วิธีป้องกันและให้ความช่วยเหลือเมื่อลูกถูกรังแกที่โรงเรียน


วิธีป้องกันและให้ความช่วยเหลือเมื่อลูกถูกรังแกที่โรงเรียน

หากคุณเข้าใจว่าการรังแกกันในโรงเรียนของเด็กๆนั้นหมายถึงแค่ การดึงผมเปีย ล้อชื่อพ่อ หรือ ตบหัวแล้ววิ่งหนีนั้น ก็ขอบอกเลยครับว่าคุณกำลัง"เข้าใจผิด"
เพราะผมเคยต้องรักษาเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่อยากไปโรงเรียนอีกเลย เพราะถูกเพื่อน 2 คนล๊อคแขน ส่วนอีกคนก็เอาถังขยะมาครอบหัวเขา และยังมีอีกคนคอยถ่ายเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นวีดีโอคลิปเก็บไว้
  เนื่องจากผลกระทบจากการถูกรังแกนั้นมีได้ตั้งแต่ หงุดหงิดรำคาญใจ ไปจนถึง กลัวการไปโรงเรียน หูแว่วประสาทหลอน จนกระทั่ง ฆ่าตัวตาย จึงสำคัญอย่างยิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรจะหาวิธีป้องกันและให้ความช่วยเหลือเมื่อลูกถูกรังแกที่โรงเรียนเสียแต่เนิ่นๆ ซึ่งผมขอแนะนำวิธีที่มีหลายคนนำไปทดลองใช้แล้วได้ผลดี ดังนี้ครับ

1.เลี้ยงลูกให้เป็นคน "น่าเกรงขาม"
สิ่งแรกที่คุณพ่อคุณแม่ต้องทราบก่อนคือ เด็กขี้แกล้งส่วนใหญ่แล้วมักจะ "เลือกเหยื่อ" ที่น่าแกล้ง เช่น มีบุคคลิกภาพที่ ขี้แย ขี้กลัว ขี้กังวล ดูหงิมๆ ติ๋มๆ หรือ อาจเป็นเด็กที่ขี้โมโห โกรธง่าย แต่ไม่สู้คน เป็นต้น
ดังนั้นการป้องกันที่ดีที่สุดคือ คุณควรที่จะเลี้ยงลูกของคุณให้มีบุคลิกภาพที่ "น่าเกรงขาม" (ไม่ใช่น่ากลัวนะครับ)ซึ่งสามารถทำได้โดย

1.1การเสริมสร้างให้เขามีความภาคภูมิใจ และ มั่นใจในตัวเอง ซึ่งมักจะได้มาจาก การที่เขาได้ทำอะไรสำเร็จ แก้ปัญหา ฟันฝ่าอุปสรรค ด้วยตัวเองอยู่บ่อยๆ โดยมีคุณพ่อคุณแม่คอยให้กำลังใจและคำชม

1.2การเลี้ยงดูที่ไม่ตามใจ ไม่ช่วยเหลือเขามากจนเกินไป (หรือที่เรียกว่า เลี้ยงดูแบบคุณหนู) และ ที่สำคัญคือ การไม่ใช้คำพูด หรือ การลงโทษที่รุนแรงกับลูก เพราะนอกจากจะทำให้ลูกกลัวเราแล้ว อาจจะทำให้เขาพาลกลัวคนอื่นไปด้วย

 หรือที่ร้ายไปกว่านั้น เขาอาจจะกลายเป็นคนที่ไปแกล้งคนอื่นเสียเอง เพื่อระบายความอัดอั้นตันใจที่ได้รับมาจากที่บ้านครับ
 
แน่นอนว่าหากคุณทำให้ลูกของคุณนั้น เดินอกผายไหล่ผึ่งเหมือนจูล่ง พูดจาฉะฉานดั่งเตียวหุย และมีสายตาที่ดุดันราวกับเทพเจ้ากวนอูได้แล้วละก็ รับรองว่าเด็กเกเรคนไหนก็ไม่กล้ายุ่งด้วยครับ

2.ใช้เทคนิค "ฝูงปลาเล็ก"
หากคุณเคยดูสารคดีสัตว์โลกใต้ทะเลคุณจะพบว่าวิธีที่ปลาตัวเล็กๆใช้ในการเอาชีวิตรอดจากการตกเป็นเหยื่อของปลานักล่า คือ การอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ ซึ่งเราสามารถนำมาปรับใช้ได้โดยการช่วยลูกให้มีเพื่อนหลายๆคน (สัก 5-10 คนกำลังดี) ครับ เราะนั่นหมายถึงว่า ใครก็ตามที่จะแกล้งลูกของคุณ เขาก็จะต้องฝ่าด่านเพื่อนหลายคนกว่าจะมาถึงตัวของลูกคุณได้ ซึ่งจะทำให้การรังแกเขานั้นไม่ง่ายเหมือนแต่ก่อน รืออาจถึงขั้นคนไข้ของผมคนหนึ่งที่มาเล่าให้ฟังว่า พอเขาถูกแกล้งปุ๊บ ก็มีเพื่อนของเขาวิ่งมากระโดดถีบเด็กขี้แกล้งคนนั้นกระเด็นไปเลยครับ ากใครสนใจวิธีนี้ก็สามารถศึกษาวิธีช่วยลูกหาเพื่อนเพิ่มเติมได้จากบทความ #สอนลูกอย่างไรให้เพื่อนรัก ของหมอก้อยได้เลยครับ
 
