อิจฉาเพื่อนที่รวยกว่า หน้าตาดีกว่าเรา(ไปเพื่ออะไร) !

อิจฉาเพื่อนที่รวยกว่า หน้าตาดีกว่าเรา(ไปเพื่ออะไร) !

..................พอดีมีเพื่อนคนหนึ่ง มักจะมาบ่นกับผมอยู่เรื่อยๆว่า เขาหน้าตาไม่ดี จีบหญิงยาก อะไรทำนองนั้น ....มีอยู่วันหนึ่ง ผมนึกรำคาญอะไรเพื่อนคนนี้ขึ้นมาก็ไม่รู้ .....ก็เลย พูดอะไรบางอย่างกับเขาไป จนเขาเริ่มคิดได้บ้าง แต่ เนื้อหาสาระ ที่ผม พูดกับ เพื่อนคนนี้ คิดว่า เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก ก็เลย ต้องนำมาเขียนบอกเล่ากันในบอร์ดซะหน่อย ที่สำคัญ สิ่งที่ผมพูดแนะนำเพื่อนคนนี้ มันก็เคย เป็นประสบการณ์ของตัวเองเหมือนกัน .................. ..

...สมัยเรียนอยู่พาณิชย์ ผมเคยได้ชื่อว่าเป็น "ดาว" ของโรงเรียนพาณิชย์ คือประมาณว่า มีคนมาสนใจเยอะว่างั้นเถอะ ......แต่พอ เข้ามหาวิทยาลัย ...........ก็มาเจอ คนที่หน้าตาดีกว่าผมเอามาก แถมแม้แต่เรื่องฐานะการเงิน เรื่องพอร์ตการลงทุนในหุ้น เขาก็ใหญ่กว่าผม แถมเขายังมีที่ปรึกษา เรื่องหุ้นที่เก่งมาก ในขณะที่ผมต้องลงทุนแบบศึกษาเอาเอง ไม่มีที่ปรึกษาดีเหมือนอย่างเขา ..................แน่นอนมันทำให้ผมอิจฉาเพื่อนคนนี้จนกินไม่ได้นอนไม่หลับไปพักนึง ....ว่าทำไม เขาถึงมีดีกว่าเราทุกอย่าง ........................

..............แต่ระหว่างที่ กำลังทุกข์ใจกับเรื่องแบบนี้ ก็บังเอิญไปเจอกับ สิ่งที่ผมคิดว่า มันล้ำค่า มากกว่า รูปร่างหน้าตา หรือ ฐานะทางการเงิน ที่เพื่อนผมมี(มีมากกว่าผม) ซะอีก .............

......................มันคือ หนังสือเล่มเล็กๆขนาดฝ่ามือเล่มหนึ่ง ที่วางอยู่บนโต๊ะกาแฟ ในร้านกาแฟสดที่ผมไปนั่งกินเป็นประจำ .........................เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ ทำให้ผม ได้สติฉุกคิดขึ้นมาว่า ความทุกข์ในใจผมนั้น มันเกิดจาก เราเห็นเพื่อนหน้าตาดีกว่า ทำให้เราเกิดความอยากมี อยากเป็น หรือ อยากเด่นเหมือนอย่างเขา ....
.............มิทันไร ก็มีความคิดอีกอย่างเกิดขึ้นตามมาทันทีอย่างเป็นกระบวนการ คือ ความคิดที่ว่า รูปร่างหน้าตานั้น มันไม่ใช่สิ่งที่คงทนถาวร วันหนึ่งก็ต้องแก่ชรา ต้องมีริ้วรอย ทรุดโทรม และเน่าเปื่อยผุพัง .....................แล้วก็มีอีกความคิดเกิดตามขึ้นมาอีกอย่างต่อเนื่อง ........... คือความคิดที่ว่า คนที่หน้าตาธรรมดาๆ เมื่อแก่ตัวหรืออาจเคราะห์ร้ายประสบอุบัติเหตุอะไรที่ทำให้หน้าตาได้รับบาดเจ็บซะก่อน เขาย่อมไม่ทุกข์กับมันเท่าไหร่ แต่กับ คนที่สวยมากๆ หล่อมากๆ และ เคยภูมิใจกับ รูปร่างหน้าตาตัวเองมากๆ เขาย่อมทุกข์ทรมานกับมันมากกว่า เพราะร่างกาย รูปร่างหน้าตา เป็นสิ่งไม่เที่ยง ไม่คงทนถาวร ไม่อยู่กับเราได้ตลอดไป ...............
..............เมื่อเป็นเช่นนี้ บางที คนที่หน้าตาธรรมดา อาจจะโชคดีกว่าก็ได้น่ะ เพราะไม่ต้องมีอะไรให้ยึดติด และเมื่อไม่มีอะไรให้ยึดติดยึดมั่น ก็ย่อมไม่ทุกข์ เมื่อถึงเวลาที่มันต้องเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ .........................

