มั่งคั่งอย่างไร ... ไม่รู้จบ


เวลาพูดถึงความมั่งคั่ง คนส่วนใหญ่อาจนึกถึงภาพคนรวยที่มีทรัพย์สินเงินทองมาก ๆ

และมีช่องทางที่จะทำให้ความมั่งคั่งเพิ่มพูนได้ต่อไปเรื่อย ๆ ที่จริงแล้ว

ความมั่งคั่งสามารถมองได้หลายมุม จึงมีได้หลายความหมาย หลายระดับของความพอใจ

แล้วแต่การตีความ บางคนบอกว่า การมีงานทำ มีความมั่นคงในอาชีพการงาน คือ " ความมั่งคั่ง "

บางคนก็วัดความมั่งคั่งจากการมีมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

ทำไมคนเราจึงต้องแสวงหาความมั่งคั่งกัน สิ่งที่ซ่อนลึก ๆ อยู่ในจิตใจของคนส่วนใหญ่ก็คือ



“ ความมีอิสรภาพทางการเงิน (Financial Freedom) ”

ลองนึกถึงสภาพที่เราไม่ต้องทำงาน แต่ยังมีเงินใช้โดยไม่เดือดร้อน หรือเรายังรักที่จะทำงาน

แต่ไม่ต้องอาศัยเงินเดือนนี้เป็นหลักในการดำรงชีวิต เราอาจนิยามความมีอิสรภาพทางการเงินได้ว่า



อิสรภาพทางการเงิน หมายถึง
การที่คนเรามีหลักประกันทางการเงินที่มั่นคงเพียงพอ

ที่จะใช้ชีวิตได้อย่าง สุขสบายตามสมควรแก่อัตภาพ โดยไม่ต้องพึ่งพาใครมากจนเกินไป

และไม่ต้องผวาดผวากับปัญหาเรื่องเงิน ๆ ทองๆ ว่าจะมีไม่พอกับการจับจ่ายใช้สอยเพื่อ

ดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพในอนาคต ”



ถ้าอิสรภาพทางการเงินเป็นเป้าหมายของคนส่วนใหญ่ แต่สังเกตหรือไม่

คนที่พาตัวเองไปถึงระดับการมีอิสรภาพทางการเงินกลับมีไม่มากเลย

มีเคล็ดลับอะไรหรือไม่ที่ทำให้บางคนบรรลุเป้าหมายในเรื่องนี้ได้ ???



1.1 ความมั่งคั่ง : เราสร้างขึ้นมาอย่างไร ?

วิชาการด้านการบริหารความมั่งคั่งส่วนบุคคล ระบุไว้ว่า ความมั่งคั่ง หมายถึง

ขนาดของสินทรัพย์สุทธิของบุคคลซึ่งมาจากสินทรัพย์รวมของบุคคลหักออกด้วย หนี้สินของบุคคล

และ การบริหารความมั่งคั่งของบุคคล หมายถึง

กระบวนการจัดการให้เกิดความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนของสินทรัพย์สุทธิ

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินสำหรับตนเอง หรือลูกค้าในระยะเวลาต่างๆ

คนที่สามารถสร้างความมั่งคั่งได้ คือ คนที่เห็นเคล็ดลับว่า


รู้หา (How to earn)
คือ รู้วิธีใช้ความสามารถของตน (Human Assets) ในการหารายได้

การได้เงินเดือนจากการทำงานของเราเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ ยิ่งการงานประสบความสำเร็จ

เงินเดือนก็จะสูงขึ้น ยิ่งส่งผลให้ความสามารถที่จะออมได้มีมากขึ้น

ซึ่งเป็นรากฐานอย่างดีของการสร้างความมั่งคั่งให้เกิดขึ้น ช่องทางของการรู้หาไม่ได้มีเฉพาะ

การเป็นลูกจ้าง แต่การเลือกนำเงินทุนและแรงงานของเราไป
ลงทุนเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneur)

ก็ทำให้มีโอกาสจะได้รับผลตอบแทนที่สูง ซึ่งเป็นรากฐานของการออมเพื่อความมั่งคั่งได้เป็นอย่างดี


รู้เก็บ (How to save)
การแบ่งรายได้มาเพื่อออมทันทีเป็นการสร้างวินัยการเงิน เพื่อให้ฐานของ

เงินออมขยายตัวเพิ่มรองรับการสร้างความมั่งคั่งในอนาคต และเงินออมควรแบ่งออกเป็นส่วน ๆ

ตามวัตถุประสงค์ของการออม ซึ่งมีทั้งระยะสั้นและระยะยาว


รู้ใช้ (How to spend)
การใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเป็นหลักคิดสำคัญ

