มูลค่าของ ชีวิต อย่าหนีนะ ไอ้เด็กขี้ขโมย




”อย่าหนีนะ ไอ้ เด็กขี้ขโมย”

เสียงผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนลั่น พร้อมกับมีเด็กคนหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งวิ่งผ่านฉันกับแม่ที่กำลังซื้อเนื้อหมูในตลาดไปอย่างรวดเร็ว ทั้งแม่และฉันหันไปดูทันเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นแค่แวบเดียว แม่ถามฉันว่า


”อ้าว นั่นป้าร้านขายของไม่ใช่เหรอ”


”ใช่จ้ะแม่ แกวิ่งไล่ใครกันละ”


ป้าคนนั้นชื่อว่า ‘ป้าหนอม’ เป็นแม่ค้าขายของชำสารพัดอย่างในตัวตลาดในอำเภอที่ฉันอยู่ มีฐานะจัดว่าดีกว่าแม่ค้าคนอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน และเป็นที่รู้จักกันว่าแกเป็นคนที่ขี้เหนียวอย่างร้ายกาจ แถมปากจัดที่สุดในตลาดอีกด้วย ใครต่อราคาของมากเกินไป หรือถามราคาแล้วไม่ซื้อ ป้าแกจะโวยวายชนิดต้องรีบเผ่นออกจากร้านแทบไม่ทันทีเดียว

เสียงเอะอะดังมากขึ้น ฉันหันไปมองป้าหนอมจับข้อมือเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 12-13 ขวบ ไล่เลี่ยกับฉันซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่ และป้าแกกำลังจะลงไม้ลงมือ แม่จึงเดินเข้าไปถาม


”พี่หนอม มีไรหรอคะ”


”ก็ X เด็กเวรนี่นะสิ มันมา ทำทีขอซื้อยาแก้ปวดกับยาธาตุ พอฉันหยิบส่งให้ มันก็วิ่งหนีมาเลย เงินก็ไม่จ่าย”


พูดจบป้าหนอมก็ตบหัวเด็กคนนั้นอย่างแรงหนึ่งที และคงจะมีตามมาอีกหลายทีแน่ถ้าแม่ฉันไม่ห้ามไว้


”ตายแล้วพี่หนอม อย่าถึงกับลงไม้ลงมือกันเลยนะ แล้วนี่จะทำไงต่อ”


แม่รีบตัดบทเพราะเห็นว่าเรื่องราวชักจะไปกันใหญ่


”เรียกตำรวจมาเอามันไปเข้าคุกนะสิ เสียนิสัย พ่อแม่ไม่สั่งสอน ยังเด็กตัวแค่นี้ก็ริจะเป็นขโมยซะแล้ว ต่อไปก็คงต้องปล้นเขากินหละ”


ฉันสะกิดแม่ทันทีพร้อมกับมองพลางส่ายหัวน้อยๆ ทำนองว่าอย่าไปยุ่งดีกว่า แม่มองฉันแล้วมองเด็กคนนั้น ซึ่งท่าทางเหมือนกำลังจะร้องไห้ แม่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปพูดกับป้าหนอมว่า


”อย่าให้ถึงอย่างนั้นเลยนะพี่หนอม เด็กมันคงอยากซื้อยาแต่ไม่มีเงินนะ เอาเป็นว่าฉันจ่ายให้ละกันนะ กี่บาทกันละ”


ในที่สุดเรื่องก็จบลง โดยการที่แม่ยอมจ่ายเงินค่ายาแก้ปวดกับยาธาตุ แล้วแม่ก็จูงเด็กคนนั้นออกมาจากตลาด แต่ป้าหนอมยังไม่วายเตือนแม่


ใจดีกับเด็กขี้โขมยแบบนี้ ระวังจะเสียใจทีหลังนะเธอ”


แม่ไม่ได้ตอบอะไร แต่พอเดินห่าง จากร้านพอสมควรแล้วก็ถามว่า


”ทำไมหนูขโมยของป้าเขาละ”


