ยาปฏิชีวนะ รักษาไม่ได้ทุกการอักเสบ

ยาปฏิชีวนะ รักษาไม่ได้ทุกการอักเสบ


ยาปฏิชีวนะ (Antibiotic) เป็นยารักษาโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ยากลุ่มนี้มีหลายชนิด เช่น เพนนิซิลลิน, อะม็อกซิซิลลิน, นอร์ฟล็อกซาซิน, อิริโทรมัยซิน, ซัลฟา เป็นต้น ซึ่งแต่ละชนิดใช้รักษาแบคทีเรียต่างชนิดกัน ยาปฏิชีวนะ ต้องใช้เฉพาะเมื่อมีอาการเจ็บป่วยที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น ซึ่งยาปฏิชีวนะที่ใช้ก็ต้องตรงกับเชื้อที่เป็นสาเหตุ ไม่ใช่จะใช้ยาชนิดใดก็ได้

หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าเมื่อเป็นหวัด มีอาการเจ็บคอ น้ำมูกไหล เสียงแหบ มีเสมหะต้องกินยาปฏิชีวนะซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะอาการเหล่านี้เป็นอาการของโรคหวัดซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ส่วนยาปฏิชีวนะใช้สำหรับฆ่าเชื้อแบคทีเรีย จึงใช้ไม่ได้ผลกับโรคหวัด อาการต่างๆ ของโรคหวัดกินเวลาประมาณ 7-10 วัน ช่วงแรกผู้ป่วยมักมีน้ำมูก หรือเสมหะขาวใส แต่เมื่อหวัดใกล้หาย น้ำมูกหรือเสมหะจะข้นขึ้น และอาจเปลี่ยนเป็นสีเขียวเหลือง

แต่คนมักเข้าใจผิดคิดว่าอาการแย่ลงจึงเริ่มหายาปฏิชีวนะมากิน ซึ่งไม่มีประโยชน์ เพราะแม้ไม่กินยาปฏิชีวนะโรคหวัดก็หายได้เองอยู่แล้ว ดังนั้น การกินยาปฏิชีวนะทุกครั้งที่เป็นหวัดหรือมีน้ำมูกหรือเสมหะสีเขียวเหลืองจึงไม่ถูกต้อง ซึ่งอาจค้านกับความรู้สึกหรือการปฏิบัติ และความเข้าใจที่ผ่านมา

มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับยาปฏิชีวนะ เพื่อลดการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างพร่ำเพรื่อ เกิดความตระหนักในการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผล และขยายวงกว้างไปสู่การรับรู้ของคนรอบข้าง ภายใต้แนวคิด "อย่าใช้ยาปฏิชีวนะ ถ้าไม่จำเป็น" หากจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะให้ใช้อย่างถูกต้อง และเหมาะสม  โรคหวัดหายได้เอง โดยไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ


การรักษาโรคหวัด ควรรักษาตามอาการ เช่น

- ถ้าเป็นไข้ ก็กินยาลดไข้ หรือเช็ดตัวลดไข้
- ถ้ามีน้ำมูกมาก อาจล้างรูจมูกด้วยน้ำสะอาด เพื่อให้รู้สึกโล่งขึ้น
- ถ้าคัดจมูก อาจกินยาเพื่อบรรเทาอาการคัดจมูก
- ถ้ามีอาการเจ็บคอ เสียงแหบหรือไอ ควรลดการใช้เสียง ดื่มน้ำอุ่น อาจกินฟ้าทลายโจร เพื่อบรรเทาอาการเจ็บคอ หรืออมยาอมมะแว้ง เพื่อให้ชุ่มคอ
- หากไอมากอาจใช้ยาแก้ไอช่วยบรรเทาอาการ ที่สำคัญคือ การรักษาร่างกาย (โดยเฉพาะบริเวณลำคอ) ให้อบอุ่น พักผ่อนให้เพียงพอ จะช่วยให้หวัดหายได้เร็วขึ้น


ยาปฏิชีวนะ รักษาไม่ได้ทุกการอักเสบ


ยาปฏิชีวนะรักษาไม่ได้ทุกการอักเสบ

การอักเสบ เป็นผลจากการที่ร่างกายมีปฏิกิริยาต่อสิ่งแปลกปลอม หรือสิ่งที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บต่อร่างกาย ก่อให้เกิดอาการปวด บวม แดง ร้อน และอาจมีไข้

อาการคอแดง เจ็บคอหรือคออักเสบ เกิดได้จากหลายสาเหตุ คือ

1. ติดเชื้อไวรัส (พบบ่อยที่สุด)                     
2. ติดเชื้อแบคทีเรีย (พบได้น้อยกว่าร้อยละ 20)
3. สาเหตุอื่นๆ เช่น ภูมิแพ้ การใช้เสียงมาก สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า


ดังนั้นถ้ามีคอแดง เจ็บคอ คออักเสบจากเชื้อไวรัส หรือจากสาเหตุอื่นๆ ก็ไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ การอักเสบส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ แต่ยาปฏิชีวนะเป็นยาที่ใช้รักษาอาการอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น ไม่ได้รักษาอาการอักเสบจากเชื้อไวรัส เช่น หวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือการอักเสบจากสาเหตุอื่นๆ

ดังนั้นการเรียก "ยาปฏิชีวนะ" ว่า "ยาแก้อักเสบ" จึงไม่ถูกต้อง เพราะทำให้เข้าใจผิดว่า ทุกครั้งที่มีการอักเสบไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใด ก็ต้องใช้ยาปฏิชีวนะรักษาทั้งหมด ซึ่งอันตรายมาก เพราะอาการอักเสบที่เป็นอยู่ก็ไม่หาย แต่ยังเสี่ยงกับผลข้างเคียงของยา แพ้ยา และสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น

มาถึงตรงนี้แล้วหลายท่านคงได้รับความรู้เรื่องยาปฏิชีวนะไปพอสมควร น่าจะทำให้มั่นใจได้ว่า เมื่อป่วยเป็นหวัดไม่ต้องกินยาปฏิชีวนะก็หายป่วยได้ ดังนั้นการดูแลสุขภาพของตนเองล้วนเป็นเรื่องจำเป็น ที่จะทำให้เรารอดพ้นจากการเจ็บป่วย ที่สำคัญและพึงระลึกไว้เสมอ คือ ต้องปรับพฤติกรรมตัวเองไม่ให้เสี่ยงต่อการเกิดโรค เพื่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน ดั่งคำที่ว่า "สุขภาพดีเริ่มที่ตัวเรา"




ที่มา ThaiHealth

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์