อย่างไรที่เรียกว่า...ท้องนอกมดลูก

อย่างไรที่เรียกว่า...ท้องนอกมดลูก


การตั้งครรภ์หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกกันว่า ตั้งท้อง โดยทั่วไปมักเป็นเรื่องน่าชื่นชมยินดีของคนในครอบครัว ที่คาดหวังว่าผู้เป็นแม่จะให้กำเนิดลูกน้อยคนใหม่ ที่มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ครบสามสิบสอง

แต่ในบางกรณี เราอาจพบได้ว่าทารกน้อยที่เกิดมาใหม่ ก็อาจมีร่างกายที่ไม่สมประกอบ หรือมีเหตุที่ทำให้ไม่สามารถให้กำเนิดทารกออกมาได้ หรือบางครั้งได้ลูกแต่ต้องเสียแม่ไปก็มี และก็มีที่การตั้งครรภ์ครั้งนั้น ก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งตัวลูกและแม่...

สาเหตุส่วนใหญ่ของกรณีที่น่าเศร้าสลดใจนี้ มักเกิดจากการ ท้องนอกมดลูก มันคืออย่างไร และทำไมจึงเป็นเช่นนั้นได้? ต้องลองอ่านต่อไปค่ะ

ผู้หญิงตั้งท้องได้อย่างไร ?

ตามธรรมชาติของผู้หญิงนั้นเมื่อไข่ (ovum) ตกจากรังไข่ (ovary) แล้วบังเอิญมีตัวอสุจิ (sperm) ของผู้ชาย เดินทางผ่านจากช่องคลอดเข้าไปยังมดลูก แล้วออกไปทางท่อนำไข่ ไปพบกับไข่เข้า ก็จะเจาะไข่เข้าไปผสม (fertilization) กลายเป็นตัวอ่อน (embryo) จากนั้นตัวอ่อนจะเดินทางกลับมาตามท่อนำไข่ ผ่านเข้าไปในมดลูก (uterus) ซึ่งเป็นที่ที่เหมาะจะเป็นที่ฝังตัว (implant) เพื่อการเจริญเติบโตต่อไป และเมื่อตัวอ่อนฝังตัวในตัวแม่แล้วนั้น จึงจะเรียกว่ามีการตั้งท้องหรือตั้งครรภ์เกิดขึ้น

แล้วอะไรคือท้องนอกมดลูก ?

บางครั้งการเดินทางของตัวอ่อน อาจไม่สะดวกหรือเดินทางเร็วเกินไป หรืออาจวกวน จนทำให้มันไม่อาจไปฝังตัวในที่ ที่เหมาะสมในโพรงมดลูกได้ การที่มันฝังตัวในที่อื่นๆ นอกเหนือจากในโพรงมดลูกนี้เรียกว่า ท้องนอกมดลูก ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นประมาณ 1-2% และจะมีโอกาสเกิดมากยิ่งขึ้น หากผู้นั้นเคยตั้งท้องนอกมดลูกมาก่อนแล้ว

สาเหตุของการท้องนอกมดลูก

ก็คืออะไรก็ตาม ที่ทำให้การเดินทางของตัวอ่อน ไม่สามารถเดินทางได้ดี ตามระยะเวลาที่เหมาะสมในการจะฝังตัว (โดยปกติการฝังตัวของตัวอ่อน มักจะเกิดขึ้นประมาณวันที่ 7 หลังจากการผสมของไข่และตัวอสุจิแล้ว) เช่น

 
เคยมีการติดเชื้อที่ท่อนำไข่และอุ้งเชิงกราน ซึ่งมีโอกาสที่จะทำให้ท่อนำไข่อุดตัน
 
มีแผลเป็นหรือพังผืดดึงรั้งในช่องท้อง กับรังไข่และท่อนำไข่ เช่น การเป็นโรคเนื้อเยื่อบุโพรงมดลูก เจริญนอกโพรงมดลูก (endometriosis) ปฏิกิริยาแผลเป็นจากการผ่าตัด หรือเคยเกิดการอักเสบในอุ้งเชิงกราน ทำให้การเคลื่อนตัวของตัวอ่อนเป็นไปไม่สะดวก
 