เพื่อให้รายได้ที่คงเหลือเป็นเงินออมมีเพียงพอที่จะใช้ขยายฐาน สร้างความมั่งคั่งในวันข้างหน้า


รู้ขยายผล (How to invest)
แนวคิดออมดีกว่าไม่ออม และออมก่อนรวยกว่า

ยังไม่พอที่จะสร้างความมั่งคั่งได้ เราจะต้องเรียนรู้ว่าเงินออมของเรามีทางเลือกอะไรบ้าง

ที่จะนำไปขยายผลให้เหมาะกับระดับความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ ไม่ใช่ฝากธนาคารอย่างเดียว


1.2 ไม่มีความมั่งคั่งสักที เป็นเพราะอะไร ?

“ ทำไมคนรวยจึงรวยเอา ๆ และทำไมคนจนจึงจนอยู่ดักดาน ”
อาจตอบคำถามนี้ได้ว่า

ก็เพราะว่าคนรวยคิดไม่เหมือนคนจนน่ะสิ คงคล้าย ๆ กับว่าโปรแกรมในสมองของคนจน

(ซึ่งเป็นคนส่วนมาก) ตั้งมาไม่เหมือนของคนรวย ทำให้เกิดความเข้าใจผิดหลายประการ

ซึ่งทำให้คนจนต้องจนอยู่ต่อไป เราสามารถสรุปเรื่องนี้ได้ดังต่อไปนี้


ความเข้าใจผิดประการที่ 1 : การมีงานทำเป็นทางเดียวที่จะสร้างความมั่งคั่งได้

เป็นเรื่องธรรมดาที่คนเราต้องทำงาน ตั้งใจทำงานให้ก้าวหน้าเติบโตต่อไป

และเก็บเงินเก็บทองเพื่อให้เกษียณได้อย่างมั่นใจว่า จะมีเงินไว้ใช้จ่ายได้อย่างเพียงพอ

ที่จริงความคิดเช่นนี้ไม่ผิด เพราะการเก็บออมเงินจากรายได้ไม่ว่าจะมาจากแหล่งใด

เป็นฐานของการสร้างความมั่งคั่ง แต่การขยายความมั่งคั่งจากเงินออมของมนุษย์เงินเดือน

ทำได้ไม่เร็วนัก คนรวยไม่ได้คิดเช่นนี้ ลองดูหลักการที่อธิบายเกี่ยวกับความมั่งคั่งไว้ว่า


“ Wealth is when small efforts produce large results ”


ไม่ว่าคุณจะรักงานที่ทำมากเพียงใด ถ้ามันไม่ได้ก่อให้เกิดผลทวีคูณเกี่ยวกับความมั่งคั่ง

ก็ให้จงเชื่อเถิดว่า การพึ่งพิงรายได้จากการทำงานเพียงอย่างเดียว ไม่ใช่วิถีทางทำให้เกิดผล

อย่างใหญ่หลวง (Large Results) ต่อความมั่งคั่งได้ คำตอบในเรื่องนี้ก็คือ


ไม่ใช่เพียงแต่ทำงานหนัก (Work Harder)

แต่ต้องเป็นการทำงาน
อย่างฉลาด (Work Smarter) ด้วย

การทำงานควรถูกมองว่าเป็นความไม่สะดวกสบายชั่วคราว (A temporary inconvenience)

เท่านั้น การทำงานช่วยให้เรามีกระแสเงินสดรับ เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิต

และถ้าต้องการให้มีกระแสเงินสดรับสุทธิคงเหลือมาก ๆ ส่วนที่เหลือมาจากการทำงานจะมีอยู่จำกัด

ลองคิดดูว่า คุณจะออมได้มากที่สุดเท่าไรหลังจากหักค่าใช้จ่ายไปแล้ว


ทางที่ดี
คุณจะต้องเรียนรู้วิธีสร้างกระแสเงินสดรับเพิ่มเติมจากสินทรัพย์อื่น ๆ

นอกจากตัวคุณซึ่งเป็น Human Asset
เพียงอย่างเดียวที่มุ่งหารายได้จากการทำงาน



ความเข้าใจผิดประการที่ 2 : การฝากเงิน คือ การลงทุนที่ดี

นี่ก็อีกเหมือนกัน การออมเป็นเรื่องที่ดีแน่นอน เป็นรากฐานการสร้างความมั่งคั่ง ประเด็นเรื่องการออมนี้

ความสำคัญอยู่ที่การมีวินัยที่จะออมอย่างสม่ำเสมอ และต้องเริ่มต้นตั้งแต่อายุน้อย ๆ จึงจะได้เปรียบ

