ฝ้า... ปัญหาคาใจ

ฝ้า... ปัญหาคาใจ



ปัญหาฝ้า ซึ่งขึ้นชื่อว่ารักษายาก มาทำความรู้จักกับฝ้าให้ดีเสียก่อนที่จะตัดสินใจทำการรักษาค่ะ

     
   ฝ้าพบบ่อยในผู้หญิงวัยกลางคน ลักษณะเป็นผื่นสีน้ำตาล พบบริเวณแก้ม จมูก หน้าผาก เหนือริมฝีปากบนและคาง มักเริ่มจากจุดสีน้ำตาล แล้วขยายเป็นปื้น เราสามารถแบ่งชนิดของฝ้าได้เป็น 3 ชนิด

      ฝ้าชนิดตื้น ลักษณะเป็นผื่นสีน้ำตาลเข้มขอบเขตชัด เกิดจากเม็ดสีเมลานินสะสมในชั้นหนังกำพร้ามากผิดปกติ ฝ้าชนิดนี้ค่อนข้างตอบสนองดีต่อการรักษา เนื่องจากเม็ดสีเมลานินอยู่ไม่ลึกในผิวหนัง จึงง่าจต่อการกำจัด 
      ฝ้าชนิดลึก ผื่นฝ้าจะเป็นสีน้ำตาลผสมสีเทาเข้ม ขอบเขตไม่ชัด เกิดจากเม็ดสีเมลานินอยู่ในชั้นหนังแท้ มีผลทำให้การรักษาค่อนข้างยาก 
      ฝ้าชนิดผสม มีเม็ดสีเมลานินสะสมมากทั้งในชั้นหนังกำพร้าและหนังแท้

  วิธีการรักษา 

         เน้นหลักสำคัญ 2 ประการคือ หลีกเลี่ยงหรือป้องกันปัจจัยที่กระตุ้นให้ฝ้าเป็นมากขึ้น ร่วมกับการพยายามรักษาให้ฝ้านั้นจางลง
         ดังนั้น ผู้ที่มีปัญหาเรื่องฝ้าควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาคุมกำเนิดหรือยาอื่นๆ ที่อาจทำให้รอยคล้ำนั้นเป็นมากขึ้น การหลีกเลี่ยงแสงแดดก็เป็นสิ่งสำคัญ และจำเป็นต้องใช้ครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ
         การเลือดครีมกันแดด ควรเลือกที่มีประสิทธิภาพดี ป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB สำหรับค่า SPF(Sun Protection Factor) ควรมีค่าประมาณ 30 หรือสูงกว่า
         ส่วนการรักษาให้ฝ้าจางลงนั้นมีหลายวิธี แต่ละวิธีมีข้อดีและข้อเสีย แตกต่างกันไปดังนี้

       1. การทายา ยาทารักษาฝ้านั้นแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม

          กลุ่มที่เร่งกำจัดเซลล์หนังกำพร้า ทำให้เม็ดสีเมลานินถูกกำจัดออกไปได้เร็วขึ้น เช่น กรดวินามินเอ, ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้(AHA)
          กลุ่มที่ลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน เช่น ยาไฮโดรควิโนน(Hydroquinone), กรดโคจิค(Kojic acid), วิตามินซี การรักษาต้องใช้เวลา 4-8 สัปดาห์จึงเห็นการเปลี่ยนแปลง และมักได้ผลในกรณีที่เป็นฝ้าชนิดตื้น ข้อควรระวังคืออาจทำให้ผิวระคายเคืองง่าย 

       2. วิธีกรอผิวชนิด Microdermabrasion ช่วยเร่งการขจัดเซลล์หนังกำพร้าให้หลุดลอกเร็วขึ้น ได้ผลสำหรับฝ้าที่อยู่ในชั้นตื่นๆ ข้อควรระวัง คือ อาจทำให้ผิวระคายเคืองง่าย นอกจากนี้ยังมีการนำเทคโนโลยีของเลเซอร์ และเครื่องให้กำเนิดแสงความเข้มสูงมาใช้ ซึ่งเป็นการรักษาที่ได้รับความสนใจอย่างมากในปัจจุับัน 

       3. เครื่องให้กำเนิดแสงความเข้มสูง (Intense Pulsed Light หรือIPL) มีผลให้เม็ดสีเมลานิน ดูดซับแสง ถูกทำลายและมีจำนวนลดลง ทำให้ฝ้านั้นจางลงหรือหายไป ข้อจำกัดของIPL คือมักได้ผล ในกรณีที่เป็นฝ้าชนิดตื้นเท่านั้น 

       4. เลเซอร์ C6 แสงเลเซอร์จะทำลายเฉพาะเม็ดสี และมีผลต่อผิวบริเวณข้างเคียงน้อย ทำให้เกิดการแตกสลายของเม็ดสี ทำให้ฝ้านั้นจางลง หรือหายไป ข้อดีคือ ใช้รักษาได้ทั้งเม็ดสีที่อยู่ในชั้นตื้นและลึก เช่น ฝ้า, กระ, กระลึก, ปานดำ และรอยสัก
สำหรับการรักษาฝ้าใช้เวลาในการรักษาทุก 2-4 สัปดาห์ ประมาณ 5-10 ครั้ง

   สาเหตุของการเกิดฝ้า 

         มีปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน ปัจจัยเหล่านี้มีผลกระตุ้นการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสี ได้แก่

        แสงแดด เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด รังสี UVA และ UVB เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดฝ้า และทำให้เป็นฝ้ามากขึ้นได้ 
        ฮอร์โมน ฝ้าอาจเป็นมากขึ้นในสตรีที่รับประทานยาคุมกำเนิดหรือสตรีที่ตั้งครรภ์ และฝ้ามักจางลงภายหลังหยุดยาคุมกำเนิด หรือหลังคลอด 
        ยาบางชนิด เช่น ยากันชัก อาจทำให้ฝ้ามีสีคล้ำขึ้น 
        พันธุกรรม เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการเกิดฝ้า เนื่องจากมีรายงานการเกิดฝ้าในครอบครัวถึงร้อยละ 20-70



ที่มา ... รพ.สินแพทย์

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์