คนที่เคยรับการผ่าตัดที่ท่อนำไข่ ไม่ว่าจะเป็นการทำหมัน แล้วบังเอิญเกิดการต่อกลับมาเองได้ตามธรรมชาติ หรือการผ่าตัดแก้ไขการอุดตันของท่อนำไข่ เพื่อช่วยให้มีลูกได้
 
คนที่สูบบุหรี่ มีโอกาสท้องนอกมดลูกสูงกว่าคนปกติ มากถึง 5 เท่า อาจเป็นเพราะนิโคตินไปกระตุ้น ให้ท่อนำไข่บีบรัดตัวทำให้ตีบตัน ยากแก่การที่ตัวอ่อนจะเดินทางโดยสะดวก
 
การใช้ยาบางอย่าง เช่น ยากระตุ้นการตกไข่ หรือการใช้ยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉิน

ถ้าไม่ใช่มดลูกแล้วจะเป็นที่ไหน ?

ผู้หญิงที่ท้องนอกมดลูกส่วนใหญ่มากกว่า 95% พบว่าตัวอ่อนจะไปฝังตัวที่ท่อนำไข่ (fallopian tube) นอกนั้น อาจพบที่รังไข่ ปากมดลูก หรือในช่องท้อง ซึ่งล้วนไม่ใช่ที่ที่เหมาะ กับการเจริญเติบโตของตัวอ่อน ในที่สุดก็ไม่สามารถพัฒนาและอยู่รอดได้ (ยกเว้นในบางรายแต่พบน้อยมาก ที่มีรายงานว่าตัวอ่อนไปฝังตัวในช่องท้อง และเติบโตจนครบกำหนดคลอด แต่แม่ก็มีปัญหาต่อ เนื่องจากการที่รกไปฝังตัวที่อวัยวะอื่นๆ ในช่องท้อง เรียกได้ว่าถึงรอดมาได้ ก็สะบักสะบอมทั้งแม่-ลูก และแพทย์-พยาบาล)

เมื่อตัวอ่อนฝังตัวได้แล้ว ก็จะเริ่มหยั่งรกลงไปในที่ๆ มันฝังตัว และเริ่มเจริญเติบโตขึ้น แต่เพราะที่อยู่ไม่เหมาะสม จึงไม่สามารถอยู่รอดได้ โตไม่ได้ ถ้ามันอยู่บริเวณปลายท่อนำไข่ ก็อาจจะหลุดออกมา หรือจุดที่มันฝังตัว ก็จะแตกและมีเลือดออก ตั้งแต่เล็กน้อยและหยุดได้เอง ซึ่งมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะเกิดเลือดออกอย่างรวดเร็ว และมากจนทำให้ช็อกได้ และเลือดที่ออกนี้ จะถูกขังอยู่ในช่องท้อง ไม่ไหลออกมาข้างนอกให้เห็น จึงเรียกกันว่า เลือดตกใน

ถึงตายได้เพราะเลือดตกใน

ในช่วงก่อนศตวรรษที่ 19 อัตราการตายจากท้องนอกมดลูก มีมากถึง 50% แต่พอถึงปลายศตวรรษที่19 การพัฒนาทางแพทย์เจริญขึ้นมาก จนทำให้ลดอัตราตายจากท้องนอกมดลูกลงเหลือเพียง 5% เท่านั้น นั่นเพราะเดิมเรายังไม่สามารถค้นพบว่า มีการตั้งท้องนอกมดลูกได้อย่างรวดเร็วพอ กว่าจะพบว่าผิดปกติ ก็ตอนที่ท่อนำไข่แตก เกิดการเสียเลือดในช่องท้องอย่างรวดเร็ว และมากจนไม่สามารถจะช่วยชีวิตได้ทัน

การลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต ก็คือการค้นให้พบว่า มีการตั้งท้องนอกมดลูกได้เร็วที่สุด หรือถ้าพบในระยะที่ท่อนำไข่แตกเสียแล้ว การวินิจฉัยและการผ่าตัดเพื่อห้ามเลือด ต้องทำให้ได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่ว่าวิธีการไหนต่างก็มีข้อจำกัดทั้งสิ้น

อาการน่าสงสัยว่าท้องนอกมดลูก

อาจเกิดอาการตั้งแต่ตอนที่ประจำเดือนยังไม่ทันจะขาด หรือเมื่อประจำเดือนเพิ่งเริ่มจะขาดหายไปเพียงไม่กี่วันก็ได้ เป็นต้นว่า

