ผู้เชี่ยวชาญไม่ฟันธงโยคะทารกเจ๋งจริง

ผู้เชี่ยวชาญไม่ฟันธงโยคะทารกเจ๋งจริง



ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า แม้กระแสโยคะจะมาแรงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เรียกว่าเอาช้างมาฉุดก็ไม่อยู่ เพราะโยคะค่อย ๆแทรกซึมเข้ามาในวิถีชีวิตปัจจุบันของคนเมืองมากขึ้น

ถึงขนาดว่าเร็วๆนี้กระแสโยคะฟีเวอร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นจากกลุ่มคนทำงาน และผู้สูอายุมาแล้ว กำลังเจาะเข้ามาสู่กลุ่มประชากรตัวน้อยอย่างวัยทารกด้วย

ธุรกิจโยคะทารกกำลังเป็นที่นิยมมากในกลุ่มคุณพ่อคุณแม่ชาวอเมริกัน ที่พากันพาทารกน้อย ๆ ไปเข้าคอร์สโยคะ อย่างที่ลอสแองเจิลลิส มีบรรดาคุณแม่พาลูกน้อยวัยแบเบาะจนถึง 4 ขวบ ไปเข้าชั้นเรียนโยคะ
โดยเชื่อว่าจะเป็นการช่วยออกกำลังกายและพัฒนาทักษะในการเคลื่อนไหว ช่วยให้นอนหลับสบาย และมีความสุขมากขึ้น
โดยเฉพาะในปัจจุบันนี้ครูโยคะบอกว่าจำเป็นที่จะต้องใส่ใจกับการเคลื่อนไหวและออกกำลังกายของทารกมากขึ้น เพราะเด็ก ๆ ต้องนั่งอยู่ในรถยนต์หรือในบ้านมากกว่าเมื่อก่อน

ด้านเฮเลน การาเบเลี่ยน ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารโรงเรียนสอนโยคะ WEST ในนครลอสแองเจิลลิส ซึ่งถนัดในเรื่องหัตถโยคะและการนวดทารกบอกว่า

"โยคะอีซี่บีซี่" มีประโยชน์ต่อทารกมาก นอกจากจะช่วยให้นอนหลับดีขึ้นแล้ว ยังช่วยพัฒนาประสาท กล้ามเนื้อและการย่อยอาหารด้วย ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ โยคะอีซี่บีซี่ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วจนมีการเปิดสอนทั่วสหรัฐฯ และในหลายประเทศมีท่าโยคะต่างๆให้เลือกฝึก 150 ท่า ตามความเหมาะสมของเด็กแต่ละคน ชั้นเรียนโยคะนี้จะช่วยให้แม่ลูกได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นช่วยคลายความรู้สึกหดหู่หลังคลอด และช่วยพัฒนาทักษะการเคลื่อนไหวของตัวเอง ทั้งยังได้พบปะกับคุณแม่คนอื่นๆและพัฒนาความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสิ่งรอบตัวของลูกๆ ที่สำคัญพ่อแม่บางคนหวังให้โยคะช่วยแก้ปัญหาโรคอ้วนให้ลูกๆซึ่งเป็นปัญหาใหญที่สหรัฐฯเผชิญอยู่ขณะนี้ ทั้งนี้เด็กที่จะมาโยคะได้ต้องมีอายุ 3 สัปดาห์ขึ้นไป

อย่างไรก็ตามโยคะประเภทนี้ยังไม่มีข้อพิสูจน์และเป็นที่ยอมรับของกุมารแพทย์ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญบอกว่า กิจกรรมโต้ตอบใด ๆ ก็ตามของพี่เลี้ยงเด็กหรือผู้ใหญ่ทั่ว ๆ ไปก็อาจส่งผลดีพอ ๆ กับการเข้าร่วมชั้นเรียนโยคะ

และโยคะทารกก็ไม่ได้ช่วยป้องกันโรคอ้วนในวัยเด็กด้วย แต่เด็กจำเป็นต้องรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ พร้อมทั้งเล่นและออกกำลังกายทุกวัน ทั้งนี้คุณหมอฮาเร่ คราฟ กุมารแพทย์และผู้เขียนบล็อกเรื่องเดอะแฮปปี้เนสเบบี้ ยังเตือนคุณพ่อคุณแม่ที่พาลุกไปเรียนโยคะว่า ต้องระวังไม่ให้ศีรษะและคอของเด็กถูกกดทับ


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์