..............ในเมื่อรู้เช่นนั้นแล้ว เราจะอิจฉาเพื่อน ที่หน้าตาดีกว่า หรือ ดารานักร้อง ไปทำไม จะอยากได้ไปทำไม เพราะวันข้างหน้า เขาอาจจะต้องทุกข์กว่าเราอีกหลายเท่า ....................

...........ขอเฉลยครับ..................หนังสือเล่มที่ผมหยิบมาอ่าน ขณะจิบกาแฟอยู่ในคอฟฟี่ช็อป ก็คือ หนังสือธรรมะนี่เอง ...............และกระบวนการทางความคิดที่อธิบายไปแล้วข้างต้นก็คือ กระบวนการของ "อริยสัจ 4 " .นั่นเอง .............
......................คือ อาการกินไม่ได้นอนไม่หลับที่เห็นเพื่อนมีอะไรดีกว่าตนนั้น คือ "ทุกข์" ..............การระลึกรู้ว่า ทุกข์นั้นเกิดจากความปรารถนา อยากเป็นคนหน้าตาดี อยากมี อยากได้เหมือนเพื่อนนั่นคือ "สมุทัย" (คือสาเหตุของทุกข์) .............ส่วนความคิดที่พยายามระลึกรู้ตามจริงว่า รูปร่างหน้าตาต้องทรุดโทรมชราภาพ เน่าเปื่อย ผุพัง นั่นคือ กระบวนการของ "นิโรธ" ..และการมีความเข้าใจที่ถูกต้องตามความเป็นจริงของกฏธรรมชาติ ว่า รูปร่างหน้าตา นั่นไม่เที่ยง เป็นสาเหตุของทุกข์ ไม่มีอะไรที่ควรยึดติดถือมั่น ทำให้ไม่เกิดความรู้สึกกระวนกระวาย อยากมี อยากได้ สิ่งที่ไม่เที่ยงนั่นอีก .........ก็คือ "มรรค" ในส่วนของ "สัมมาทิฐิ" ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยดับทุกข์นั่นเอง ...............................

................ไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตาเท่านั้นนะครับ ที่ไม่เที่ยง .......แม้แต่ฐานะการเงิน โดยเฉพาะในโลกทุนนิยมเสรีปัจจุบันนี้ มนุษย์เราสามารถเคลื่อนย้ายทรัพย์สินเงินทองมหาศาลข้ามทวีปได้ด้วยนิ้วมือเพียงนิ้วเดียว ภายในเวลาเสี้ยวนาที ..........ในยุคปัจจุบันที่มูลค่าทรัพย์สินของคนๆหนึ่ง สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงขึ้นๆลงๆ บนกระดานอิเล็กทรอนิกส์ จนทำให้คนๆหนึ่งสามารถที่จะรวยขึ้นหรือ จนลงภายในเวลาวินาทีต่อวินาที ......................
............เมื่อพิจารณาตามจริงดังนี้ ก็จะเข้าใจว่า ความมั่งคั่งของคนอื่น หรือ ของตัวเองก็ตาม สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงให้รวยขึ้น หรือ จนลงก็ได้ ขึ้นอยู่กับ ปัจจัยอีกหลายอย่าง ..................นี่แสดงให้เห็นว่า เรื่องทรัพย์สินก็เป็นสิ่งที่ ไม่ยั่งยืน สามารถเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน .........จึงไม่ควรยึดติด ที่ รวยกว่า หรือ จนกว่า ซึ่งเป็น สิ่งปรุงแต่ง เป็นอุปาทาน แต่ ควรจะมุ่งไปให้ความสำคัญที่ว่า "ใครมีความสุข มากกว่ากัน ใครมีปัญญาในธรรมมากกว่ากัน "

............หลังจากที่ได้หนังสือธรรมะช่วยชี้แนะทำให้ดับความทุกข์ร้อนจากการเห็นเพื่อนมีดีกว่าลงได้ ..................

