สู้ไมเกรนหน้าร้อน

สู้ไมเกรนหน้าร้อน



อาการปวดตุ้บๆ ที่บริเวณขมับข้างเดียวหรือสองข้างอย่าเฉย

 

          หน้าร้อนปีนี้มาแล้ว มาเร็วและแรงกว่าทุกปีเสียด้วย หลายคนคงนึกถึงสายลม แสงแดด และโปรแกรมท่องเที่ยวเพื่อคลายร้อนกัน แต่คงมีอีกหลายคนเช่นเดียวกันที่เริ่มวิตกกังวลและกลัวว่าหน้าร้อนปีนี้คงจะไม่สนุกเหมือนเช่นเคย เพราะต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการปวดหัวไมเกรนอีกแล้ว คงเศร้าน่าดู... ดังนั้นวันนี้เรามาทำความรู้จักกับอาการปวดหัว ไมเกรน ให้มากขึ้น เพื่อสู้ไมเกรนหน้าร้อนกันดีกว่า

 

          ไมเกรน (migraine) เป็นอาการปวดศีรษะชนิดหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะอาการที่สำคัญคือ ปวดตุ้บๆ ที่บริเวณขมับข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ บางคนอาจเริ่มจากปวดแบบตื้อๆ จี๊ดๆ ก่อน แล้วค่อยรุนแรงขึ้นจนเป็นตุ้บๆ ในที่สุด ความรุนแรงของอาการปวดมีตั้งแต่ปวดปานกลางจนถึงรุนแรงมาก ระยะเวลาของอาการปวดมีความแตกต่างกันในแต่ละคนตั้งแต่ 4-72 ชม. อาการปวดจะกำเริบหรือรุนแรงมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหว ขณะปวดไมเกรนอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร และอาจไวต่อแสงหรือเสียง ดังนั้นผู้ที่เป็นไมเกรนส่วนใหญ่มักอยากอยู่ในห้องมืดและเงียบ เพราะจะทำให้อาการปวดไมเกรนดีขึ้น

 

          นอกจากนี้บางคนก่อนจะมีอาการปวดไมเกรนอาจมี อาการนำมาก่อนประมาณ 5-20 นาที เช่น เห็นแสงวูบวาบคล้ายแสงแฟลช ตามองไม่เห็นชั่วขณะ หรือชาข้างใดข้างหนึ่งของร่างกาย เป็นต้น

 

สาเหตุของไมเกรน

 

         สำหรับสาเหตุและกลไกของอาการปวดไมเกรนในปัจจุบันยังไม่ทราบชัดเจน อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านได้พยายามอธิบายถึงสาเหตุและกลไกของอาการปวดไมเกรนไว้หลายทฤษฏี ดังนี้

 

         -  เดิมเชื่อว่าเกิดจากการที่หลอดเลือดในสมองมีการหดตัวเกิดขึ้น หลังจากนั้นร่างกายมีการตอบสนองโดยการทำให้หลอดเลือดดังกล่าวเกิดการขยายตัว ซึ่งการขยายตัวของหลอดเลือดนี่เองเป็นสาเหตุของการปวดไมเกรน

 

         -  ต่อมาพบว่า เส้นประสาทคู่ที่ 5 หรือที่เรียกว่า ไทรเจมินัล (trigerminal) และสารเคมีในสมองที่ชื่อซีโรโตนิน (serotonin) ซึ่งเชื่อว่าการเสียสมดุลของสารเคมีนี้ในสมองเป็นสาเหตุของการปวดไมเกรน เนื่องจากมีการศึกษาพบว่าเมื่อมีอาการปวดไมเกรน ระดับซีโรโตนินในสมองจะลดลง ทำให้เกิดการกระตุ้นผ่านเส้นประสาทไทรเจมินัลไปยังหลอดเลือดที่เยื่อหุ้มสมองด้านนอก ส่งผลให้หลอดเลือดขยายตัวจนบวมและอักเสบในที่สุด

 

