ปวดท้อง ท้องเสีย ท้องผูก คุณรู้จักอาการเหล่านี้ ดีพอแล้วหรือยัง?

ปวดท้อง ท้องเสีย ท้องผูก คุณรู้จักอาการเหล่านี้ ดีพอแล้วหรือยัง?



 

ปวดท้อง

       อาการปวดท้องอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ และบางสาเหตุอาจ ทราบได้ไม่ยากจากตำแหน่งที่ปวด ความรุนแรงของการปวด ระยะเวลาที่ปวด รวมถึงลักษณะของการปวด

ดังนั้นการสังเกตรูปแบบของการปวดจึงเป็นสิ่งจำเป็น หากคุณสามารถอธิบายอาการปวดของคุณได้ละเอียดเพียงใด ก็จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้เร็วมากขึ้นเท่านั้น

โดยทั่วไปอาการปวดอาจแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

  • อาการปวดแบบทั่วทั้งท้อง หมายถึง ตำแหน่งปวดกินพื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งของหน้าท้องหรือมากกว่า ส่วนใหญ่อาจเกิดจากอาหารไม่ย่อย หรือมีเชื้อโรคบางชนิดปนเปื้อนมากับอาหาร อาการอาจไม่หนักหนามากแต่ถ้าไม่ดีขึ้นหรืออาการรุนแรงกว่าเดิมคุณควรไปปรึกษาแพทย์
  • อาการปวดท้องเฉพาะที่ หมายถึง ปวดบริเวณส่วนใดส่วนหนึ่งของช่องท้อง มีอาการเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและทวีความรุนแรงขึ้นในเวลาไม่นาน อาจเกิดจากอวัยวะภายในอักเสบเฉียบพลัน เช่น ไส้ติ่งอักเสบ ถุงน้ำดีอักเสบ หรือกระเพาะอาหารอักเสบ
  • อาการปวดเกร็งแบบเป็นตะคริว หมายถึง ปวดบ้างคลายบ้าง เป็นๆ หายๆ คล้ายกับลูกคลื่น อาการอาจทุเลาเมื่อผายลมหรือถ่ายออกมา แต่ไม่นานก็มีอาการปวดอีก

เนื่องจากโรคต่าง ๆ ภายในช่องท้องมักทำให้เกิดอาการปวดท้องร่วมด้วย อาการข้างต้นอาจเกิดจากอวัยวะต่าง ๆ เช่น กระเพาะอาหาร ลำไส้ ตับ ตับอ่อน ถุงน้ำดี เป็นต้น

คุณควรรักษาสุขภาพด้วยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีกากใย เช่น ผักและผลไม้ ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น ลดละอาหารเผ็ดมัน รวมถึงอาหารหรือเครื่องดื่มที่ก่อให้เกิดแก๊ส และไม่ปล่อยให้ท้องว่างนานเกินไป


คุณควรไปพบแพทย์เมื่อใด?

  • เมื่อคุณรู้สึกไม่สบายท้อง ปวดท้องติดต่อกันมาหลายวัน
  • ปวดท้องมากติดต่อกัน หรือปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ ภายใน 1-2 วัน
  • มีไข้ ปวดเมื่อยตามร่างกายร่วมด้วย
  • ปวดท้องระหว่างตั้งครรภ์
  • ปวดท้องเวลาปัสสาวะ หรือปัสสาวะบ่อยผิดปกติ
  • มีอาการปวดท้องระหว่างกำลังรักษาโรคอื่นอยู่

ควรอดทนต่ออาการปวดท้องหรือไม่

คุณไม่ควรทนอยู่หลายวัน บางท่านอาจคิดว่ามีแต่เด็กๆ เท่านั้นที่ต้องไปพบแพทย์เพราะอาการปวดท้อง แต่ในความเป็นจริงผู้ใหญ่ก็ไม่มีข้อยกเว้น หากคุณรู้สึกปวดท้องไม่มาก การใช้ยาสามัญประจำบ้านอาจจะเพียงพอในระยะสั้น แต่ถ้าหากปวดท้องต่อเนื่องทั้งวัน คุณก็ไม่ควรทนกับอาการปวดนานเกินไป เพราะอาจมีสาเหตุมาจากโรคที่รุนแรงก็เป็นได้



 


ปวดท้อง ท้องเสีย ท้องผูก คุณรู้จักอาการเหล่านี้ ดีพอแล้วหรือยัง?


