ผี คืออะไร..?

ผี คืออะไร..?



 

       จริงอยู่ที่ "ผี" เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถพิสูจน์ หรือตรวจวัดได้ด้วยเครื่องมือที่เชื่อถือได้ จึงยังไม่เป็นที่ยอมรับในทางวิทยาศาสตร์ 

 แต่ด้วยภาวะทางจิตใจ หลายคนก็อดกลัวไม่ได้ในยามวิเวกวังเวง พาให้คิด (หรืออาจเห็นจริงๆ !!) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามกลางคืน "เวลาผีปรากฎกายขึ้นต่อหน้าต่อตา !!

  
 แม้ว่าวงการวิทยศาสตร์จะยังไม่ยอมรับเรื่อง "ผีๆ" และบางครั้งก็ปัดให้เป็นเรื่องราวของ "ไสยศาสตร์" ไป ทว่านักวิทย์บางคน (โดยเฉพาะฟิสิกส์) พยายามจะอธิบาย "การเกิดของผี" ในแง่ปรากฎการณ์ธรรมชาติ
   

   ข้อเขียนเกี่ยวกับผี (ที่พยายามจะอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์) ที่โด่งดังที่สุด เห็นที่จะเป็น "ฟิสิกส์แห่งการหลอกหลอน" (The Physics of Haunting) ของ ดร.โดนัลด์ จี คาร์เพนเตอร์ (Dr. Donald G.Carpenter) นักวิทยาศาสตร์ผู้ศึกษาเรื่องผี เขาเคยวิเคราะห์ทางฟิสิกส์และรวบรวมข้อมูลจากรายงานทั่วโลก จนออกมาเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับผีๆ โดยระบุว่า "ผี" เป็นสิ่งที่มีในธรรมชาติ และชอบอยู่ในความมืด.....



ผี คืออะไร..?



        ทั้งนี้ ดร.คาร์เพนเตอร์ได้ศึกษาวิเคราะห์ทางฟิสิกส์การเกิด "ผี" โดยมีข้อสันนิษฐานว่า...
   
   1. อย่างแรกสุด....กฏเกณฑ์ทางฟิสิกส์ต้องสามารถใช้ได้กับภูติผีปีศาจ นั่นหมายถึง ผีก็อยู่ภายใต้กฏเกณฑ์ของฟิสิกส์ ซึ่งเราถือว่าเป็นกฏสากลของธรรมชาติ
   
   2. "ผี" ไม่ใช่เรื่องมายากล ไม่ใช่ปาฎิหาริย์ และไม่ใช้เรื่องนอกเหนือกฎธรรมชาติข้อใดๆ ทั้งสิ้น (ตามที่สันนิษฐานไว้ในข้อ 1.)
   
   3. "ผี" (Ghost) "การหลอกหลอน" (poltergeist) และ "ดวงวิญญาณ" (Soul) ล้วนเกิดขึ้นมาจากสาเหตุเดียวกัน แต่เป็นปรากฎการณ์ในรูปแบบต่างกัน
   
   4. ผี (จากกฎข้อ 1 แล้ว) นับเป็น สิ่งที่มีตัวตน” (The Entity) ควรจะมีคุณลักษณะคล้ายคลึงกันโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นผีจากชาติใดๆ ก็ตาม
   

   5. ในการปรากฎกายของผีโดยเฉลี่ยแล้ว ร่างของผีจะกินเนื้อที่เป็นปริมาณ ประมาณ 0.07 ลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นปริมาตรเฉลี่ยเท่ากับคนธรรมดาที่มีน้ำหนักตัวประมาณ 70 กิโลกรัม

ที่สำคัญสมมติฐานในการเห็นผี ดร.คาเพนเตอร์ตั้งเป็น "สแตนดาร์ต ไนท์ ไทม์ โกสต์" หรือ เอสเอ็นจี (Standard Night time Ghost : SNG) แยกไว้ 2 กรณี คือ...
   
   - กรณีแรก เกิดขึ้นโดยตรงกับสมองของผู้ประสบเหตุ อาจเกิดจากการรบกวนกระบวนการไฟฟ้าชีวเคมีในสมอง ทำให้ประสาทและระบบรับความรู้สึกเกิดความผิดเพี้ยน โดยเฉพาะในส่วนของมันสมองและไขสันหลัง (หรืออาจจะเรียกว่า "ประสาทหลอน" )

หรือไม่ก็...เกิดจากการกระตุ้นให้สมองเกิดภาพหลอนขึ้นเอง โดยสิ่งเร้าภายนอก โดยอาจใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีขนาดพอเหมาะยิงตรงไปยังสมองก็เป็นได้ หรือเกิดการควบคุมสภาวะแวดล้อมบางอย่าง ซึ่งมีผลกระทบต่อจิตใจและอารมณ์ความรู้สึก (ซึ่งเรียกว่า "ถูกควบคุมหรือถูกทำให้เกิดประสาทหลอน)