         -  ระยะหลังมานี้ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับยีนส์หรือจีโนมิกส์พบว่า ion-transport gene อาจเกี่ยวข้องกับการเกิดไมเกรน

 

         -  นอกจากนี้มีการศึกษาทางระบาดวิทยาพบว่าไมเกรนสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ แต่จะเกิดอาการหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งภายในและภายนอกร่างกายที่มากระตุ้นด้วย

 

ปัจจัยกระตุ้นให้เกิดไมเกรน

 

         ปกติแล้วอาการปวดไมเกรนจะกำเริบขึ้นเมื่อมีปัจจัยบางอย่างมากระตุ้น ซึ่งแต่ละคนจะมีปัจจัยกระตุ้นที่แตกต่างกันออกไป ปัจจัยกระตุ้นที่เป็นสาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่

 

         -  อาหารหรือสารบางชนิด เช่น ผงชูรส สารถนอมอาหาร คาเฟอีน ช็อกโกแลต แอลกอฮอล์ หรือ

การแม้แต่กินอาหารไม่ตรงเวลา ความหิวก็อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ในบางคน

 

         -  การพักผ่อนไม่เพียงพอ การนอนมากหรือน้อยเกินไปอาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดไมเกรนได้

 

         -  ฮอร์โมน ผู้หญิงบางคนจะมีอาการปวดไมเกรนในช่วงที่มีประจำเดือน หรือตั้งครรภ์ในช่วง 3

เดือนแรก บางคนที่ใช้ยาฮอร์โมนคุมกำเนิดบางยี่ห้ออาจกระตุ้นให้มีอาการปวดไมเกรนที่รุนแรงหรือระยะเวลาในการปวดนานมากขึ้นได้

 

         -  สิ่งแวดล้อม เช่น อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็น “อากาศร้อนหรือ เย็นมากเกินไปอยู่ท่ามกลางแสงแดดเป็นเวลานาน หรือได้กลิ่นบางอย่างก็ทำให้ปวดหัว เช่น กลิ่นน้ำหอม ควันบุหรี่

 

         -  ความเครียด ผู้ที่มีความเครียดจะมีอาการปวดไมเกรนได้บ่อยและรุนแรงกว่าผู้ที่ไม่เครียด

 

ทราบอย่างไรว่าเป็นไมเกรน

 

         การวินิจฉัยไมเกรนนั้นจำเป็นต้องอาศัยประวัติและการตรวจร่างกายเป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะอาการปวด ตำแหน่ง ความรุนแรง ความถี่ ระยะเวลาในการปวด และอาการอื่นที่ร่วมด้วย ประวัติโรคประจำตัวและประวัติการใช้ยา การตรวจทางห้องปฏิบัติการ หรือการตรวจเอกซเรย์เพื่อวินิจฉัยแยกจากโรคอื่น เช่น อาการปวดศีรษะจากกล้ามเนื้อตึงตัว หรือจากภาวะเครียด การติดเชื้อที่เยื่อหุ้มสมอง โรคของต่อมใต้สมอง หรือมีเนื้องอก เป็นต้น

 

ยากับ ไมเกรน

 

         สำหรับยาที่ใช้ในการรักษาอาการปวดไมเกรนนั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ

 

กลุ่มที่ใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดไมเกรน

 

         -  ยากลุ่มแก้ปวด ไม่ว่าจะเป็นพาราเซตามอล แอสไพริน หรือยากลุ่มต้านการอักเสบที่ไม่ใช่

เสตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ไอบรูโพรเฟน (Ibuprofen) เป็นต้น กลุ่มยาเหล่านี้เป็นที่นิยมนำมาใช้ในการบรรเทาอาการปวดไมเกรนเป็นกลุ่มแรกๆ เนื่องจากมีประสิทธิภาพดี อาการข้างเคียงของยาน้อย และราคาถูก

 

         -  ยากลุ่ม Ergot alkaloids ได้แก่ ergotamine ในปัจจุบันนี้มีหลากหลายยี่ห้อในท้องตลาด