ท้องเสีย

อาการถ่ายเหลวหรืออุจจาระเป็นน้ำ โดยมากมีสาเหตุจากการติดเชื้อโรค เช่น เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส หรือเชื้อพยาธิที่เข้าสู่ร่างกายพร้อมอาหารหรือน้ำดื่มที่ไม่สะอาด หรืออาจไม่เกี่ยวกับเชื้อโรคแต่เป็นเรื่องของความเครียด กังวล หรือผลข้างเคียงจากยาบางอย่างก็เป็นได้ อาการท้องเสียในเด็กเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาโดยเร็วมากกว่าผู้ใหญ่

เมื่อคุณมีอาการท้องเสีย คุณควรดื่มน้ำเปล่าและเครื่องดื่มเกลือแร่เพื่อรักษาสมดุลของน้ำและแร่ธาตุในร่างกาย หลีกเลี่ยงนมสด คาเฟอีน อาหารไขมันสูงและอาหารทะเล และพยายามพักผ่อนให้มาก

ความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ห่างไกลจาก อาการท้องเสีย คุณควรล้างมือเป็นประจำก่อนและหลัง รับประทานอาหาร ระวังอาหารและน้ำดื่มเป็นพิเศษเมื่อเดินทาง ไม่รับประทานของสุก ๆ ดิบ ๆ หากไม่แน่ใจเรื่องความสะอาดก็ไม่ควรลอง

คุณควรไปพบแพทย์เมื่อใด?

  • เมื่อท้องเสียติดต่อกันมากกว่า 2-3 วัน
  • เมื่อร่างกายเกิดอาการขาดน้ำ เช่น ปากแห้ง กระหายน้ำ ปัสสาวะมีสีเข้ม อ่อนเพลีย หน้ามืด เวียนศีรษะ
  • เมื่ออุจจาระมีเลือดปนหรือออกสีดำ
  • มีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส
  • มีอาการปวดท้องมาก หรือปวดบริเวณทวารหนัก

เมื่อท้องเสียควรรีบรับประทานยาหรือไม่?

อาจไม่จำเป็นเสมอไป การขับถ่ายเป็นการระบายเชื้อโรคและของเสียออกจากร่างกาย การใช้ยาบางชนิดเพื่อหยุดการขับถ่ายในทันที (เช่น ยาโลเพอราไมด์) อาจทำให้เชื้อโรคถูกกักอยู่ในร่างกายและอาจมีผลเสียติดตามมา รวมถึงการทำให้อาการต่าง ๆ หายช้าลงได้


ปวดท้อง ท้องเสีย ท้องผูก คุณรู้จักอาการเหล่านี้ ดีพอแล้วหรือยัง?



ท้องผูก


อาการท้องผูก หมายถึง การถ่ายอุจจาระยาก ถ่ายแข็งต้องออกแรงเบ่งมาก หรือนาน ๆ ถ่ายทีไม่บ่อยเหมือนเคย ท้องผูกเป็นปัญหาเรื่องการขับถ่ายที่พบบ่อย สาเหตุสำคัญอย่างหนึ่ง ได้แก่ การขาดกากใยอาหารที่ได้จากการย่อยอาหารประเภทผักผลไม้ กากใยเหล่านี้จะช่วยให้อุจจาระไม่เหนียวแข็งและถ่ายได้โดยง่าย

อาการท้องผูกอาจเกิดจากการที่ร่างกายต้อง ปรับเปลี่ยนระบบขับถ่าย เช่น ช่วงระหว่างการเดินทาง ความเครียด การตั้งครรภ์เป็นต้น วัยสูงอายุก็อาจมีส่วนให้การขับถ่ายแปรปรวนได้เช่นกัน


การป้องกันอาการท้องผูกทำได้ไม่ยาก เพียงคุณปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตด้วยการรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ หรือธัญพืช ดื่มน้ำให้เพียงพอ ไม่ควรอั้นอุจจาระเมื่อร่างกายต้องการจะถ่าย ไม่ใช้ยาถ่ายพร่ำเพรื่อ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ


คุณควรไปพบแพทย์เมื่อใด?

  • เมื่อมีอาการท้องผูกมากกว่า 1-2 สัปดาห์ หรืออาการไม่ดีขึ้นภายใน 3-4 วัน แม้จะปรับเปลี่ยนอาหารแล้วก็ตาม
  • อุจจาระมีเลือดปน
  • มีอาการปวดท้องรุนแรงร่วมด้วย
  • มีอาการท้องผูกสลับท้องเสีย
  • มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด

คนปกติควรถ่ายทุกวันหรือไม่?

บางคนอาจคิดว่าการไม่ถ่ายทุกวันแสดงว่าท้องผูก หรือคิดว่าการเก็บของเสียไว้นาน ๆ ร่างกายจะดูดซึมของเสียกลับเข้าไปใหม่ ความคิดเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องจริง

ที่จริงการขับถ่ายเป็นกิจวัตรที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน การถ่ายตั้งแต่วันละ 1-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ถึงสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ไม่ถือว่าผิดปกติ ดังนั้นแม้คุณอาจไม่ได้ถ่ายทุกวันก็ไม่ควรกังวลเกินไป ถ้าคุณเป็นเช่นนั้นมานานมากจนเป็นนิสัยประจำไปแล้ว




นิตยสาร Better Health
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์