 
อาจเริ่มมีอาการของคนตั้งท้อง เช่น คลื่นไส้ เต้านมคัดตึง หรือบางคนก็ไม่มีอาการเหล่านี้เลย
 
หลังจากประจำเดือนขาดไป 1 สัปดาห์ หรืออาจเร็วหรือช้ากว่านั้น มักจะมีเลือดออกจากช่องคลอด มักเป็นสีน้ำตาลคล้ำคล้ายช็อกโกแลตเหลว ไม่มากมายนัก โดยมักจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นประจำเดือน
 
ปวดท้องที่ท้องน้อยส่วนล่าง อาจบอกได้ว่าข้างไหน หรือบอกไม่ได้ ในคนที่มีความเสี่ยงสูงต่อการท้องนอกมดลูกดังที่กล่าวมาแล้ว ควรรีบไปพบแพทย์แต่เนิ่นๆ เมื่อเริ่มตั้งท้อง อย่างเร็วที่สุดที่จะตรวจพบว่าท้อง ก็คือ 7-8 วันหลังจากไข่ผสมกับอสุจิอัน เป็นเวลาที่ตัวอ่อนเริ่มฝังตัวนั่นเอง หรือเมื่อเริ่มมีอาการเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม คนที่พบว่าท้องนอกมดลูก แม้จะมาหาแพทย์ได้ไว แต่ตัวอ่อนก็ไม่สามารถจะเจริญเติบโตต่อไปได้ แต่การตรวจพบแต่เนิ่นๆ ก่อนที่ท่อนำไข่จะแตก จะทำให้ไม่ต้องเผชิญกับการเสียเลือดมาก จนแพทย์ต้องรีบห้ามเลือด โดยการสละอวัยวะที่มันเกาะอยู่ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต และแพทย์สามารถเลือกทางรักษา โดยพยายามเก็บท่อนำไข่หรือรังไข่ไว้ เพื่อการตั้งท้องในครั้งใหม่ได้

ถ้าปล่อยทิ้งไว้นานโดยไม่ไปพบแพทย์ หรือเหตุการณ์เกิดขึ้นต่อเนื่องรวดเร็วมากไม่ทันสังเกต จนอวัยวะที่มันเกาะเกิดแตกขึ้นมา อาการที่เป็นก็คือ
  
 
-
ปวดท้องน้อยอย่างมาก
 
-
อาจปวดร้าวขี้นไปไหล่และหลัง เพราะเลือดที่ออกมากจะไปกดใต้กระบังลม
 
-
หน้ามืดเป็นลมเพราะเสียเลือดมาก
 
-
ความดันต่ำ หัวใจเต้นเร็ว ซีด ช็อก

อาการเหล่านี้เป็นภาวะฉุกเฉินถึงชีวิตเลยทีเดียว จึงจำเป็นต้องรีบไปโรงพยาบาลอย่างรวดเร็วที่สุด

จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นท้องนอกมดลูก ?

ถ้าใครมีอาการที่น่าสงสัย สิ่งที่จะบอกว่าใช่ท้องนอกมดลูกหรือไม่ก็คือ การตรวจหลายๆ อย่างร่วมกัน

 
ตรวจร่างกาย ถ้าคนนั้นมาพบแพทย์ในสภาพที่ท้องนอกมดลูกแตก เสียเลือดมากแล้ว ก็อาจพบว่าซีด และอยู่ในสภาพเกือบช็อกหรือช็อกแล้ว
 
ตรวจหน้าท้อง อาจพบว่ามีท้องโป่ง กดและปล่อยเจ็บ
 
ตรวจภายใน อาจพบเลือดสีคล้ำในช่องคลอด เมื่อโยกปากมดลูกจะรู้สึกเจ็บ อาจคลำพบก้อนผิดปกติที่ปีกมดลูกด้านใดด้านหนึ่ง ในส่วนลึกสุดของช่องคลอดด้านหลัง อาจนูนโป่งจากการที่เลือดไหลไปกองอยู่ในนั้น