จัดเป็นยาอีกกลุ่มหนึ่งที่นิยมใช้ในการบรรเทาอาการปวดไมเกรน ข้อดีของยากลุ่มนี้คือ ยาออกฤทธิ์ได้นานและลดการกลับเป็นซ้ำของไมเกรนได้ในบางราย ซึ่งแพทย์อาจพิจารณาให้ยา ergotamine เพียงตัวเดียวในการรักษาหรืออาจให้ร่วมกับยากลุ่มแก้ปวด หากอาการปวดไมเกรนยังไม่ดีขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการปวด และสภาพร่างกายของแต่ละคน

 

          สำหรับผลข้างเคียงที่สำคัญของยา ergotamine ได้แก่ ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดตามแขนขาหรือกล้ามเนื้อ มีอาการชา รู้สึกหนาวตามปลายมือปลายเท้า ปวดศีรษะ เป็นต้น หากมีอาการดังกล่าวให้หยุดยาและปรึกษาแพทย์ทันที และเนื่องจากยา ergotamine ที่จำหน่ายในท้องตลาดอยู่ในรูปแบบที่มีส่วนประกอบของคาเฟอีนร่วมด้วยเพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมยา ergotamine ได้ดีขึ้น ดังนั้นนอกจากผลข้างเคียงจากยา ergotamine แล้ว บางคนยังอาจได้รับผลข้างเคียงจากคาเฟอีนด้วย ได้แก่ ใจสั่น ปวดศีรษะ เป็นต้น

 

         คำแนะนำสำหรับการใช้ยาที่มีส่วนประกอบของ ergotamine คือ ไม่ควรกินเกินวันละ 6 เม็ด และไม่ควรเกินสัปดาห์ละ 10 เม็ด นอกจากนี้ยังห้ามใช้ยากลุ่มนี้ในผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับหลอดเลือดและหัวใจ เส้นเลือดสมองตีบ ผู้ที่มีภาวะไตวาย หรือในหญิงตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร

 

         -  ยากลุ่ม Triptans เช่น sumatriptan, zolmitriptan เป็นต้น เป็นกลุ่มยาที่ถูกพัฒนามาใหม่เพื่อใช้ใน การบรรเทาอาการปวดไมเกรนโดยเฉพาะ ข้อดีของยากลุ่มนี้ ได้แก่ ออกฤทธิ์เร็วและลดการกลับเป็นซ้ำของไมเกรนได้ดี นอกจากนี้ยังลดปัญหาการเกิด headache recurrence (เป็นอาการปวดศีรษะที่แย่ลง โดยเกิดขึ้นหลังจากอาการปวดไมเกรนดีขึ้นเมื่อกินยาแล้วภายใน 24 ชั่วโมง) ได้ดีกว่ายา ergotamine และมีผลข้างเคียงจากยาน้อย อย่างไรก็ตามยาในกลุ่มนี้ยังมีราคาค่อนข้างสูงในปัจจุบัน แพทย์จึงมักพิจารณาให้ในผู้ที่มีการกลับเป็นซ้ำของไมเกรนบ่อยๆ

 

         คำแนะนำสำหรับการใช้ยากลุ่มนี้คือ ควรกินยากลุ่มนี้ทันที เมื่อเริ่มมีอาการปวดไมเกรน เพื่อให้ยามีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการปวดไมเกรนได้อย่างสูงสุด และยากลุ่มนี้ก็มีข้อห้ามใช้เช่นเดียวกันกับยา Ergotamine คะ

 

กลุ่มที่ใช้เพื่อป้องกันอาการปวดไมเกรน

 

      สำหรับยาที่ใช้เพื่อป้องกันอาการปวดไมเกรนนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ในผู้ที่ปวดไมเกรนทุกราย โดยแพทย์จะพิจารณาให้ในบางรายเท่านั้น เพื่อช่วยให้ความรุนแรงและ/หรือความถี่ของอาการปวดไมเกรนลดน้อยลง กลุ่มผู้ที่ควรได้รับยาป้องกันอาการปวดไมเกรน

 