เด็กคนนั้นเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมองแม่ แล้วตอบสะอึกสะอื้นว่า


”แม่ผมปวดท้องมากเลยครับ แล้วแม่ก็ไม่มีเงินไปหาหมอ ผมก็เลยต้อง…”


แม่มองหน้าเด็กคนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยื่นผลไม้ที่ซื้อมาให้เด็กคนนั้นถุงหนึ่ง แล้วบอกว่า


”ทีหลังอย่าโขมยของใครนะ ถ้าไม่มีเงินมาขอเงินน้าไปซื้อก็ได้นะ น้าชื่อสมพรเปิดร้านเย็บผ้าอยู่ใกล้ๆ นี่เอง ถามคนแถวนี้ก็ได้ รู้จักน้าแทบทุกคนเลยแหละ เอ้า…เอา ส้มไป ฝากคุณแม่ซิ คนป่วยนะต้องกินผลไม้มากๆ จะได้หายไวๆ รู้มั้ย”


แม่เสริมพร้อมกับยิ้ม เด็กคนนั้นอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะรับส้มพร้อมกับพูดขอบคุณแม่แล้วเดินจากไป


หลังจากนั้นพอกลับมาถึงบ้าน ฉันก็ถามแม่ทันที


”ทำไมแม่ต้องช่วยเด็กคนนันด้วยละ รู้จักกันหรอจ้ะ”


แม่ยิ้ม แล้วตอบฉันว่า


”ไม่รู้จักหรอก แต่แม่เห็นเด็กคนนั้นรับจ้างหาบขนมขายอยู่แถวบ้านเราน่ะลูก แต่แกคงจำแม่ไม่ได้หรอก แม่ซื้อขนมแกอยู่ไม่กี่ครั้งเอง”


”แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องช่วยเหลือเขาถ้าเขาเป็นขโมยนี่แม่”


ฉันถามต่อ แม่มองหน้าฉันแล้วพูดว่า


แม่เชื่อว่าเด็กที่เคยหาเงินด้วยตัวเองมาก่อนตั้งแต่อายุเท่าๆ กับลูก จะต้องเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบ รู้คุณค่าของเงินทุกบาททุกสตางค์ว่ากว่าจะได้มามันเหนื่อยยากขนาดไหน และคนที่มีความรับผิดชอบนะ จะไม่มีทางขโมยของใครนอกจากจะจำเป็นจริงๆ เมื่อเขาไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้วเท่านั้น


ฉันฟังแล้วก็ถามแม่ต่อว่า


”แล้วต่อไปถ้าเขามาขอเงินแม่ไปซื้อยาอีก แม่จะให้เขารึเปล่า”


”ให้สิลูกถ้ามันไม่มากไม่มายอะไร”


”แล้วแม่ไม่เสียดายเงินหรอ บ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนบ้านป้าหนอมเขานะแม่”


ถึงแม่จะไม่มีเงินทองมากนัก แต่การที่ได้ช่วยเหลือคนที่กำลังลำบากน่ะ มันทำให้แม่มีความสุข แล้วยังได้บุญอีกด้วยนะ แค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว ไม่อยากได้อะไรตอบแทนหรอก


แล้วแม่ก็พูดต่ออีกว่า


จำไว้นะลูก คนเรานะ ต้องรู้จักให้อภัยและให้โอกาสคนอื่นแก้ตัวเสมอ อย่างเด็กคนนั้น..แม่มั่นใจว่าแกทำไปเพราะรักคุณแม่ของแกจริงๆ แม่ถึงช่วยแกเอาไว้


แล้วแม่ก็พูดต่อว่า


ลูกอาจจะบอกว่าขโมยเป็นสิ่งที่ผิด ใช่…แม่ไม่เถียง แต่บางครั้งคนเราก็ต้องมองด้านอื่นๆ บ้าง อย่าคิดแต่เรื่องทรัพย์สินเงินทอง ตอนนี้ลูกอาจจะยังฟังไม่เข้าใจ แต่แม่เชื่อว่าสักวันลูกจะเข้าใจเองแหละ


