ผลพิสูจน์ดีเอ็นเอชี้หรือ ไอ้ตีนโตไม่มีอยู่จริง


ผลพิสูจน์ดีเอ็นเอชี้หรือ ไอ้ตีนโตไม่มีอยู่จริง


ผลพิสูจน์ดีเอ็นเอชี้ "บิ๊กฟุต"ไม่มีจริง

เรื่องราวเกี่ยวกับตัวประหลาดครึ่งคนครึ่งสัตว์ที่เรียกกันว่า "บิ๊กฟุต" หรือ "ไอ้ตีนโต" บ้างเรียกกันว่า "เยติ" หรือ "มนุษย์หิมะ" บ้าง เป็นเรื่องเล่าที่สร้างความลึกลับชวนฉงนกันในหลายประเทศทั่วโลก ว่ากันว่ามีผู้พบเห็นกันทั้งในภาคพื้นอเมริกาเหนือ ในสหรัฐอเมริกาก็มี ในอินเดีย แถบเทือกเขาหิมาลัยก็มี

เรื่องเล่าเกี่ยวกับตัวประหลาดที่ว่านี้ ส่วนใหญ่ระบุตรงกันว่า ยืนและเดินสองขาเหมือนคน แถมมีลูกตา มีจมูกและหูเหมือนคนเราทั่วไป แต่มีขนรุงรังทั่วตัว ถ้าในอินเดียหรือเนปาลเรียกกันว่า "เยติ" แต่ในทวีปอเมริกาเหนือเรียกกันว่า "บิ๊กฟุต" หรือ "ซาสควอทช์" บางคนเชื่อว่าเป็นคนครึ่งสัตว์ มีบ้างที่บอกว่า เป็นมนุษย์ยุคโบราณที่หลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน ทำนองเดียวกับพวกนีแอนเดอร์ธัล หรือเดนิโซวัน หรือไม่เช่นนั้นก็เป็น "ลิงใหญ่" หรือ "มนุษย์วานร" ที่เคยสูญพันธุ์ไปนานแล้ว

แต่นักวิทยาศาสตร์เกือบทุกคนไม่เชื่อเรื่องนี้ ให้เหตุผลว่า พวกที่บอกว่าพบเห็นนั้น ถ้าหากไม่อยู่ในสภาพที่ทำให้เห็นได้ไม่ชัดเจน จนอาจเข้าใจผิดว่าสัตว์บางชนิดอย่างเช่นหมีเป็นเยติ ก็อาจเป็นการจงใจปั้นเรื่องหลอกชาวบ้าน ที่เคยมีกรณีเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง เหตุผลสำคัญอีกประการก็คือ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ถ้าหากมีเยติหรือบิ๊กฟุตอยู่จริงมีการสืบสานสายพันธุ์ต่อเนื่องมาจนถึงขณะนี้ต้องมีนักค้นคว้าวิจัยสามารถพบเห็นกันมานานนักหนาแล้ว




แต่คนที่เชื่อเรื่องการมีอยู่จริง มักตอบโต้ว่า เพราะนักวิทยาศาสตร์ไม่เคยสนใจเรื่องนี้กันจริงๆ จังๆ นั่นเอง ที่ทำให้ไม่รู้ความจริงกันเสียที

นั่นเป็นที่มาของการร่วมมือกันท้าพิสูจน์กันด้วยกรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์ ระหว่าง เรตต์แมน มุลลิส นักจิตวิทยาที่เชื่อเรื่องบิ๊กฟุต และทำเว็บไซต์เผยแพร่เรื่องการพบเห็นอย่างเป็นงานเป็นการ กับทีมนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ในประเทศอังกฤษ นำทีมโดย ไบรอัน ไซคส์ ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านพันธุกรรม เก็บรวบรวมสิ่งที่บรรดาผู้ที่อ้างว่าได้พบเห็นแล้วเก็บมาเป็นหลักฐาน แสดงถึงการมีอยู่จริงของเยติ หรือบิ๊กฟุต จากหลายประเทศทั่วทุกมุมโลกมาตรวจสอบกัน

ทีมพิสูจน์ความจริงได้รับตัวอย่างที่ถือเป็น "หลักฐาน" มารวมทั้งหมด 57 ชิ้น บางชิ้นในจำนวนนั้นไม่ผ่านการคัดเลือก เพราะเห็นได้ชัดว่าไม่ได้เป็นสิ่งที่มาจากสิ่งมีชีวิต อย่างเช่นชิ้นหนึ่งเป็นแค่เศษไฟเบอร์กลาสเท่านั้น เป็นต้น

คัดมาทั้งหมดเหลือ 36 ชิ้น นำมาตรวจสอบดีเอ็นเอ โดยตั้งสมมติฐานว่า ถ้าหากเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดที่มาจากเยติจริง ดีเอ็นเอต้องไม่ตรงกับสัตว์ชนิดอื่นใดที่มีอยู่ในฐานข้อมูลทางพันธุกรรมในเวลานี้

ผลจากการตรวจสอบพบว่า เกือบทั้งหมด คือ 34 ตัวอย่าง เป็นขนหรือเศษหนังหรือชิ้นส่วนของสัตว์ต่างๆ ที่เรารู้จักกันดีอยู่แล้วทั้งนั้น มีตั้งแต่ ขนวัว, ม้า, แรคคูน, ที่เป็นชิ้นส่วนจากมนุษย์ก็มี กวาง, หมาป่าโคโยตี้ ที่เป็นขนของสมเสร็จก็มีเหมือนกัน

ที่เหลืออีก 2 ตัวอย่าง น่าสนใจในแง่ของวิทยาศาสตร์มาก กล่าวคือ มันมีคุณลักษณะทางพันธุกรรมของหมีขั้วโลกยุคพาเลโอลิธิค หรือครึ่งหลังของยุคหินซึ่งสูญพันธุ์ไปนานนักหนาแล้ว ตัวอย่างหนึ่งนั้นมาจากภูฏาน อีกชิ้นหนึ่งมาจากลาดัคห์ ในประเทศอินเดีย

นั่นอาจหมายความว่า หมีขั้วโลกยุคโบราณที่เราเคยคิดว่าสูญพันธุ์ไปแล้วเหล่านั้น ยังอาจหลงเหลืออยู่ในแถบเทือกเขาหิมาลัย หรืออาจจะมีลูกผสม หรือลูกหลานของพวกมันหลงเหลืออยู่ในแถบนั้น

แล้วก็นั่นอาจหมายความว่า สิ่งที่หลายคนพบเห็นแล้วเข้าใจว่าเป็นเยติ หรือมนุษย์หิมะ แท้จริงคือหมีที่สืบสายพันธุ์มาจากยุคหินหรือเมื่อหลายพันหลายแสนปีมาแล้วนั่นเอง

ผลพิสูจน์ดีเอ็นเอชี้หรือ ไอ้ตีนโตไม่มีอยู่จริง

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์