การตรวจร่างกายแล้วพบสิ่งเหล่านี้ ถือว่าค่อนข้างชัดแจ้งว่า น่าจะเป็นท้องนอกมดลูกในระยะที่มันแตกออกและเสียเลือดอย่างมากแล้ว (มีมากที่การเสียเลือดตกในช่องท้อง ไม่ใช่จากท้องนอกมดลูกแตก แต่อาจเป็นม้ามแตก ตับแตกได้โดยดูจากประวัติการถูกเตะ หรือถูกกระแทก จะช่วยให้รู้ว่าน่าจะเป็นจากอะไร แต่ในชีวิตการเป็นหมอมานาน ก็พบอยู่หลายครั้งที่คนไข้ช็อก สามีนำส่งโรงพยาบาล ไม่มีสามีคนไหนที่จะบอกนำร่องว่าเกิดอะไรขึ้นทั้งๆ ที่ถามแล้วถามอีก จนผ่าตัดแล้วพบว่าเป็นเพราะม้ามแตก ออกมาถามหลังผ่าตัดเสร็จ จึงได้รับคำสารภาพว่าเตะเขาเบาๆ เท่านั้น ยังนึกว่าเมียใจเสาะทำท่าปวดท้องหน้ามืดเป็นลม ยังดีที่นำส่งโรงพยาบาล ไม่งั้นได้ติดคุกฐานฆ่าเมียแน่) บางครั้งการตรวจร่างกายก็ก้ำกึ่ง ไม่พบอะไรที่ชัดเจน จำเป็นต้องใช้วิธีอื่นช่วย อาทิเช่น
  
 
-
ตรวจปัสสาวะพบฮอร์โมนที่บ่งว่ามีการตั้งครรภ์ ซึ่งจะพบได้เมื่อตัวอ่อนเริ่มฝังตัวนั้นเอง แต่บางครั้งก็มีข้อจำกัดที่ผลตรวจเป็นลบ ซึ่งไม่ได้แปลว่าไม่ตั้งครรภ์ เพียงแต่ตรวจไม่พบฮอร์โมน ที่บอกว่าตั้งครรภ์จากการแท้ง หรือตัวอ่อนไม่พัฒนาแล้ว จึงทำให้ระดับฮอร์โมนน้อย จนตรวจไม่พบในปัสสาวะได้
 
-
ตรวจอัลตราซาวนด์ทางช่องคลอดหรือหน้าท้องส่วนล่าง เพื่อดูว่ามีการตั้งครรภ์ในโพรงมดลูกหรือที่ส่วนไหน แต่ข้อจำกัดก็คือ ช่วงก่อนสัปดาห์ที่ 5 หากทำอัลตราซาวนด์จะยังไม่เห็นถุงน้ำ ที่บ่งบอกว่ามีการตั้งครรภ์ จะเห็นได้เร็วที่สุดต้องหลัง 5 สัปดาห์ขึ้นไปแล้ว
 
-
ตรวจเลือดเพื่อดูระดับฮอร์โมน beta-HCG ก็จะช่วยได้ถ้าฮอร์โมนอยู่ในระดับที่บอกว่าตั้งครรภ์ แต่การตรวจครั้งเดียว ก็ยังบอกไม่ได้ว่าเป็นท้องแบบไหน ต้องตรวจติดตามทุก 2 วัน เพื่อดูระดับถ้าสูงขึ้นเกินกว่า 2 เท่าตัวของแต่ละครั้งที่ผ่านมา ก็น่าจะไม่มีปัญหาการแท้ง แต่ถ้ามันสูงขึ้นน้อยกว่า 2 เท่าตัวหรือลดลง ก็แปลว่าน่าจะมีปัญหาเรื่องการเจริญเติบโตของตัวอ่อน เช่น แท้งหรือท้องนอกมดลูกได้ ไม่อาจฟันธงว่าเป็นท้องนอกมดลูกเพียงอย่างเดียว
 
-
ส่องกล้องทางช่องท้อง (laparoscopy) เป็นการส่องกล้องผ่านช่องท้องเข้าไปดูว่ามีปัญหาเช่นไร ท้องนอกมดลูกที่จุดไหน และทำการผ่าตัดแก้ไขไปด้วยได้เลย
 
-
ใช้เข็มเจาะในช่องคลอด (culdocentesis) เพื่อตรวจพิสูจน์ว่ามีการตกเลือดในช่องท้องจริง เพราะบางครั้งสิ่งที่อยู่ในช่องท้องที่ทำให้มีอาการ และผลการตรวจร่างกายคล้ายกัน อาจเป็นจากหนองหรือเซรั่มก็ได้

