หันมองชีวิต..อย่าหลงคิดไปเอง

หันมองชีวิต..อย่าหลงคิดไปเอง


หันมองชีวิต..อย่าหลงคิดไปเอง

ชีวิตที่ปราศจากสติ จะเป็นชีวิตขาดความสมบูรณ์

         
วันนี้ผู้เขียนได้พิจารณาธรรมที่ว่า “ความยึดมั่นถือมั่น มันเป็นสิ่งฝังใจที่ตัดได้ยาก” แล้วพอดีได้พบผู้หญิงคนหนึ่งเล่าให้ผู้เขียนฟังถึงเรื่องความยึดมั่นถือมั่นว่า เมื่อนานหลายเดือนก่อน หล่อนได้เครื่องประดับมาชิ้นหนึ่ง ได้มาจากการมาฝากจำนำ เลยเอามันมาใส่พอใส่มาหลายวันเข้า หลายเดือนเข้าก็เลยคิดว่า เป็นเจ้าของมันไปเองเสียแล้ว เพราะคิดว่า เจ้าของคงไม่มาไถ่เอาคืนแล้วล่ะ เขาใส่มานานจนเขาหลงผิดไปว่ามันคือ ของ ๆ เธอแล้ว คนเราก็แปลกดี...! ไม่ใช่ของของตัวแต่หลงผิดคิดไปเอง

          เธอคิดเข้าข้างตัวเองมากจนลืมเรื่องจริงไป เพราะเขาชอบเครื่องประดับชิ้นนี้เสียแล้วล่ะ เธอยอมรับว่าเธอชอบเสียแล้ว แต่เมื่อวานนี้เธอได้รับข่าวร้าย เจ้าของเดิมจะมาไถ่ของคืน เธอเสียดายมาก เพราะเธอใส่ความพอใจเข้าไปในจิตใจของเธอเสียแล้ว จนกลายเป็นความยึดมั่นถือมั่นไป ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า “ชีวิตที่เกินทนคือ ชีวิตที่ผ่านการทดสอบ ที่อดทนได้ เมื่อผ่านอุปสรรคไปหลายรอบเราก็จะทำให้ได้ดีขึ้น ทำให้อดทนขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่ผ่านการทดสอบเหมือนชีวิตตายแล้ว” ถ้าเรายิ่งหลงยิ่งทุกข์เป็นแน่


          เจ้าคำว่า “เครื่องประดับชิ้นนี้ไม่ใช่ของ ๆ เธอ” เธอยืมมาใส่เพียงชั่วคราว พอถึงเวลาก็ต้องคืนเจ้าของไป ตรงนี้มันสะท้อนชีวิตจริง สะท้อนให้เรารู้ถึงความยึดมั่นถือมั่น บางทียึดจนกระทั่งร่างกายของเราด้วย แม้ร่างกายของเรานี้วันหนึ่งเราก็ต้องคืนให้กับธรรมชาติไปเหมือนกัน “จริง ๆ แล้วทุกสิ่งในร่างกายนี้เป็นสิ่งที่ยืมธรรมชาติมา ไม่เคยมีใครไม่ถูกท้วงคืนเลย” พอถึงเวลาก็ถูกท้วงคืนไปหมด


          หากคิดปล่อยใจให้หลงเมื่อไหร่ จะเกิดความทุกข์ใจทันที เหมือนเธอผู้ติเรื่องประดับชิ้นนั้น ตอนแรกที่ได้ยินว่า เขาจะมาเอาคืนแล้ว เธอทุกข์เพราะเธอยึดมั่นคิดว่า “มันเป็นของ ๆ เธอ จึงเป็นทุกข์” แต่พอเธอมองดี ๆ อีกที ในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นของ ๆ เราหรอก ใจมันก็ปล่อยวางลงได้ชั่วขณะทันที แม้แต่ร่างกาย แม้แต่ส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย แม้แต่สิ่งของต่างๆ ที่ว่าเป็นของเรา ล้วนเป็นของธรรมชาติทั้งสิ้นทุกสิ่งล้วนแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ก็จะต้องเปลี่ยนแปลงแน่นอน ที่หยิบมาพูดตรงนี้ เพื่อให้ข้อคิดเตือนใจตนเองไว้บ้าง


          ชีวิตคนเราอาจมีทั้งดีและชั่ว เมื่อเห็นพื้นที่สีเทา เราอาจจะนึกถึงสีดำ... หลาย ๆ คนอาจจะนึกต่อไปถึง “สิ่งที่ไม่ดี ความชั่วร้ายล้วนเป็นตัวแทนจากสีดำ” ตรงนี่เป็นสิ่งเล้นลับที่ยากแก่การแก้ไขรับรู้ได้ แต่เมื่อนึกถึงสีขาว “ใจเราจะรู้สึกบางเบา เย็นนิ่งบริสุทธิ์” หลายคนอาจจะนึกถึงความดี ที่สะอาด สว่าง สงบ บริสุทธิ์ขึ้นมาทันที ความนึกคิดจึงเป็นการบอกถึงอารมณ์และความสุขทุกข์ได้


          สองสีนี้อยู่ตรงกันข้ามกันเสมออย่างสิ้นเชิง แต่มีใครเคยคิดไหมว่า มีสีหนึ่งที่อยู่ระหว่าง ๒ สีนี้มีบางสิ่งที่อยู่ระหว่างสิ่งที่ดี และสิ่งชั่ว ในช่วงระหว่างสีดำและสีขาวเราอาจจะเห็นสีเทา ในความมืดมิดยามคำคืนเราอาจจะเห็นความมืดอย่างเลือนลางมันคือ “สีเทา” นั้นเอง


          ในสองสิ่งที่แตกต่าง ยังมีความกลมกลืนสอดแทรกอยู่ ตรงนี้สอนให้ใจเรารู้ว่า อย่ามองหรือคิดอะไร ไปจนสุดด้านเดียว” โปรดมองสิ่งที่อยู่ระหว่างสิ่งสองสิ่งด้วยว่า มันยังมีความพอดี” ซ่อนตัวอยู่ให้เลือกอีกอย่างหนึ่ง เท่ากับสอนให้เราคิดว่า ชีวิตที่มีความสุขที่สุด คือ “ชีวิตที่วางได้อย่างพอดี นั่นเอง


กราบขอบพระคุณที่มา  ::  ท่าน ว. ปัญญาวชิโร


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์