อาหารของดวงใจ 2

อาหารของดวงใจ 2


การแสวงความสำราญทางฝ่ายกาย เป็นต้นเหตุแห่งสงคราม,
การแสดงความสำราญฝ่ายจิต เป็นต้นเหตุแห่งสันติภาพ.

ถ้าชาวโลกยังบูชาลัทธิวัตถุนิยม มัวแสวงแต่ความสำราญทางกายอย่างเดียวอยู่เพียงใด ก็ไม่มีหวังในสันติภาพ แม้จะเปิดสภาสันนิบาตชาติ ขึ้นอีกสัก ๑๐ สันนิบาตก็ตาม นักวัตถุนิยมเห็นกายเป็นใหญ่ ย่อมเสียสละได้ทุกอย่าง เพื่อให้กายหรือโลกของตนอิ่มหมีพีมัน ส่วนนักจิตนิยมเห็นแก่จิตเป็นใหญ่ ย่อมเสียสละได้ทุกอย่างเหมือนกัน เพื่อแลกเอาความสงบเยือกเย็นของจิต.

ผู้แสวงความสำราญทางกายนั้น การแสวงของเขาจำเป็นอยู่เองที่จะต้องกระทบกับผู้อื่น เพราะความสำราญกายนี้ เป็นของเนื่องด้วยผู้อื่น หรือสิ่งอื่น ที่แวดล้อมอยู่โดยรอบ เมื่อความเห็นแก่ตัวมีอยู่ ก็ต้องมีการกระทบกันเป็นธรรมดา

การสงครามก็คือ การปะทะของคนหลายคน ที่ต่างฝ่ายต่างมีความเห็นแก่ตัวเพื่อความสำราญทางกายนั่นเอง สงครามโลกซึ่งเป็นเพียงความเห็นแก่ตัวของคนหลายชาติรวมกัน ก็ไม่ต่างอะไรกันอีก ส่วนการแสวงหาความสุขทางฝ่ายจิตนั้น จะไม่กระทบกระทั่งใครเลยแม้แต่น้อย, เพราะเหตุว่า มีอะไรๆ ให้แสวงอยู่ในตนผู้เดียวเสร็จ ไม่ต้องเนื่องด้วยผู้อื่น การสงคราม ไม่สามารถเกิดจากผู้แสวงสุขทางจิต! เช่นเดียวกับที่ไฟไม่สามารถ เกิดจากความเย็น.

การแสวงหาอาหาร ทางฝ่ายกาย ง่ายหรือตื้นและเป็นต้นเหตุแห่งสงคราม การแสวงหาอาหารของดวงใจ ยากและลึก และเป็นต้นเหตุของสันติภาพ ดังกล่าวมาแล้ว.

แต่มนุษย์ในโลกนี้ ส่วนมาก ปล่อยตนไปตามสัญชาตญาณ หรือธรรมดาฝ่ายต่ำมากเกินไป จึงเท่าที่เราเห็นกัน จึงมีแต่ผู้ถือลัทธิวัตถุนิยม ยิ่งนานเข้าเท่าใด วิธีการแสวงหาอาหารของดวงใจ ก็ยิ่งลบเลือน หายไปจากความทรงจำ และความเอาใจใส่ของมนุษย์มากขึ้นเพียงนั้น ในที่สุด ก็ไม่มีอะไรเหลือ อยู่ในมันสมองของมนุษย์ นอกจากความเห็นแก่ตัว และนั่นคือสมัยที่ไฟประลัยกัลป์จะล้างโลก

ข้าพเจ้าอยากจะกล่าวว่า ผู้แสวงหาสุขทางใจ มีอยู่เพียงกี่คนก็ตาม ก็เป็นเหมือนลูกตุ้มที่ถ่วงโลกไว้ มิให้หมุนไปถึงยุคไฟประลัยกัลป์ เร็วเกินไปเพียงนั้น