หลังจากนั้น ฉันกับแม่ก็หันไปคุยเรื่องอื่นๆ กันต่อ ฉันเองไม่เคยคิดเรื่องนี้อีกเลย จนเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ทำให้ฉันต้องย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้งทั้งน้ำตาว่าคำพูดของแม่ในครั้งนี้ถูกต้องที่สุดจริงๆ


หลังจากนั้นฉันเรียนจบระดับปริญญาตรีจากสถาบันราชภัฏแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด แล้วฉันก็ได้งานทำในโรงงานแห่งหนึ่งในตัวจังหวัดนั้นเอง เงินเดือนก็พอประมาณ สามารถเลี้ยงดูแม่ได้โดยไม่ขัดสนนัก ฉันก็เลยขอร้องให้แม่หยุดรับจ้างเย็บผ้า เพราะอยากให้แม่พักผ่อนบ้างหลังจากทำงานหนักมาเกือบ 20 ปีเพื่อส่งฉันเรียน แม่ยอมปิดร้าน แต่ก็ยังรับงานเล็กๆ น้อยๆ ของเพื่อนบ้านมาทำบ้างโดยไม่คิดเงิน แม่บอกว่าถ้าไม่ได้ทำอะไรเลยจะรู้สึกเบื่อ ฉันก็เลยต้องยอมตามใจแม่


ฉันทำงานอยู่ประมาณ 2-3 ปี แม่ก็เริ่มรู้สึกไม่สบาย เริ่มจากปวดหัวบ่อยขึ้น ช่วงแรกๆ ไม่กี่วันก็หาย หลังจากนั้นก็เริ่มเป็นนานขึ้นเรื่อยๆ ฉันบอกให้แม่ไปหาหมอ แล้วฉันก็พาแม่ไปหาหมอในเมือง หมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก แค่ทำงานหนักมากเกินไป หมอให้ยามาชุดหนึ่งพร้อมกำชับให้พักผ่อนมากๆ จะได้หายเร็วๆ


หลังจากกินยาตามที่หมอสั่ง อาการปวดหัวของแม่ก็หายไป ฉันเริ่มสบายใจขึ้น แต่หลังจากไปหาหมอได้ประมาณหนึ่งเดือน แม่ก็เริ่มกลับมาปวดหัวอีก คราวนี้เป็นหนักมากกว่าครั้งที่แล้ว ยาที่เคยกินแล้วได้ผลมาก่อนก็ไม่ได้ผลเลย ฉันกังวลใจมาก พอถามหมอ หมอก็บอกว่าต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ เพราะว่าเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมกว่าโรงพยาบาลต่างจังหวัด


หลังจากนั้นฉันรีบพาแม่ไปกรุงเทพฯ ทันที ไปยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง หลังจากหมอตรวจแล้วบอกว่ามีเนื้องอกในสมองต้องผ่าตัดโดยด่วน หากปล่อยทิ้งไว้อาจไปทับเส้นประสาททำให้เป็นอัมพาตได้ หรือถ้าผ่าตัดไม่ทันก็อาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต ฉันตกใจมากขอให้หมอผ่าตัดให้ทันที แต่หมอบอกว่าโรงพยาบาลที่มีหมอผ่าตัดสมองที่มีความพร้อมที่จะผ่าตัดเนื้องอกในสมองเป็นอีกโรงพยาบาลหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่า ดังนั้นหมอจึงต้องส่งตัวคนไข้ไปยังโรงพยาบาลนั้น ฉันก็ตกลง


หลังจากถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลดังกล่าวแล้ว แม่ก็ถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดทันที ขณะที่ฉันรออย่างกังวลใจอยู่ด้านนอก ทั้งเรื่องอาการป่วยของแม่ และจากคำพูดของหมอที่ทิ้งท้ายไว้ก่อนส่งตัวแม่มาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ หมอบอกให้ทำใจไว้บ้าง เพราะการผ่าตัดสมองเป็นการผ่าตัดที่เสี่ยงมาก โอกาสที่คนไข้จะเสียชีวิตมีมาก แม้การผ่าตัดจะประสบความสำเร็จก็ตาม อีกเรื่องก็คือค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดสมองค่อนข้างสูง เป็นหลักแสนบาท เมื่อรวมกับค่ายา ระหว่างพักฟื้น คิดแล้วน่าจะต้องใช้เงินราวๆ ห้าแสนบาท


ฉันได้ยินแล้วแทบลมจับ ฉันจะไปหาเงินห้าแสนบาทมาจากไหน ลำพังเงินเก็บของฉันกับแม่ยังมีไม่ถึงห้าหมื่นบาทเลย แต่ยังไงฉันก็ต้องรักษาแม่ให้หาย ส่วนเรื่องเงินไว้คิดทีหลัง


หลังการผ่าตัดเสร็จสิ้นลง เป็นโชคดีของแม่ที่การผ่าตัดประสบผลสำเร็จ และไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆ ทางโรง พยาบาลบอกให้พักฟื้นประมาณหนึ่งเดือนก็สามารถไปพักฟื้นที่บ้านได้ ทางโรงพยาบาลแจ้งรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาให้ฉัน ปรากฎว่าเป็นเงินจำนวนไม่ถึงหนึ่งพันบาท เป็นค่าติดต่อประสานงานเท่านั้น


ฉันแปลกใจมาก จึงสอบถามกับนางพยาบาล นางพยาบาลบอกว่าคุณหมอที่เป็นคนผ่าตัด และเป็นเจ้าของไข้บอกไม่ให้คิดเงินกับฉันและแม่ โดยที่ทางโรงพยาบาลก็ไม่ทราบสาเหตุ ฉันจึงขอพบคุณหมอคนนั้นเพื่อขอบคุณ นางพยาบาลบอกว่าหลังจากเสร็จคุณหมอก็ถูกส่งตัวไปต่างประเทศทันทีเพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการผ่าตัดสมองที่อเมริกา แต่คุณหมอได้ฝากจดหมายไว้ให้ฉันกับแม่ โดยกำชับกับทางโรงพยาบาลให้ฝากให้ฉันพร้อมกับใบเสร็จค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของทางโรงพยาบาลในวันที่แม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้


เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันกับแม่ก็เปิดอ่านจดหมายของคุณหมอคนนั้น เมื่ออ่านจบทั้งฉันและแม่ก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกัน เนื้อความในจดหมายมีดังนี้


’ข้าพเจ้านายแพทย์เดชา ทองวิจิตร แพทย์ผู้ผ่าตัด นางสมพร ภู่จันทร์ ขอสรุปค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดทั้งหมดดังนี้


ค่าผ่าตัด 0 บาท
ค่ายาทั้งหมด 0 บาท
ค่าใช้จ่ายอื่นที่เหลือ 0 บาท
รวมเป็นเงินทั้งหมด 0 บาท


ป.ล. ค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้รับแล้ว เมื่อยี่สิบปีก่อนด้วยยาแก้ปวด ยาธาตุ ส้มหนึ่งถุง