สรุปแล้วสมมติฐานข้อนี้ถือว่า "ผีไม่มีอยู่ในโลก" ...แต่ปรากฏการณ์ผีมีอยู่จริง
(ซึ่งจริงในที่นี้คือ สิ่งที่เกิดขึ้นในสมองของผู้ประสบเหตุนั่นเอง...
 - กรณีที่สอง ก็คือในทางตรงกันข้าม สรุปกันง่ายๆ ได้ว่า ผีเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่ "ประสาทหลอน" หรือการควบคุมให้ประสาทหลอน
   
   ทั้งนี้ ข้อมูลสนับสนุนสมมติฐานหลัง ก็คือกรณีที่ มีผู้เห็นผีพร้อมๆ กันในมุมมองที่แตกต่างกัน แสดงให้เห็นว่าผีปรากฏตัวได้ด้วยการเปล่งโฟตอน (แสง) ออกมา ไม่ใช่ภาพหลอนที่สร้างขึ้นในสมองของผู้ประสบเหตุเหล่านั้น



ผี คืออะไร..?




   อย่างไรก็ดี การพบปะ "เห็นผี" ใช้ว่าจะไร้รูปแบบ (ถ้านึกอยากจะมาก็มาอาจจะไม่ใช่แน่) เพราะตามข้อมูลที่ ดร.คาร์เพนเตอร์รวบรวมไว้ ..1. "ผี" ต้องปรากฎตัวในเวลากลางคืน (เท่านั้น) การปรากฎตัวแต่ละครั้งกินเวลายาวนานประมาณ 2 วินาทีถึง 10 นาที เสร็จแล้ว ต้องหายตัวไป แล้วจึงปรากฏกายขึ้นใหม่ได้อีก
   
   2. "ผี" สามารถเปล่งแสงสว่าง เรืองแสงในตัวเองได้ โดยต้องมีกำลังส่องสว่าง อยู่ในช่วงความเข้มแสงประมาณ 1-20 แรงเทียน จึงจะทำให้สายตามนุษย์สามารถมองเห็นได้

   3. การปรากฏตัวของ "ผี" จะทำให้บรรยากาศโดยรอบมีอุณหภูมิลดลงอย่างเฉียบพลัน เนื่องจาก "ผี" ต้องดึงเอาพลังงานความร้อน ในบรรยากาศอย่างน้อย 60 จูลส์ เข้าไปสะสมทำให้ตัวเองเปล่งแสงออกมาได้
   
   4. การปรากฏกายของ "ผี" ต้องมีเครื่องนุ่งห่มด้วย และมักปรากฏในลักษณะเป็นภาพรางๆ
โปร่งแสงมองทะลุได้บ้าง
 มีขนาดเล็กกว่าคนธรรมดาทั่วไป
   
   5. "ผี" จะปรากฏในสภาพที่หันหน้าเข้าหาผู้พบเห็นเสมอ
6. "ผี" มักปรากฏตัวในร่างเหมือนมนุษย์ (ประมาณ 90% ของรายงาน) มีน้อยมากที่ปรากฏตัวในร่างสัตว์
   
   7. มักจะมีเสียงหรือกลิ่นเกิดขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของ "ผี" ในแต่ละครั้ง
   
   *** หากไม่เข้าข่ายใน 7 ข้อนี้ ดร.คาร์เพนเตอร์ชี้ว่า อาจจะไม่ใช่ "ผี " อย่างที่เข้าใจได้ (ฉะนั้นไม่ต้องกลัว)

อย่างไรก็ดี ยังมีผู้กังขาขอสันนิษฐานของ ดร.คาร์เพนเตอร์ว่า "ผี" ใช้พลังอะไรกระตุ้นอิเล็กตรอนของบรรยากาศ จนทำให้เกิดการคายโฟตอน (หรือแสง) ออกมา
? ซึ่งผีมีพลังงานในตัวเอง หรือมีวิธีนำพลังงานจากแหล่งอื่นมาใช้ (ได้อย่างไร??)ยังไม่มีผู้ใดศึกษาและค้นหาผี (ในทางวิทยาศาสตร์) อย่างจริงจัง อาจเป็นเพราะอยู่นอกเหนือความสามารถของเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทำให้ผู้ที่เห็นก็ได้แต่ยืนยันว่ามี ส่วนผู้ไม่เห็นกับตา หรือว่าไม่เชื่อก็ปฏิเสธว่าเป็นเรื่องไร้สาระ หรือถ้ามองอย่าง "วิทยาศาสตร์" สามารถอธิบายแบบกว้างๆ ได้ว่า เป็นแค่พลังงาน หรือสสารอย่างหนึ่ง....
   
   ไม่รู้ว่า ระหว่าง "ผี" กับ "มนุษย์ อะไรที่น่ากลัว กว่า????



ขอบคุณ @cloud



เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์