"เรายอมรับว่า เป็นลูกตุ้มจริง แต่ว่า เป็นลูกตุ้มที่ถ่วงไม่ให้พวกท่านวิ่งเข้าไปสู่กองไฟเร็วเกินไป ถ้าพวกข้าพเจ้าจะพลอยเป็นอย่างท่านไปด้วย เชื่อแน่ว่าโลกคงจะแตกดับเร็วกว่าที่พวกข้าพเจ้าจะแยกเป็นอยู่เช่นนี้" นี่เป็นคำ ซึ่งพวกแสวงสุขทางฝ่ายจิต ควรจะพูดได้โดยชอบธรรม !

พระพุทธองค์ ทรงเป็นนายกแห่งสมาคมผู้แสวงสุขทางใจ เพียงพระองค์เดียวและสมัยเดียว ก็ชื่อว่าเป็น โลกนาถ ที่พึ่งของโลก หลายสมัย เพราะว่า อิทธพลแห่งธรรม ที่พระองค์ทรงเปิดเผยขึ้นนั้น ได้ถ่วงให้โลกที่กำลังหมุนไปหาความแตกดับ หมุนไปช้าเข้า มากกว่ามากนัก เมื่อหมุนไปช้าเช่นนี้ คนทั้งโลก แม้ที่สุดแต่คนที่ไม่เคยได้ยินชื่อของพระองค์ ก็พลอยมีส่วนได้รับความสุขด้วย

แต่เมื่อโลก ละทิ้งการแสวงหาอาหารทางใจ มารับเอาอาหารทางกายมากขึ้นเช่นนี้ พระพุทธองค์ก็ช่วยไม่ได้ เพราะโลกเป็นฝ่ายที่ทิ้งพระพุทธองค์ พุทธบริษัททุกคน ยังภักดีต่อการแสวงหาความสุขทางใจกันอยู่ นับว่า ตระกูลของพระองค์ ยังไม่ขาดทายาทเสียทีเดียว และจะยังเป็นเหมือนลูกตุ้มน้อยๆ ที่เหลืออยู่เพื่อตัวเองและโลกด้วย, ทั้งขณะที่พวกอื่นเขาอาจกำลังเกลียดพวกนี้อยู่.


พุทธบริษัทคงต้องถือว่า กายอยู่ในใจ, อาหารทางใจ สำคัญกว่าอาหารทางกายและยังคงต้องภักดีต่อลัทธิ แสวงสุขทางใจอยู่เสมอ การเป็นพุทธบริษัทแต่ปากนั้น ไม่ทำให้เป็นพุทธบริษัทได้เลย พุทธบริษัทที่แท้ เป็นนักนิยมวัตถุหรือ ถือลัทธิหลงชาติไปไม่ได้ พุทธบริษัทที่ขวางๆ รีๆ นั่นยิ่งจะร้ายไปกว่า ผู้ที่มิได้เป็นพุทธบริษัท เมื่อเกิด "มิคสัญญี" พุทธบริษัทที่แท้จริงเท่านั้นที่จะเป็นผู้เหลืออยู่ แม้นี้ก็เป็น อานิสงฆ์ แห่งการนิยมอาหารของดวงใจ

เมื่อได้พร่ำกล่าวถึงความดีของอาหารทางดวงใจมามากแล้ว กระทั่งในแง่การเมืองเป็นที่สุด จึงต่อไปนี้ จะได้กล่าวถึงลักษณะของอาหารทางใจโดยตรงบ้าง,ให้ควรกัน

คำสองคำซึ่งใครๆ ก็เคยได้ยินมีอยู่ว่า
โลก กะ ธรรม

โลก กับธรรม จะเป็นอันเดียวกัน ไม่ได้ โดยที่โลกเป็นฝ่ายนิยมวัตถุ, ธรรมเป็นฝ่ายนิยม "ความเป็นอิสระ เหนือวัตถุ" และ "ความเป็นอิสระเหนือวัตถุ นี่เอง คือ อาหารของดวงใจ"

