สาดไฟรักให้ลุกโชน

สาดไฟรักให้ลุกโชน


 ในบรรดา 3 ฤดูที่มีอยู่ในเมืองไทย เชื่อว่าใครๆ ก็คงไม่ชอบฤดูร้อนเป็นแน่ เพราะนอกจากแสงแดดจะแผดเผาให้ร้อนกาย ยังทำให้อารมณ์หงุดหงิด โมโหง่าย พร้อมจะวีนแตกได้ทุกนาที ตรงกันข้ามกับความร้อนของ“ไฟรัก” ที่ไม่ว่าจะร้อนรุ่มอย่างไร คนเราก็ยังเต็มใจที่จะเดินเข้าไปหาซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่เคยหวั่น ไม่เคยเข็ดสักที

         “ไฟ” ให้ได้ทั้งความอบอุ่นยามเราเหน็บหนาว เพียงแต่ว่าถ้ามากเกินไปก็จะทำให้ร้อนรุ่ม ไม่เป็นสุข และหากเผลอก็อาจแผดเผาให้ทุกอย่างมลายหายสิ้นไปในพริบตา ส่วน “ไฟรัก” ที่ลุกโชนสว่างไสวในช่วงเริ่มต้น จะปลุกชีวิตของหนุ่มสาวให้หลงระเริงโลดแล่นอยู่ในความรักใคร่เสน่หา แต่เมื่อเวลาผ่านไปแม้จะยังไม่หมดรัก แต่บางครั้งไฟรักก็ดูเหมือนจะมอดไหม้หายไปโดยไม่รู้ตัว จนต้องหาวิธีเติมเชื้อกันใหม่ ซึ่งมีวิธีหนึ่งที่ทำได้ง่าย แถมยังให้กลิ่นหอม คนจึงเริ่มให้ความสนใจศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้กันมาก นั่นก็คือการเติมไฟรักด้วย “น้ำมันหอมระเหย” หรือ “essential oils”

       ลองมาดูสรรพคุณของน้ำมันแต่ละชนิดที่สามารถช่วยเติมไฟรักให้คุณได้กัน

        - Rose oil หรือ “น้ำมันกุหลาบ” เป็นน้ำมันราคาแพงที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “น้ำมันแห่งรัก” ดังนั้นในยุคโรมัน เวลามีงานแต่งงาน ทั้งเจ้าสาวและห้องที่จัดงานจึงคราคร่ำไปด้วยดอกกุหลาบ รวมถึงยังมีการโรยกลีบกุหลาบบนเตียงนอนอีกด้วย หรือถ้าย้อนไปก่อนหน้านั้น เมื่อตอนที่นางคลีโอพัตราเชื้อเชิญมาร์ค แอนโทนี ให้เข้าไปในที่ของนาง นางก็โรยกลีบกุหลาบไว้บนทางเดิน เพราะเชื่อในพลังแห่งความโรแมนติกของกลิ่นดอกกุหลาบ เช่นเดียวกับชนเผ่าอินเดียแดงที่จะมีผู้รวบรวมดอกกุหลาบเพื่อใช้เป็นเครื่องประดับศีรษะให้แก่เจ้าสาวตอนเข้าพิธีแต่งงาน 

       - Jasmine oil หรือ “น้ำมันดอกมะลิ” ซึ่งจะมีวิธีการผลิตที่แตกต่างกันออกไปตามแต่ละภูมิภาคหรือประเทศ แต่เชื่อกันว่าน้ำมันดอกมะลิมีสรรพคุณช่วยในเรื่องของการเจริญพันธุ์ การตั้งครรภ์ รวมถึงเป็นยาโป๊วที่ทรงพลังมาก

        - Ylang Ylang oil หรือ “น้ำมันดอกกระดังงา” แต่ไหนแต่ไรมาคนในหลายประเทศก็มีความเชื่อตรงกันว่า ดอกกระดังงามีกลิ่นที่เย้ายวน และเป็นยาโป๊วที่ทำให้มีอารมณ์ทางเพศ ว่ากันว่าในประเทศอินโดนีเซียนั้นใช้กลีบดอกกระดังงาโรยบนที่นอนของคู่แต่งงานใหม่ นอกจากนี้แล้วยังเฉพาะเจาะจงใช้รักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ และความจืดชืดระหว่างคู่รักอีกด้วย 

        - Patchouli oil อันนี้ขอทับศัพท์ไปเลยเพื่อป้องกันการเข้าใจผิดเวลาไปซื้อ ว่ากันว่าน้ำมันชนิดนี้เป็นยาชูกำลังทางเพศเช่นกัน รวมถึงยังช่วยให้คนที่ต้องทำงานท่ามกลางความกดดันและความเครียดสูงเกิดความรู้สึกผ่อนคลาย โดย Patchouli oil จะมีกลิ่นคล้ายชะมดและกลิ่นดิน

