมือนรถคันนั้นเลยคือ ไม่สามารถทำงานได้ จินตนาการถึงตรงนี้แล้ว เราเคยถามตัวเองไหมว่า "บริษัทหรือองค์กรที่เราทำงานด้วย ที่มั่นคงมากๆนั้น...จะยังจ้างเราทำงานอยู่ไหม??" ตัวเราอาจจะทำงานเก่ง...ถึงเก่งมากๆๆ แต่แอนคิดว่าบริษัทหรือองค์กรนั้นๆ ก็คงไม่จ้าง ลูก ภรรยา หรือ สามี หรือ คนอื่นๆ เข้ามาทำงานแทนคุณหรอกค่ะ...เพราะ ความเก่งของคุณมันไม่สามารถถ่ายทอดได้นิค่ะ...(แอนหมายถึงคนส่วนใหญ่น่ะ) เช่น คุณเป็น หมอ วิศวะ เลขา พนักงานขาย ฯลฯ ที่เก่งมากๆๆ แต่ลูกคุณ ภรรยาคุณ หรือ สามีคุณ...หรือคนอื่นๆ ไม่สามารถทำอย่างคุณได้ค่ะ ดังนั้นน้อยมากที่จะเกิดกรณี เมื่อเราไม่สามารถทำงานให้เขาได้แล้วเขาจะจ้างคนในครอบครัวเราทำงานต่อ...


   แอนจึงไม่อยากให้ใครหลายๆคนหยิ่งทะนง แล้วคิดว่า "บริษัทหรือองค์กรที่ฉันทำงานนั้นมั่นคง" ใช่ค่ะ ที่บริษัทหรือองค์กรนั้นมั่นคง แต่ลืมอะไรไปหรือเปล่า??...อันตัวเราชีวิตเรานี่แหละที่มันไม่มั่นคง


   หลายคนมักประมาทกับคำว่า "มั่นคง" เลยไม่คิดในหลายๆมุม มองในหลายๆด้าน ลองคิดดีๆหลายๆมุม มองหลายๆด้าน อย่าทำตัวเป็น "ตาบอดคลำช้าง" ที่คลำเจอส่วนไหนก็คิดว่าช้างเป็นแบบนั้น เอาเป็นว่า..ให้ตั้งมั่นอยู่ในความไม่ประมาทแล้วกันเนอะๆๆ


   ถ้าสามารถเตรียมอะไรๆไว้ให้กับชีวิตได้เป็นดีค่ะ แอนขอยกตัวอย่าง "การทำประกันชีวิต" (แอนไม่ได้เป็นตัวแทนขายประกันของบริษัทใดๆทั้งสิ้นน่ะค่ะ) แอนคิดว่านี้เป็นอีกวิธีหนึ่งเท่านั้น(ถ้าคิดอะไรไม่ออกว่าจะเตรียมอะไรอ่ะน่ะ) ลองคิดดูดิ...ถ้าการทำประกันชีวิตมันไม่สำคัญจริง รัฐบาลคงไม่ลดหย่อนภาษีให้กับคนที่ทำประกันชีวิตหรอกจริงไหม??(ถ้าเพื่อนๆ คนใดยังไม่ได้ทำงานก็ถามกับ คุณพ่อ คุณแม่ คุณครู หรือผู้รู้ก็ได้ค่ะ)


   หลายคนคิดว่าการทำประกันชีวิต เป็นการแช่งให้ตัวเองตายไว้ๆ หรือ เป็นการสิ้นเปลือง คิดแบบนั้นก็ไม่ผิดค่ะ...ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคิดแบบนั้นได้ โดยส่วนตัวแอนแล้ว แอนคิดว่า การทำประกันชีวิตเป็นการรักตัวเอง(กรณีที่ไม่ได้ใช้สิทธิ์อ่ะน่ะ) และเป็นการรักคนที่อยู่ข้างหลังเรา(กรณีที่ได้ใช้สิทิธิ์อ่ะน่ะ) แต่แอนไม่ขอใช้แล้วกัน แอนขอรักตัวเอง...อิอิอิ นอกจากนี้แล้วเป็นการไม่ประมาทกับการใช้ชีวิตด้วย เพราะเดี่ยวนี้มันมีประกันชีวิตแบบที่เก็บสะสม เมื่อครบกำหนดที่เราไม่ได้ใช้สิทธิ์เอาประกัน เขาก็จะให้เป็นเงินก้อนที่เราสะสมมาตลอดไว้ใช้ในบั้นปลายชีวิต ถ้าคิดดีๆมันก็คือการออมเงินอย่างหนึ่งนั้นแหละ แต่....ถ้าเราได้ใช้สิทิธิ์ ไม่ใช่เรานะที่ได้เงิน...แต่เป็นคนข้างหลัง คนที่เรารัก(คุณพ่อ คุณแม่ คุณลูก หรือคนอื่นๆ ที่เราระบุไว้)ตะหากที่ได้เงินไป...อิอิอิอิ เอาเป็นว่า...รายละเอียดถามตัวแทนขายประกันจะดีกว่าน่ะ ส่วนแอนทำประกันชีวิตตั้งแต่ปีแรกที่ทำงานแล้วล่ะ...คนขายก็คงงงๆ เพราะยังไม่ทันจะชักแม่น้ำทั้ง 5 เลย มันตกลงซื้อแล้วหรือเนี๊ยะ case นี้ชั่งง่ายดายนัก...อิอิอิอิ (จริงๆหาที่ซื้อมานานแล้วไง...แต่ไม่รู้จะซื้อกะใครดี..ไหนๆเพื่อนก็เสนอแล้วก็เลยสนอง ซื้อกะเพื่อนเนี๊ยะแหละดี...อิอิอิอิ)