กายต้องการอาหารทางฝ่ายโลก, ใจต้องการอาหารฝ่ายธรรม, ผู้ที่เห็นว่าใจเป็นใหญ่ จนถึงกับเป็นที่อิงอาศัยของกาย ย่อมแสวงหาอาหารให้กายเพียงเพื่อสักว่าให้มันเป็นอยู่ได้ (ยาปนมัตต์) เท่านั้น นอกนั้นใช้แสวงเพื่อใจอย่างเดียว

อันความเป็นอิสระเหนือวัตถุนั้นเห็นได้ยาก ตรงที่ตามธรรมดาก็ไม่มีใครนึกว่าตนได้ตกเป็นทาสของวัตถุแต่อย่างใด ใครๆ ก็กำลังหาวัตถุมากินมาใช้มาประดับเกียรติยศของตน และบำเรอคนที่ตนรัก ทำให้เห็นไปว่า นั่นเป็นนาย มีอิสระเหนือวัตถุพอแล้ว เช่น มีเงินจะใช้มันเมื่อไรก็ได้ ส่วน ความหม่นหมองใจที่เกิดขึ้นมากมายหลายประการ หามีใครคิดไม่ว่า นั่นเป็นอิทธพลของวัตถุที่มันครอบงำย่ำยีเล่นตามพอใจของมัน ดวงใจได้เสียความสงบเย็น ที่ควรจะได้ไปจนหมด ก็เพราะความโง่เง่าของตัวเองที่ไปหลงบูชาวัตถุ จนกลายเป็นของมีพิษสงขึ้นมา ดวงใจที่แท้จริง ก็ไม่อาจฟักตัว เจริญงอกงามขึ้นมา เพราะขาดการบำรุงด้วยอาหาร โดยที่เจ้าของไม่เคยคิดว่ามันต้องการอาหารเป็นพิเศษยิ่งกว่ากาย

สัญชาตญาณทั้งหลาย ชวนกันขึ้นนั่งบัลลังก์บัญชาการเต็มที่ ออกคำสั่งทับถมดวงใจที่แท้จริงหรือธรรมชาติฝ่ายสูง ที่เป็นชั้นปรมัตถธรรม จนไม่ปรากฏ สาละวนแต่ แสวงหาอาหาร ตามอำนาจฝ่ายต่ำ หรือที่เรียก ในที่นี้ว่า กาย (โวหารธรรม) เมื่อใจขาดอาหาร แม้แต่ที่เป็นเบื้องต้น เช่นนี้แล้ว ก็ไม่งอกงาม พอที่จะแจ่มใส ส่องแสง ให้ผู้นั้นมองเห็น และถืออุดมคติแห่งความสุขทางใจได้ ชีวิตก็เป็นของมืดมน ต้องร้องไห้ ทั้งที่ไม่รู้เห็นว่า มีอะไรมาทำเอา

เมื่อเด็กๆ ที่เกิดมาในโลก ไม่อาจสำนึกในปริยายนี้ได้ด้วยตนเอง เช่นนี้แล้ว การศึกษาธรรมเท่านั้นที่จะช่วยได้ในเบื้องต้น การศึกษาธรรม ทางฝ่ายหลักวิชา จึงเป็นอาหารของดวงใจ ในขั้นแรกและขั้นกลาง ก็คือ การย่อยหลักวิชาๆ นั้นออกด้วยมันสมองของตนเอง ได้ความรู้ ความแจ่มแจ้ง ความโปร่งใส เยือกเย็น อะไรมา นั่นเป็น อาหารชั้นปลาย ส่งเสริมกัน สืบไปให้เจริญ จนสามารถ ทำพระนิพพานให้ปรากฏ จึงจะนับว่าถึงที่สุด


พุทธทาสภิกขุ

๑๙ กันย์ ๒๔๘๐

ที่มา buddhadasa

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์