..............เดี๋ยวนี้อย่าว่าแต่เพื่อนเลยครับ .......แม้แต่เห็นดารา นักแสดงหน้าตาสวยๆ พริตตี้ โคโยตี้ พอเกิดความคิดว่าหน้าตาสวยๆนั้น ล้วนเกิดจากการปรุงแต่ง ลองดารานางแบบนั้นไม่ได้ แต่งหน้า ไม่ได้ อาบน้ำซัก 2 - 3 วัน หรือแค่ลบเครื่องสำอางค์ออก มันยังจะสวยแบบนั้นอีกหรือเปล่า .............หรือ ให้ลึกกว่านั้นหน้าตาสวยๆ หล่อๆนั้น ไม่เที่ยง เดี๋ยวก็ต้องแก่ชรา มีรอยย่นผุพัง พอเกิดความคิดเช่นนี้ ผมก็รู้สึกเฉยๆ ลงไปมาก.........(ทั้งที่เมื่อก่อน ผมนี่เป็นเอาหนักถึงขนาดได้ฉายาจากเพื่อนในกลุ่มว่า "ไอ้ขากาม " " ไอ้หน้าหม้อ " ฯลฯ ซะด้วยซ้ำ) ......
...
...........อย่างเมื่อไม่กี่วันมานี่ ก็มีเพื่อนชวนไปดู พริตตี้ งานมอเตอร์เอ็กซ์โป ผมก็รู้สึกเฉยๆ แล้วก็ปฏิเสธไป ...........(ทั้งที่เมื่อก่อน ผมก็ชอบดู อะไรแบบนี้เหมือนกัน) เพราะคิดว่าเอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่เป็นแก่นสารสาระดีกว่า ......
..........................ยิ่งนึกไปถึงดาราสาวคนหนึ่งที่ผมเคยแอบชอบเธอมากๆ แต่พอตอนที่เธอประสบอุบัติเหตุ แล้วเห็นภาพหน้าตาที่เต็มไปด้วยแผลของเธอ มันก็ยิ่งตอกย้ำสัจธรรมที่ว่า สังขารนี้ไม่เที่ยง ไม่มีอะไรน่ายึดติดจริงๆ ปัจจุบันผมก็ชอบดาราคนนี้อยู่นะ แต่ชอบความดี แล้วก็เสน่ห์อย่างอื่นของเธอมากกว่าที่จะหลงใหลรูปร่างหน้าตา ......................

...............พูดอีกอย่างหนึ่ง มันก็คือไตรลักษณ์ ก็คือ อนิจจัง คือความไม่เที่ยง ไม่จีรัง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป แต่เมื่อเรายึดติด อยากให้มันอยู่กับเราตลอดไป แต่เมื่อมันเป็นไปไม่ได้เราก็เกิดทุกข์(ทุกขัง) เราจึงต้อง มองว่ามันอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน ไม่เที่ยง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ..................

.....................แม้แต่นามปากกา"จิ้งจอกหน้าหยก" ที่ผมใช้มานาน จนกลายเป็นคนดังในสังคมเว็บบอร์ด แต่ถ้าลองไม่เข้ามาโพสต์ซัก 1 ปี กลับเข้ามาอีกที เดี๋ยวคนก็คงลืมกันหมด ....แม้แต่นามปากกา ก็เป็นสิ่งสมมุติ ไม่ใช่สิ่งที่จีรังให้ยึดติดเช่นกัน

...................ขอแขวะไปเรื่องการเมืองหน่อย ............. ถ้า นักการเมือง ในเมืองไทยเรา บางคน (หรือ หลายๆคน)มัน เข้าใจธรรมะมากกว่านี้ ...... เข้าใจว่า "โลกธรรม 8 " คืออะไร ..............เข้าใจไตรลักษณ์ อย่างถ่องแท้ ...........เข้าใจ ว่าอุปาทานคืออะไร .............. และรู้จักคำว่าปล่อยวาง ..................เข้าใจหลักทศพิธราชธรรม ....... และที่สำคัญ คือ เข้าใจ คำว่า "หิริโอตัปปะ " .............เอาแค่นี้ ....ประเทศชาติบ้านเมือง ก็จะสงบสุขมากกว่านี้เยอะ .........การเมืองจะพัฒนาไปมากกว่านี้เยอะโดยที่ไม่ต้อง สะเออะ ไปพูด อะไรที่มันลึกซึ้ง อย่างพวก "เจโตวิมุติ " ..(แต่ หิริโอตัปปะ ธรรมะพื้นๆที่ผมเคยเรียนมาตั้งแต่อยู่อนุบาลนี่ กลับไม่รู้ )

..........สรุปแล้ว ผมพบว่า สิ่งที่ล้ำค่ามากกว่า รูปร่างหน้าตา ฐานะ ที่เพื่อนผมมีอยู่ ก็คือ "ธรรมะ"ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นเอง .......เพราะสิ่งนี้สามารถให้ปัญญากับเรา ทำให้เราดับทุกข์ได้จริงอย่างถาวร



.............เวลาที่คนเรามีทุกข์ หรือ มีปัญหาอะไรซักอย่าง การหันหน้าเข้าหาธรรมะ อาจจะช่วยท่านได้นะครับ .................

ไม่เชื่อ ก็ลองดู !


ปล. ผิดถูกประการใด ก็ เข้ามาแลกเปลี่ยนชี้แนะกันได้นะครับ

Mr.K.Cheng Gong (จิ้งจอกหน้าหยก เซียวอิงจวิ้น)

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์