3.เอาคืนบ้างดีไหม

ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นคำถามที่ค้างคาใจคุณพ่อคุณแม่หลายท่านว่าเราควรสอนลูกให้ "สวนกลับ" เพื่อนไปเลยดีไหม เนื่องจากนี้ไม่มีคำตอบที่ตายตัว เพราะว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องนำมาพิจารณา เช่น อายุ เพศ ลักษณะของการแกล้ง  วิธีที่จะใช้ในการเอาคืน และ ลักษณะ หรือ วัฒนธรรมของแต่ละโรงเรียน เป็นต้น ดังนั้นขอแนะนำเป็นหลักการดังนี้ครับ

3.1เป็นสิทธิอันชอบธรรมของมนุษย์ที่จะทำการ "ป้องกันตัว" เมื่อถูกทำร้าย ซึ่งสิ่งที่ต้องนำมาพิจารณาคือ แล้วแค่ไหนล่ะที่เรียกว่าป้องกันตัว

3.2ในความเห็นของผม การป้องกันตัวนั้นคือ การโต้ตอบอะไรก็ได้ที่ ไม่ทำให้ตัวลูกเองและฝ่ายตรงข้ามเกิดการบาดเจ็บที่รุนแรง เช่น ตาเขียว ฟันหัก หัวแตก รวมถึงไม่ควรทำให้ข้าวของเสียหาย

3.3การป้องกันตัวอาจเริ่มต้นด้วยการ ขู่ หรือ เตือนว่า "ถ้าไม่หยุดเดี๋ยวจะเจ็บนะ" ซึ่งหากเตือนแล้วก็ยังไม่ฟัง การชกเพื่อนที่หัวไหล่ หรือ ต้นแขน หรือ การเตะคืน ที่ต้นขา หรือ ก้น อาจเป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้สำหรับเด็กผู้ชายครับ

3.4 เนื่องจากการเอาคืนนั้น ไม่ได้มีประสิทธิภาพมากนักในการแก้ไขปัญหานี้ เพราะ คนแกล้งบางคนอาจยิ่งชอบใจเพราะเข้าใจว่าลูกเราเล่นด้วย (แต่ผมก็เคยมีคนไข้ที่เอาคืนแล้วทำให้คนแกล้งนั้นยอมรับจนกลายเป็นเพื่อนสนิทกันไปเลยก็มี)
ดังนั้นจึงอยากเน้นมากครับว่าคุณควรสอนลูกให้ใช้วิธีอื่น (เช่น วิธีที่ 1และ 2 )เสียก่อน และ หากต้องใช้วิธีนี้จริงๆก็ต้องพิจารณาความเหมาะสมตามบริบทของลูกด้วยครับ
ส่วนวิธีอื่นๆที่คนไข้มักบอกผมว่าไม่ค่อยจะ work เช่น ให้ลูกวิ่งไปฟ้องครู (ไม่ได้ว่าครูไม่ดีนะครับ แต่คนแกล้งมักจะเลือกเวลาที่ครูไม่อยู่ครับ) หรือ ส่งลูกไปเรียนเทควันโด้ (ถึงเขาจะมีวิชา แต่หากใจไม่สู้ ก็ไม่มีประโยชน์ครับ) นั้นก็อาจจะยังใช้ได้ในบางกรณี 
แต่วิธีที่ผมไม่แนะนำให้ทำเลยคือ การบอกให้ลูก "อดทน" เพราะว่าลูกจะทำได้เพียงเก็บและกดความรู้สึกเอาไว้ จนวันหนึ่งอาจระเบิดออกมาเป็นความรุนแรง เหมือนที่เด็กวัยรุ่นอเมริกันชอบเอาปืนไปกราดยิงเพื่อนกับครูที่โรงเรียนแบบนั้นก็ได้ครับ
และท้ายที่สุดนี้ ขอฝากไว้อีกอย่างว่า ในกรณีที่วิธีต่างๆที่แนะนำไปนั้นไม่ได้ผล หากคุณพ่อคุณแม่คิดว่าถึงเวลาที่จะต้องออกโรงเอง ก็ควรที่จะเริ่มต้นด้วยการเข้าไปพูดคุยกับคุณครูประจำชั้นที่โรงเรียน ซึ่งหากยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง การขอคำปรึกษาจากครูประจำระดับชั้น  ผู้บริหารโรงเรียน หรือแม้แต่ ผู้ปกครองของเด็กเกเรคนนั้น ก็อาจจะดีกว่า การเข้าไป "โซ้ย" เด็กที่แกล้งลูกของคุณด้วยตัวเอง เพราะนั่นอาจจะทำให้ปัญหาของเด็กกลายเป็นปัญหาของผู้ใหญ่ได้ครับ : หมอตั้ม

ปล: ลืมบอกไป วิธีที่แนะนำไปทั้งหมดนี้เหมาะกับเด็กประถมขึ้นไปครับ สำหรับเด็กอนุบาลใช้วิธีฟ้องครูก็พอครับ




เครดิตแหล่งข้อมูล : FB Growingupnormal


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
เช็คเบอร์มือถือ คลิ๊กเลย ++
กระทู้เด็ดน่าแชร์