อย่างไรก็ตาม คนที่มีความมั่งคั่งจะไม่เคยคิดเลยว่า เงินออมที่ได้จากกระแสเงินสดรับสุทธิ

แล้วนำไปฝากธนาคารจะช่วยสร้างความ มั่งคั่งได้

(ลองพิจารณาอัตราดอกเบี้ยเงินฝากแล้วปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อดู)

คนส่วนใหญ่อ้างว่า การฝากธนาคารมีความปลอดภัย

(ข้อนี้ก็ต้องพิจารณาว่า ในอนาคตรัฐบาลจะไม่ค้ำประกันเงินฝากเต็มจำนวนแล้ว)

อันนี้น่าจะเป็นความเคยชิน ความคุ้นเคยของเรามากกว่า ลองมองย้อนไปดูว่า

ฝากเงินมาหลายปีแล้ว เรารวยขึ้นขนาดไหน


ถ้าประเด็นคือ
คุณต้องการความมั่งคั่ง คุณก็ต้องเรียนรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะ Save Smart

ให้ระลึกไว้ว่า เงินออมในรูปเงินฝากของคุณถือว่าอยู่ในสถานะสินทรัพย์สภาพคล่องที่มีผล

ตอบแทนไม่สูงมาก และเรานำมาอยู่ในสถานะนี้ชั่วคราวเท่านั้น (Parked Temporarily in Liquid)

มันรอคอยให้เรากระจายไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า อาจจะมีสภาพคล่อง

ไม่สูงเท่า แต่เราต้องมาตอบว่า เราต้องการสภาพคล่องขนาดไหน ขนาดที่จะต้องมีเงินฝาก

เป็นสินทรัพย์การเงิน 100% ที่เราถือครองหรือไม่


ความเข้าใจผิดประการที่ 3 : การมีหนี้สินเป็นสิ่งที่เลวร้าย จงหลีกหนีให้ไกลเหมือนเชื้อโรค

อันนี้เริ่มต้นก็ต้องชี้แจงก่อนว่า ไม่ได้มาสนับสนุนให้ทุกคนเป็นหนี้ ปัญหาของคนส่วนใหญ่ที่มีภาระหนี้สูง

มักจะมาจากการบริโภค ทำให้เกิดหนี้ประเภท Consumer Debt ขึ้น

หนี้ประเภทนี้นี่แหละที่ควรหนีให้ไกลเหมือนเวลาเจอเชื้อโรค เพราะเป็นตัวบั่นทอนความมั่งคั่ง

ทำให้ฐานเงินออมเราลดลง ค่านิยมของการซื้อของมาบริโภค และทำให้ดูเหมือนว่า

“ มีภาพของความมั่งคั่ง (Appearance of Wealth) ”

เป็นค่านิยมที่ไม่ได้ช่วยให้เกิดความมั่งคั่งที่แท้จริงได้เลย

แต่การมีหนี้ประเภท Investment Debt เป็นอีกคนละเรื่อง

ลองนึกถึงตัวอย่างการซื้อบ้านซึ่งมีราคาแพง บางครั้งเรามีเงินไม่พอ ต้องไปกู้ธนาคารมาบางส่วน

การเกิดหนี้ประเภทนี้ ทำให้ได้สินทรัพย์มาถือครองเพื่อใช้ประโยชน์ในระยะยาว

ซึ่งอาจทำกำไรให้ผู้ลงทุนได้ แต่ผู้ลงทุนก็ต้องมีภาระการจ่ายคืนเงินต้นและดอกเบี้ย

ซึ่งต้องไปบริหารจัดการรายได้รายจ่ายของตนเองให้ดี

ไม่ลงทุนอะไรเกินความสามารถที่จะทำให้กระแสเงินสดสุทธิมาจ่ายได้

(เพราะถ้าเกินตัวไปมาก เราก็จะได้เห็นหนี้เสียประเภท NPL ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น)

หนี้ประเภท Investment Debt
ก็เหมือนหนี้ประเภทอื่นที่พอเราจะกู้ก็เกิดความกังวลว่า

จะจ่ายได้ไหม ไม่มีใครอยากเป็นหนี้หรอก ใคร ๆ ก็อยากเป็นไททั้งนั้น

แต่ถ้าการก่อหนี้เป็นเครื่องมือให้คุณเป็นไททางการเงินได้ในอนาคต อันนี้ก็น่าสนใจนะ

ให้คิดไว้ว่า คนรวยเขามองว่า


“ You can never become wealthy without going into some from of investment debt.”

ปัญหาอยู่ที่การบริหาร Investment Debt อย่างชาญฉลาดนี่เอง


ขอบคุณที่มา : Post Today


มั่งคั่งอย่างไร ... ไม่รู้จบ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์