ขอให้สุขภาพแข็งแรงไปอีกนานๆ นะครับคุณน้า


นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร


-o- Fw Mail -o-




เกร็ด
  • เรื่องนี้มีจริงไม่จริงไม่รู้ แต่คำว่า "เดชา ทองวิจิตร" นี้เป็นคำที่ถูกค้นหามาก... แต่เท่าที่ตรวจสอบได้ ไม่ปรากฎชื่อ นายแพทย์ เดชา ทองวิจิตร ในทะเบียนผู้ประกอบโรคศิลป์ ของแพทยสภาแต่อย่างใด คาดว่านี่อาจจะเป็นชื่อของผู้แต่ง ที่มีความฝันอยากจะเป็นหมอก็ได้
  • จริงๆเรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นจาก "ขายหัวเราะ" เคยอ่านผ่านตามานานแล้ว
  • จริงไม่จริง ก็ให้ข้อคิดที่ดีกับพวกเรา.. และดูเหมือนจะหายไปจากจิตใจของคนไทยพอควร.. {รับสิ่งใหม่แต่อย่างทิ้งสิ่งเดิม นะ ,,^v^,}
  • " ถ้าบอกว่าเป็นเรื่องแต่งผมก็พอจะปลื้มอยู่บ้าง แต่ถ้าหลอกให้เข้าใจผิดว่ามีอยู่จริง แต่มันเป็นแค่เรื่องแต่ง ผมไม่อาจปลื้มได้หรอกนะ "ท่านผู้นั้น
  • ลองเทียบกันดูแล้ว เนื้อหาของเรื่องนี้คล้ายกับนมสดหนึ่งแก้วมาก แต่เราจะรู้สึกว่านมสดหนึ่งแก้วมีคุณค่าน่าเทิดทูนกว่า ทำไม? เพราะนมสดหนึ่งแก้วไม่พยายามให้คุณเข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องจริง นมสดหนึ่งแก้วใช้มุมมองบุคคลที่สามเล่าเรื่องด้วยสำนวนเรียบง่าย เพื่อสื่อสารให้เข้าใจถึงประโยชน์ของการทำดี แต่เรื่องนี้ใช้มุมมองบุคคลที่หนึ่งและใช้สำนวนเพื่อบีบอารมณ์ของคนอ่านมากกว่า ในฐานะเรื่องจรรโลงใจแล้ว การกระทำนี้ไม่เป็นการเคารพมโนธรรมของคนอ่านเลย -  สาวน้อยจอมเวทย์

คัดลอกจากความคิดเห็นจากเว็บหนึ่ง
       
เดี๋ยวนี้มีกระแส ฟอร์เวิร์ดเมล์เรื่องความซาบซึ้งตราตรึงใจ ปาฏิหารย์เยอะขึ้นทุกวัน แทบเชื่อถือไม่ได้ทั้งนั้นค่ะ เชื่อว่ามีเรื่องจริงบ้าง แต่คงน้อยนิดเมื่อเทียบกับปริมาณเรื่องแต่งขึ้น เพื่อนชะนีเดี๊ยนทะเลาะกับเดี๊ยนเป็นประจำ หาว่ากร้านโลก ไม่มีหัวใจ ลองคิดตามโอกาสความน่าจะเป็นสิคะ วิเคราะห์เป็นส่วนๆ- แม่เจ้าของเรื่องพบกับหมอเด็กขี้ขโมยในอดีต โดยที่ไม่มีการติดต่อก่อนหน้านี้- จบแพทย์ไม่ใช่ทำได้ทุกด้านนะคะ มันต้องเรียนต่อเฉพาะทาง ซึ่งมีสาขาเยอะมาก แล้วหมอคนนั้นดันเลือกเรียนต่อเฉพาะทางด้านประสาทศัลยฯ ตรงเป๊ะกับโรคแม่พอดี- หากเด็กคนนั้่นประสบความสำเร็จในชีวิตจากการค้าขาย เป็นเถ้าแก่ ดิฉันว่าพอเป็นไปได้ แต่ชีวิตลำบากขนาดนั้น ไม่อยากเชื่อค่ะว่าสามารถเรียนแพทย์ หาเช้ากินค่ำแล้วจะมีเวลาที่ไหนไปท่องหนังสือยากๆ ทำคะแนนสูงๆ เพื่อเข้าเรียนแพทย์ แถมเข้าได้แล้วค่าใช้จ่ายก็สูงลิ่ว หรือใครจะแถว่าอาจได้ทุนหรือโชคดีมีคนรับไปอุปการะก็ได้นะคะ เชิญต่อยอดกันตามสบาย-นี่ ยังไม่นับเรื่องความสัมพันธ์กับเหตุการณ์และเวลาอีก กว่าจะจบหมอเฉพาะทางใช้เวลานานมากคะ เรียนแพทย์ 6 ปี ใช้ทุน 0-3 ปีแล้วแต่สาขาที่เลือกเรียนต่อ ถึงจะต่อเฉพาะทางได้อีก2ปี ไม่ใช่เรียนมหาลัย 4 ปีจบเป็นหมอใหญ่ผ่าสมองได้นะคะเธอ แต่ดูเหมือนเจ้าของเรื่องเพิ่งจบป.ตรีได้ไม่นาน ขัดแย้งกับระยะการศึกษาของเด็กคนนั้นที่เป็นแพทย์ประสาทศัลยฯ

