รู้อะไร ก็สักแต่ว่ารู้

รู้อะไร ก็สักแต่ว่ารู้


เมื่อดูเข้าไป ดูเข้าไป โดยอาศัยกำลังของสติและจิตอันหนักแน่นแล้ว เราจะเห็นอารมณ์และถ้าเห็นจริง ๆ แล้ว ก็จะรู้ชัดเป็นความรู้ที่มีกำลัง มีอำนาจ ในการต่อสู้กับกิเลสตัณหา เรียกว่าภาวนามยปัญญา

ภาวนามยปัญญา ไม่ใช่ปัญญาที่เกิดขึ้นจากการขบคิดพินิจพิจารณาตามเหตุผลในระดับสมอง หรือปัญญาที่เกิดขึ้นจากการได้ยิน ได้ฟังเกิดความทรงจำ คิดได้พูดได้ที่เรียกว่า จินตามยปัญญา และ สุตตมยปัญญา

แต่ภาวนามยปัญญานั้น อาศัยสติ และสมาธิที่หนักแน่นเข้าไปดูลึก ๆ ภายในจิตจนเห็นอารมณ์ของตนเองอย่างชัดเจน ฉะนั้นการปฏิบัติธรรม คือการพยายามรักษาจิตตั้งเจตนาให้ถูกต้อง เพื่อทวนกระแสแห่งอารมณ์พยายามรักษาอารมณ์ให้รู้อยู่แต่อารมณ์ที่ 1 คือผัสสะ เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินเสียงก็สักแต่ว่าได้ยิน รู้ก็สักแต่ว่ารู้ แต่ถ้าหลุดไปเป็นอารมณ์ที่ 2 คือเวทนา ก็อย่ายึดมั่นถือมั่น

ชอบไม่ชอบอย่ายึดมั่นถือมั่น เช่นนี้ไปเรื่อย ๆอีกอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อเกิดกระทบอารมณ์ก็พยายามให้ความรุนแรงของอารมณ์ลดลง ๆเช่น แต่ก่อนเมื่อกระทบอารมณ์ได้ยินเสียงนินทาปุ๊บ จิตก็แล่นไปถึงอารมณ์ที่ 4-5-6 เลย คือเกิดเป็นอุปาทาน ภพ ชาติ ฯปรุงแต่งไปเรื่อย ๆ เกิดทุกข์เดือดร้อนเป็นเดือนเป็นปีก็มีการปฏิบัติคือการพยายามลดอารมณ์รุนแรงนี้ให้หยุดอยู่แค่อารมณ์ที่ 3, 2, 1 ตามลำดับ

เคยทะเลาะกับภรรยาแล้วอารมณ์ไม่ดีอยู่ 5-6 วัน ก็ให้ลดลงเหลือ แค่ 1 วัน และต่อไปก็ไม่ต้องทะเลาะเลย เป็นต้น

นี่คือการพยายามลดความรุนแรงของอารมณ์จากขั้นที่ 6-5-4เป็น 3-2-1 เป็นลำดับ และ เป็นการทวนกระแสแห่งอารมณ์
เราต้องระมัดระวังและกลัวความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของเรา เพราะเป็นมูลเหตุ ของบาปอกุศล และความทุกข์ทั้งปวงเมื่อจิตนึกไป คิดไป ปรุงแต่งไปเรื่อย ๆ ตามอำนาจของกิเลสตัณหาแล้วก็จะแสดงออกมาเป็นการกระทำทางกาย ทางวาจา ในที่สุด

ดังนั้น สิ่งที่น่ากลัวที่สุด เป็นอันตรายร้ายกาจที่สุดและเป็นศัตรูผู้จองผลาญก็อยู่ตรงนี้ ตรงที่ ความรู้สึกนึกคิดของตัวเราเองเราจึงต้องไม่ประมาท เหมือนดังที่พระบรมศาสดาได้ทรงย้ำให้พวกเรารู้สึกตื่นตัวอยู่เสมอเสมือนว่า กำลังอยู่ในห้องที่มีอสรพิษ คอยจ้องอยู่ตลอดเวลา


ขอขอบคุณเนื้อหาดีดี โดย : konpob


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์