เฉลยคำตอบ! โค้ก กับ เป๊ปซี่ ใครขายดีกว่ากัน? (คลิป)


เฉลยคำตอบ! โค้ก กับ เป๊ปซี่ ใครขายดีกว่ากัน? (คลิป)

หากพูดถึงน้ำอัดลม ที่เป็นผู้นำในวงการ
คงจะหนีไม่พ้นยักษ์ใหญ่ โค้ก กับ เป๊ปซี่
สองแบรนด์นี้ เคยต่อสู้แย่งชิงส่วนแบ่งตลาดกันมาอย่างยาวนาน
จนถึงจุดหนึ่ง จึงได้ใช้กลยุทธ์ทางธุรกิจที่แตกต่างกันออกไป
เรื่องราวนี้เป็นอย่างไร


เรื่องที่เราอาจไม่เคยรู้มาก่อนคือ น้ำอัดลมทั้งสองเจ้านั้น เกิดมาจากร้านขายยา ซึ่งเจ้าของคิดค้นขึ้นเพื่อเป็นยาให้ความสดชื่น หรือรักษาอาการปวดท้อง


โค้ก ถือกำเนิดขึ้นในปี 1886 ถูกคิดสูตรขึ้นโดยเภสัชกรชื่อ John Pembleton

ส่วน เป๊ปซี่ เกิดขึ้นในปี 1898 ถูกคิดสูตรขึ้นโดยเภสัชกรชื่อ Caleb Bradham


ปัจจุบันโค้กนั้น เป็นแบรนด์ที่อยู่ภายใต้การบริหารของบริษัท The Coca-Cola Company ซึ่งนอกจาก โค้ก แล้ว ยังเป็นเจ้าของเครื่องดื่มชื่อดังอื่นๆ เช่น Sprite, Fanta และ Minute Maid เป็นต้น

ส่วนเป๊ปซี่ เป็นแบรนด์ที่อยู่ภายใต้การบริหารของบริษัท PepsiCo ซึ่งนอกจาก เป๊ปซี่ แล้ว ยังเป็นเจ้าของเครื่องดื่มชื่อดังอื่นๆ เช่น 7 Up, Mirinda, Tropicana และ Gatorade เป็นต้น รวมทั้งเป็นเจ้าของแบรนด์ขนม เช่น Lay’s, Cheetos, Doritos อีกด้วย


ในอดีต ทั้งคู่ ใช้วิธีการต่างๆ เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดกันมาตลอด

โดยเฉพาะในช่วงปี 1980 ที่การแข่งขันดุเดือดขึ้น จนถูกเรียกว่าเป็นสงครามโคล่า

โดยมีการออกโฆษณาและแคมเปญต่างๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่าสินค้าตนเองมีรสชาติหรือคุณสมบัติที่ดีกว่า ราคาคุ้มค่ากว่าอีกฝ่าย


แล้วมาถึงตอนนี้ ใครขายดีกว่ากัน?

ปัจจุบัน ส่วนแบ่งของทั้งสองบริษัท ในตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ที่สหรัฐอเมริกา เป็นดังนี้

หากนับรวมเครื่องดื่มทั้งหมด Coca-Cola มีส่วนแบ่ง 42% ส่วน PepsiCo 27%

ซึ่งในสัดส่วนดังกล่าว คิดเป็น โค้ก 18% ขณะที่ เป๊ปซี่ 8%


ส่วนในประเทศไทยนั้น ตลาดน้ำอัดลมที่เป็นน้ำดำ มีมูลค่า 35,000 ล้านบาท มีส่วนแบ่ง คือ โค้ก 52% และ เป๊ปซี่ 30% ซึ่งในไทยในสมัยก่อนเป๊ปซี่เป็นผู้นำ แต่ตอนนี้ได้เสียแชมป์ให้แก่ โค้ก ตั้งแต่ บริษัทเสริมสุขที่เป็นผู้จัดจำหน่ายเดิมไปทำเครื่องดื่มใหม่ชื่อ เอส

อย่างไรก็ตาม ในหลายปีที่ผ่านมา พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป หันมาสนใจสินค้าที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากขึ้น ทั้งสองบริษัท จึงต้องหากลยุทธ์ในการลงทุนใหม่ๆ


Coca-Cola นั้นยังคงสภาพตัวเองเป็นบริษัทขายเครื่องดื่ม และเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์หลักให้ตอบโจทย์ตลาดมากขึ้น โดยมีการวางขายโค้กในแบบใหม่ๆ เช่น Diet Coke, Coca-Cola Zero, Coca-Cola Light ที่พยายามคงรสชาติให้เหมือนเดิมมากที่สุด แต่ลดน้ำตาลหรือปริมาณแคลอรี่ลง ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี สะท้อนจากส่วนแบ่งตลาดนั่นเอง

ในขณะที่ PepsiCo แม้จะมีการพัฒนาเป๊ปซี่ในลักษณะเดียวกัน เช่น diet pepsi, pepsi MAX, pepsi ZERO SUGAR แต่หลังจากที่มีการควบรวมกับ Frito-Lay เมื่อปี 1965 ทำให้บริษัทได้ธุรกิจด้านอาหารและขนมมาไว้ในมือด้วย


ด้วยเหตุผลนี้อาจทำให้ Coca-Cola มีตำแหน่งที่ดีกว่าในตลาดน้ำอัดลม แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า PepsiCo จะพ่ายแพ้สงครามใหญ่เสียทีเดียว เพราะการกระจายการลงทุน ทำให้บริษัทมีรายได้รวมสูงกว่าคู่แข่งเป็นเท่าตัว

ผลประกอบการของทั้งสองบริษัท ในปี 2017
Coca-Cola มีรายได้ 1.2 ล้านล้านบาท กำไร 4.2 หมื่นล้านบาท (ปี 2017 Coca-Cola มีรายการพิเศษ ถ้ามองในปี 2016 จะมีกำไร 2.2 แสนล้านบาท)
ปัจจุบันมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 6.5 ล้านล้านบาท

PepsiCo มีรายได้ 2.1 ล้านล้านบาท กำไร 1.6 แสนล้านบาท
ปัจจุบันมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 5.4 ล้านล้านบาท


เรื่องราวนี้ แสดงให้เห็นว่า

การมุ่งเน้นบางสิ่งอย่างจริงจัง อาจสร้างความได้เปรียบเชิงธุรกิจให้กับเราได้

แต่ในบางครั้ง ชีวิตอาจจะไม่ได้มีคำตอบที่ถูกต้องเพียงข้อเดียวเสมอไป

เหมือนอย่างที่ Coca-Cola ยังมุ่งเน้นพัฒนาสินค้าหลักของตนเอง จนได้เป็นผู้นำตลาดน้ำอัดลม

ขณะที่ PepsiCo มองว่าสินค้าหลัก กำลังเป็นขาลง จึงหันไปหาทางเลือกอื่นมาเสริมรายได้ ซึ่งก็ทำให้บริษัทมีการเติบโตเช่นกัน


สุดท้ายแล้ว ทั้งคู่ก็ยังยืนหยัดอยู่บนโลกใบนี้ ได้อย่างแข็งแกร่งมากว่า 100 ปี

และถ้าถามว่าอีก 100 ปีข้างหน้า เราจะดื่มน้ำอัดลมยี่ห้ออะไร

คำตอบก็คงจะหนีไม่พ้น โค้ก และ เป๊ปซี่..


ที่มา longtunman


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
ตามข่าวteenee.com จาก LineToday เข้าไปคลิ๊กกดติดตามได้เลย
กระทู้เด็ดน่าแชร์