มันจะบังเอิญไปหมดทั้ง 4 ประเด็นนี้เชียวหรือคะ?

เข้า ใจว่าคนแต่งคงอยากถ่ายทอดเจตนารมณ์อันดีงามผ่านตัวอักษรเพื่อจรรโลงสังคม แม้เป็นเรื่องสมมติแต่อ่านแล้วทำให้รู้สึกโลกมันน่าอยู่ขึ้น ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร แต่ที่เดี๊ยนเป็นห่วงคือ ยังมีคนอีกมากไม่รู้จัก "คิดเชิงวิพากษ์" การวิพากษ์ไม่ใช่การจับผิด แต่คือการวิเคราะห์ข้อเท็จจริง ไม่งั้นให้อ่านอะไรก็เชื่อตาม ๆ กันหมด ถ้าไม่หัดอ่านแล้ววิพากษ์ตั้งแต่เรื่องแค่นี้ อีกหน่อยต้องตัดสินใจเรื่องใหญ่จากข้อมูลที่ได้ยินได้เห็นมา อาจเกิดปัญหาจากการเป็นคนเชื่อไปหมดทุกอย่าง

ความคิดเห็นของดิฉันไม่ได้มีเจตนาประกาศกร้าว ขวางโลก หรือสวนความรู้สึกทุกท่านในกระทู้ แค่อยากบอกว่า ซึ้งได้ อิ่มเอิบใจได้ แต่อ่านอย่างมีวิจารณญาณ รู้เท่าทันตัวหนังสือ ที่สำคัญลงมือทำจริงดีที่สุดค่ะ คุณจะเชื่อเรื่องนี้หรือไม่ ไม่ได้บ่งชี้ว่าคุณเป็นคนดีเท่ากับการกระทำค่ะ


มูลค่าของ ชีวิต อย่าหนีนะ ไอ้เด็กขี้ขโมย


        เป็นเรื่องราวดี ๆ ที่ถูกแชร์ ถูกส่งต่อกันอย่างมากมายในสังคมออนไลน์ เกี่ยวกับเรื่องราวของคุณหมอคนหนึ่ง ที่ผ่าตัดเนื้อร้ายให้กับหญิงคนหนึ่ง โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแม้แต่บาทเดียว... ซึ่งคุณหมอคนดังกล่าว มีชื่อว่า "นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร" แต่ถึงแม้ว่า จะไม่ทราบว่าผู้บอกเล่าเรื่องราวดังกล่าวเป็นใคร และเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ส่วนนายแพทย์เดชา ทองวิจิตร นั้น จะเป็นเพียงตัวละคร หรือเป็นนายแพทย์ที่มีตัวตนจริง ๆ แต่เรื่องราวดี ๆ เรื่องนี้ ก็ทำให้คนที่ได้อ่านรู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก แถมได้ข้อคิดหลายอย่างเลยทีเดียว...

มูลค่าของ ชีวิต อย่าหนีนะ ไอ้เด็กขี้ขโมย


มูลค่าของ ชีวิต อย่าหนีนะ ไอ้เด็กขี้ขโมย


มูลค่าของ ชีวิต อย่าหนีนะ ไอ้เด็กขี้ขโมย

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์