การรักษา

 
การใช้ยา สิ่งสำคัญต้องรู้ว่าการท้องนอกมดลูก ไม่อาจจะทำให้ตัวอ่อนเติบโตต่อไป และไม่สามารถย้ายตัวอ่อนไปฝังตัวใหม่ ให้ถูกที่ถูกทางในโพรงมดลูกได้ ดังนั้นถึงแม้จะวินิจฉัยพบได้เร็วตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ก็จำเป็นต้องสละตัวอ่อนทิ้งเพียงอย่างเดียว โดยทางเลือกที่จะใช้ยา methotrexate แทนการผ่าตัดยังคงทำได้ ทำให้มันฝ่อลง พอจะช่วยรักษาสภาพของท่อนำไข่ ไว้เพื่อการตั้งครรภ์ครั้งหน้าได้
 
โดยการผ่าตัด ท้องนอกมดลูกที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ จำเป็นต้องทำการผ่าตัดรักษา แต่การจะตัดมากน้อยแค่ไหน เก็บซ่อมแซมท่อนำไข่ และรังไข่ได้ดีขนาดไหน ก็ขึ้นกับสภาพความเสียหายที่มันเกาะ หรือการแตกของท่อนำไข่นั้น
 
ถ้ารังไข่หรือท่อนำไข่ที่แตกมีความเสียหายมาก ก็มักจะตัดท่อนำไข่ออกไปพร้อมๆ กับตัวอ่อนเลย
 
ถ้าสภาพท่อนำไข่ยังดีอยู่ไม่แตกออก การพยายามรีดเอาตัวอ่อนออกมา โดยเก็บท่อนำไข่ไว้ก็อาจทำได้

แนวความคิดของการรักษานั้นคือ พยายามเก็บท่อนำไข่และรังไข่ไว้ เพื่อการตั้งท้องในครั้งหน้า แต่ถ้ามีลูกพอเพียงแล้ว การตัดเอาส่วนที่มีการตั้งท้องนอกมดลูกออก ก็จะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด

สำหรับการผ่าตัดนั้น มี 2 วิธีที่แพทย์จะเลือกใช้ตามความเหมาะสม

 
การใช้กล้อง laparoscope ผ่านรูเล็กๆ ทางหน้าท้อง ซึ่งจะใช้เวลาพักฟื้นในโรงพยาบาลน้อยลง และเจ็บแผลหลังผ่าตัดน้อยลง
 
การผ่าตัดเปิดหน้าท้องตามปกต ถ้าคนไข้เสียเลือดมาก หรือช็อก การผ่าตัดโดยเปิดแผลกว้าง จะเป็นวิธีที่สะดวก และรวดเร็วยิ่งขึ้นในการหยุดเลือด ซึ่งย่อมสำคัญต่อการรักษาชีวิตไว้ได้มากกว่า

โอกาสท้องนอกมดลูกอีกในอนาคต

พบว่าคนที่เคยมีประสบการณ์ท้องนอกมดลูก มีโอกาสที่จะเป็นได้อีกถึง 12% ถ้าท่อนำไข่ยังคงสภาพดี ก็มีโอกาสที่จะตั้งท้องปกติได้ แต่มีความเสี่ยงที่จะเป็นอีกสูงกว่าคนทั่วไป จึงควรเริ่มพบแพทย์โดยทันที ที่ประจำเดือนเริ่มขาดหายไป

จะป้องกันการท้องนอกมดลูกได้หรือไม่ ?


คำตอบคือไม่สามารถป้องกันได้ค่ะ แต่ทางที่จะช่วยไม่ให้ท่อนำไข่เสียหาย จากการติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน อันจะส่งผลต่อเนื่องให้ท่อนำไข่อุดตัน อันเป็นโอกาสให้เกิดท้องนอกมดลูกนั้น อาจทำได้โดยหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์อย่างสำส่อน และควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ แม้ไม่อาจป้องกันการท้องนอกมดลูกได้โดยตรง แต่การลดความเสียหาย และสูญเสียชีวิตจากการท้องนอกมดลูก สามารถทำได้ ถ้าค้นพบและจัดการกับมันได้เร็วค่ะ






 

พญ. นิศานาถ ธนะภูมิ สูติ-นรีแพทย์
แหล่งข้อมูล : นิตยสาร - HealthToday



เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์