   อีกอย่างคือ แอนคิดว่าบางคนก็ทำงานไปวันๆๆ โดยไม่รู้ตัว ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเจออุบัติเหตุชีวิต แล้วที่น่ากลัวกว่านั้นคือ คิดว่าวันพรุ่งนี้มันก็เป็นแบบวันนี้แหละ วันนี้มีงานทำ มีเงินใช้ พรุ่งนี้ก็จะมีเหมือนกัน แต่ลืมไปว่า ความแน่นอนคือ "ความไม่แน่นอน"...มารู้ตัวอีกที..ก็โดนแจ๊กพอต โดนอุบัติเหตุชีวิตอีกซะแหละ ร้ายกว่านั้นคือไม่ได้เตรียมอะไรสำรองไว้ให้กับชีวิตเลย ถ้าไม่มีภาระในชีวิตมันคงไม่ลำบากมาก.... แต่ถ้าแบบต้องเลี้ยงพ่อแม่ แล้วลูกก็ยังไม่จบ ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ แบบนี้มันก็ลำบาก.... บางทีหาอะไรสำรองไว้ให้กับชีวิตมันจะดีกว่ามัย ขนาดรถยนต์ยังต้องมีล้ออะไหร่(พิมพ์ผิดเป่าหว่า)เลย... แล้วชีวิตเราทั้งชีวิตล่ะ ชีวิตคนที่เรารักล่ะ..จะไม่มีได้ไง


   แอนไม่ได้มองในแง้ลบน่ะ...แอนแค่คิดเผื่อเท่านั้นเอง... ถ้ามันไม่เกิดก็ดีไป ชีวิตเราจะได้ประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้น ..แต่ถ้ามันเกิดจะได้ไม่ต้องลำบากมากมาย..เหมือนที่เห็นเป็นข่าวหน้า 1 แบบฆ่ายกครัว เพราะเจออุบัติเหตุของชีวิตแล้วหาทางออกไม่ได้...


   ขอสรุปนิดหนึ่งน่ะค่ะ...ภาคแรก บริษัทหรือองค์กรที่ทำงานอยู่นั้นไม่มั่นคง ส่วนภาคสอง หักมุมสำหรับคนที่คิดว่า "ข้านี้แหละลอดจากกรณีภาคแรก" คือ จริงๆแล้วอันตัวเรานั้นก็ไม่ได้มั่นคงนักหรอก...แต่บริษัทหรือองค์กรมั่นคงมากๆๆ


   สุดท้ายแหละ...ขอให้ทุกคนอย่าประมาทกับการใช้ชีวิตน่ะค่ะ...เฮ้อ!! ลืมตัวโม้มาซะยาวเหยียด...คงจะอ่านเมื่อยแย่...ส่วนจะมีภาคต่ออีกหรือไม่นั้นแอนก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเขียนได้หรือไม่...เพราะตอนนี้ยังไม่ได้คิด เอาเป็นว่าแค่นี้ก่อนเห็นจะดี..อิอิอิอิ

 

 


ภาพประกอบ & บทความ : By กังหันลม

ภาพจาก Album : สวนรถไฟ (7 เม.ย. 2551) 

 



บทความที่เคย post ลง TeeNee.com :


"คุณพ่อยอดมนุษย์" (28 พ.ย. 2552) : http://variety.teenee.com/foodforbrain/20557.html


"ถูกที่ ถูกเวลา ถูกโอกาส" (7 พฤศจิกายน 2552) : http://variety.teenee.com/foodforbrain/19676.html


"หยุดฝันก็ไปไม่ถึง" (31 ตุลาคม 2552) : http://variety.teenee.com/foodforbrain/19337.html

"หลงลืม"(23 ตุลาคม 2552) : http://variety.teenee.com/foodforbrain/19069.html

"ล้มได้ก็ลุกได้"(19 ตุลาคม 2552) : http://variety.teenee.com/foodforbrain/18876.html

"โอกาศ"(6 ตุลาคม 2552) : http://variety.teenee.com/foodforbrain/18329.html
"ปลูกต้นไม้บนที่ดินคนอื่น"(2 ตุลาคม 2552) : http://variety.teenee.com/foodforbrain/18202.html
"รักเขา...หรือแค่รักตัวเอง"(15 มิถุนายน 2552)‏ : http://variety.teenee.com/foodforbrain/15199.html

 

  

 

 

           
 
 ...กังหันลม...  @nn  ...After the rain fall...

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์