        - Cardamom oil หรือ “น้ำมันกระวาน” ถึงแม้ว่ากระวานจะเข้าใกล้ธาตุดินมากกว่าธาตุไฟ แต่น้ำมันกระวานจะคล้ายๆ กับ patchouli oil คือ เป็นตัวจุดชนวนรักในช่วงเริ่มต้นใกล้ชิด นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับคนที่กลัวจะเสียความเป็นตัวของตัวเองด้วย

        - Ginger oil หรือ “น้ำมันขิง” ถือว่าเป็นยาชูกำลังทางเพศอีกชนิดหนึ่งเช่นกัน แต่อาจจะออกฤทธิ์ในแง่ของความร้อนแรง เผ็ดร้อน และทำให้ชุ่มชื่น ต่างกับน้ำมันหอมระเหยตัวอื่นๆ ที่มีช่วยให้ผ่อนคลาย

        - Neroli oil น้ำมันชนิดนี้ได้มาจากดอกของต้นส้ม ซึ่งเกี่ยวข้องกับความโรแมนติกและการกระตุ้นความรู้สึก เจ้าบ่าวเจ้าสาวในประเทศกรีกจะใช้น้ำมันเนโรลิโปรยพรมพร้อมกับน้ำของดอกส้ม 

        - Vetiver oil เป็นน้ำมันอีกตัวหนึ่งที่ใช้สำหรับเป็นกลิ่นแห่งรัก และช่วยเอาชนะความเกลียดชังของเพศตรงข้าม

        - Juniper Berry oil เชื่อกันว่ากลิ่นของน้ำมันชนิดนี้จะเข้าไปอุ่นไต ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ยาชูกำลังเรื่องเพศแต่อย่างใด แต่ผลที่ได้รับก็มากพอๆ กับน้ำมันหอมระเหยตัวอื่นๆ


   
ทีนี้เราลองมาดูวิธีการใช้งานเจ้าน้ำมันหอมระเหยเหล่านี้กัน เพราะสามารถใช้ได้หลายวิธี ยกเว้นการสูดดมโดยตรง ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ ไม่ว่าจะเป็น

        - การใช้เตาเผาน้ำมัน ซึ่งเตาเผาน้ำมันส่วนใหญ่จะเป็นเตาดินเผาที่ใช้เทียนในการให้ความร้อน วิธีการก็คือ ใส่น้ำลงไปในถ้วยที่ใช้สำหรับต้ม และหยดน้ำมันหอมระเหยลงไปในน้ำสัก 2-3 หยด เมื่อน้ำร้อนระเหยกลายเป็นไอ ก็จะนำพากลิ่นอโรมาไปด้วย

        - การใช้เครื่องเป่าควันอโรมา แบบนี้จะเป็นที่นิยมใช้กันภายในห้างสรรพสินค้า โดยเครื่องจะเป่าควันที่มีไอน้ำละอองเล็กๆ ออกมาอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้บรรยากาศดีขึ้น

        - การหยดน้ำมัน 2-3 หยดลงบนกระดาษทิชชู แล้ววางไว้ข้างหมอน ซึ่งหากเป็นห้องแอร์ก็จะยิ่งได้กลิ่นน้ำมันหอมระเหยดียิ่งขึ้น โดยกลิ่นจะค่อยๆ ระเหยไปเรื่อยๆ แต่ขอแนะนำว่าอย่าหยดลงบนปลอกหมอน หรือผ้าอื่นๆ เป็นอันขาด เพราะจะทำให้ผ้าเป็นรอยเหลือง และซักไม่ค่อยออก

        - ใช้ผสมกับ base oil ตัวอื่นๆ เพื่อทำให้น้ำมันหอมระเหยเจือจางและไม่เกิดการระคายเคืองผิวหนัง เช่น ไม่ว่าจะผสมกับน้ำมันโจโจ้บา น้ำมันเม็ดอัลมอนด์ เป็นต้น เพื่อนำมาใช้เป็นน้ำมันนวดตัว ซึ่งนอกจากจะช่วยบำรุงผิวแล้ว ยังได้รับกลิ่นหอมเพื่อการบำบัดอีกด้วย

         ข้อควรระวังอีกอย่างของการใช้น้ำมันหอมระเหยให้ได้ผลทางการบำบัดก็คือต้องใช้น้ำมันของแท้ เพราะน้ำมันเลียนแบบกลิ่นจะไม่มีสารเคมีที่เราหวังผลในการบำบัด ดังนั้นจึงควรซื้อน้ำมันหอมระเหยจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และควรรู้จักการแยกแยะระหว่างกลิ่นจริงกับกลิ่นสังเคราะห์ เพื่อเราจะได้รับประโยชน์จากน้ำมันหอมระเหยอย่างแท้จริง




ที่มา ... HealthToday

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์