      - ผู้ที่มีอาการปวดไมเกรนมากกว่า 2 ครั้ง ต่อเดือน

      - ผู้ที่มีอาการปวดรุนแรงจนมีผลต่อการดำเนินชีวิต ทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง

      - ผู้ที่มีแนวโน้มว่าอาการปวดไมเกรนจะรุนแรงมากขึ้น หรือปวดเป็นระยะเวลานานมากขึ้น

 

        ยาที่ใช้เพื่อป้องกันอาการปวดไมเกรนในปัจจุบันนี้มีหลากหลายชนิด โดยควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เพื่อให้เกิดการเลือกชนิดของยาและการปรับขนาดยาให้เหมาะสมกับแต่ละราย ควรกินยาป้องกันอาการปวดไมเกรนอย่างต่อเนื่องจนอาการปวดสงบลงนาน 6-12 เดือน แพทย์จึงอาจพิจารณาหยุดยา และถ้าอาการปวดไมเกรนกำเริบขึ้นอีกครั้งจึงค่อยเริ่มกินยาป้องกันใหม่

ตัวอย่างกลุ่มยาป้องกันอาการปวดไมเกรน เช่น

         -  กลุ่มยาต้านเบต้า (Beta-blockers) เช่น propanolol, atenolol, metoprolol, nadolol เป็นต้น

         -  กลุ่มยาต้านแคลเซียม (Calcium channel blockers) เช่น flunarizine, verapamil เป็นต้น

         -  ยารักษาโรคซึมเศร้า เช่น amitriptyline, nortriptyline เป็นต้น

         -  ยากันชักบางชนิด เช่น sodium valproate, topiramate เป็นต้น

 

      การรักษาอาการปวดไมเกรนนั้นไม่ยากอย่างที่คิดนะคะ เพียงแค่ดูแลทั้งสุขภาพกายแลสุขภาพจิตให้ดี หลีกเลี่ยงสิ่งแวดล้อมที่เป็นปัจจัยกระตุ้นอาการปวด แค่นี้ก็สามารถลดความถี่และความรุนแรงของอาการปวดได้แล้วค่ะ

 

Tips

 

         -  เมื่อคุณจำเป็นต้องเดินออกไปในที่ที่มีอากาศร้อน อาจป้องกันการปวดศีรษะจากไมเกรน ได้โดยการดื่มน้ำเย็นหรืออมน้ำแข็งไปด้วยขณะเดิน ซึ่งจะช่วยคลายความร้อนระหว่างเดินทำให้ไม่ปวดศีรษะ

 

         -  เมื่อเริ่มมีอาการไม่ควรชะล่าใจ ให้รีบรับประทานยาบรรเทาปวดเลย เพราะหากปล่อยให้อาการปวดมากขึ้นอาจอาการจะบรรเทาได้ยากขึ้นหรือต้องใช้ยาที่แรงขึ้น

 

         -  ช่วงหน้าร้อนแบบนี้ อาจทำให้ไมเกรนกำเริบขึ้นได้ง่ายและมีอาการรุนแรง เมื่อปวดศีรษะแล้วนอกจากใช้ยาบรรเทาปวด ให้ใช้ก้อนนำแข็งหรือกระเป๋านำแข็งประคบที่ศีรษะ เพื่อช่วยให้เส้นเลือดหดตัวลง ก็จะสามารถช่วยบรรเทาอาการลงได้ แต่บางคนการนอนหลับก็สามารถบรรเทาอาการปวดไมเกรนได้

 

         -  บางคนเมื่อมีอาการปวดขึ้นมาอาจไม่จำเป็นต้องใช้ยาบรรเทาอาการปวดไมเกรน เพียงแค่ใช้การนวด การกดจุด บริเวณเส้นเลือดใหญ่หลังใบหู

 

         -  หากอาการปวดไมเกรนไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุอื่นต่อไป เพื่อให้เกิดการรักษาได้อย่างทันท่วงทีคะ

 

นพ.รังสรรค์ อยู่บาง อายุรแพทย์

ภญ.อัมพร อยู่บาง

 

 

 

ที่มา: เฮลล์ทูเดย์


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์