ภาวะของคนสองประเภท (3)

ภาวะของคนสองประเภท (3)


แผนผังของภพชาติ


เหตุ............................................... ผล

วิปากวัฏฏ์ (เกิดมา)..... กัมมะวัฏฏ์ (ทำกรรม)..... กิเลสวัฏฏ์ (เศร้าหมองใจ)

ปากวัฏฏ์ (เกิดอีก)....... กัมมะวัฏฏ์ (ทำกรรม)...... กิเลสวัฏฏ์ (เศร้าหมองใจ)


จะหมุนเวียนเปลี่ยนกันไปเป็นเหตุเป็นผล ผลัดเป็นต้นผลัดเป็นปลายของกันและกันวนอย่างนี้อยู่เรื่อยไป ไม่รู้จักจบจักสิ้นตลอดภพตลอดชาติ ท่านจัดเรียกว่า วัฏฏสงสาร การหมุนของวัฏฏ์ทั้ง ๓ ดังแสดงมานี้ ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องแสดงอาการของความทุกข์สลับกันไปมาทั้งนั้น

ฉะนั้น มนุษย์คนเราเกิดมาก็จะต้องดิ้นรนหมุนเวียนอยู่ในวัฏฏสามนี้

เด็กเกิดมาแล้วก็อยากเติบโตเป็นผู้ใหญ่ โดยเข้าใจว่า เราจะได้อิสระภาพใช้เฉพาะตนเอง ไม่ต้องอยู่ใต้อำนาจบังคับของบิดามารดา หนุ่มๆ สาวๆ ไม่เชื่อโอวาทของพ่อแม่และผู้ปกครอง ก็ด้วยเข้าใจว่าตนมีความสามารถพอตัวแล้ว การอยู่ใต้บังคับคนอื่นเป็นทุกข์ ผู้เป็นโสดอยากมีคู่ครอง ก็ด้วยความเข้าใจว่าเราจะได้อิสระภาพเต็มที่ ผู้ที่มีลูกมีหลานแล้วก็อยากที่ให้เขาแต่งงานเสีย เพื่อที่จะได้หมดห่วงหมดใย


ภาวะของคนสองประเภท (3)


เมื่อชีวิตเปรียบเหมือนกับความฝันแล้ว


เรื่องทั้งหลายดังกล่าวมาแล้วนั้นมันจะเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากจะเป็นความฝันไปตามชีวิตเท่านั้น แต่กระนั้นบุคคลก็ยังดิ้นรนไปตามความฝันของตนๆ อยู่ร่ำไป เพื่อหวังผล คือ ความสุขอันตนวาดภาพไว้บนอากาศ อนิจจา สังขารเอ๋ย หาสาระอะไรมิได้ นอกจากจะมีไว้เป็นเครื่องประดับความคิดของผู้มีความหวังอยู่

แท้จริงเด็กๆ และหนุ่มๆ สาวๆ ซึ่งเป็นกุลบุตรกุลธิดา ของผู้บังเกิดเกล้า

ได้ชื่อว่าเป็นทรัพย์อันมีค่าของวงศ์สกุลตลอดถึงประเทศชาติด้วย ย่อมมีอิสระภาพควรแก่ฐานะของตนเพียงพออยู่แล้ว แต่เขาเหล่านั้นไม่รู้จักคุณค่าของอิสรภาพที่ตนได้ และนำออกมาใช้ไม่ถูกหน้าที่ของตน

จึงได้ทำให้เสียคนเสียเกียรติ

ทำทรัพย์อันมีค่าของบิดา มารดา ตลอดจนประเทศชาติให้เสื่อมสลายไปอย่างน่าเสียดาย ไม่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนเกียจคร้าน หัวดื้อ ถือรั้น ไม่เชื่อคำบิดามารดา และผู้ปกครองเหล่านี้เป็นต้น แต่ละอย่างล้วนแล้ว แต่จะทำทรัพย์อันมีค่าของบิดามารดา ให้ลดน้อยถอยลงไปทั้งนั้น

ภาวะของคนสองประเภท (3)


เมื่อบิดามารดาหรือผู้ปกครองผู้ที่เมตตาปรารถนาดี


หวังจะเทอดทูนคุณค่าของทรัพย์ ที่มีคุณค่าอยู่แล้วให้ดีเด่นขึ้น เมื่อเห็นบุตรธิดาทำสิ่งใดลงไปที่ไม่เหมาะสมก็ตักเตือนว่ากล่าวเขากลับโกรธชักไม่พอใจ เลยเห็นความดีที่บิดามารดามีต่อตนเป็นภัยไปทั้งหมด ความเมตตาปราณีความหวังดีมีคุณค่าเท่ากับ ข้อบังคับ ให้โอวาทตักเตือนเปรียบเหมือนกับการสร้างเรือนจำให้อยู่

หากเขาเหล่านั้นแหละได้แต่งงานไปแล้วด้วยความผิดพลาด

หลงมัวเมาของเขา หรือด้วยความยินยอมของผู้ใหญ่ก็ตามที ซึ่งเขาคิดว่าจะมีอิสระภาพนั้น แท้จริงก่อนจะแต่งงาน ทุกๆ ฝ่ายจะต้องยอมสละสิทธิเพื่ออิสระภาพให้แก่กันและกันเสียก่อนจึงจะแต่งงานกันได้ ถ้าหากไม่มีแล้ว ไม่มีใครจะยอมรักและแต่งงานกันเลย นอกจากจะยอมสละเพื่อคู่รักของตนโดยไม่รู้ตัวแล้ว ยังยอมสละเพื่อบริวารชน มีพ่อตาแม่ยาย พ่อผัวแม่ผัว เป็นต้น

ภาวะของคนสองประเภท (3)


อิสระเหล่านี้ย่อมไม่เหมือนกับอิสระ


เมื่อยังเป็นหนุ่มสาวคราวอยู่กับบิดามารดาที่เหมือนเรือนจำของลูก เมื่อแต่งงานแล้วหน้าที่การงานตลอดถึงความประพฤติและด้านจิตใจเราจะทำอย่างอยู่ด้วยบิดามารดาไม่ได้เด็ดขาด จำจะต้องเปลี่ยนแปลงไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง การงานในบ้านเราจะต้องรับผิดชอบแต่ผู้เดียว รายได้และใช้จ่ายจะต้องมีขอบเขตจำกัด เมื่อได้ลูกขึ้นมา ทุกๆ อย่างจะต้องเพิ่มปริมาณขึ้นเป็นเงาตามตัว


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์