เดอะ โซดิแอค คิลเลอร์ ฆาตกรจักรราศี (ตอนที่2)

แอนนี่รีบฉุดแม่หนีจากภาพสยอง พอเบ็ตตี้ได้สติเธอวิ่งหาโทรศัพท์สาธารณะหาตำรวจแจ้งเหตุร้าย และในขณะเดียวกันกับนักดับเพลิงประจำท้องถิ่นผ่านมาถึงกับหยุดจอดเพราะนึกว่ารูปปั้นทิ้งไว้ แต่พอเห็นศพทั้งคู่ถึงกับโก่งคออาเจียนจนหมดไส้หมดพุง ไม่กี่นาที ตำรวจทั้งสองนายก็มาถึงในที่เกิดเหตุ ไม่ต้องค้นหาให้ยุ่งยากเลยว่าศพอยู่ไหน เพราะมันนอนเด่นเป็นสง่านั้นไง! ติดต่อกำลังเสริมด้วย คดีนี้ดังแน่ ๆ ไม่นานพวกนักข่าว ช่างภาพ ประชาชนเริ่มเข้ามาสถานที่เกิดเหตุก่อนตำรวจเสียอีก และย่ำสถานที่เกิดเหตุจนเละเทะไปหมด มันทำให้การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจยุ่งยากไม่น้อยเลย อย่างไรก็ตามตำรวจสรุปว่า สภาพโดยรวบที่พบศพ ไม่มีรอยเลือดแม้แต่น้อย ทั้ง ๆ ที่ศพถูกตัดขาดเป็นสองท่อน ตัวศพเองก็ขาวซีดเผือกเพราะเลือดไหลออกไปทุกหยาดหยดแล้ว แสดงว่าศพผู้ตายถูกฆ่าและหั่นจากร่างจากที่อื่น และฆาตกรเอาศพของเธอมาทิ้งที่ถนนนอร์ตันนี่ ประเด็นที่สำคัญคือ มันเอาศพเธอทิ้งทำไมตรงนี้? ตรงที่ศพนอนอยู่น่ะ มันเป็นเป้าสายตาสาธารณชนเดินผ่านไปผ่านมาเกือบตลอดทั้งวี่ทั้งวัน มันคล้ายกับฆาตกรจงใจโชว์ผลงานของมันให้ประชาชนเห็นได้ชัด ๆ แล้วฆาตกรมันเอาศพมาทิ้งได้อย่างไร มันไม่ใช้ของง่าย ๆ น่ะจะบอกให้ ฆาตกรต้องเสี่ยงต่อการถูกพบเห็นและจับได้คาหนัง คาเขาเลยที่เดียว มีทางเป็นไปได้ว่าคนร้ายนำศพมาไว้ตรงนั้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง ก่อนที่หนูน้อยแอนนี่จะไปเหลือบเห็นเข้า แต่ปริศนาก็คลี่คลาย เมื่อเด็กส่งหนังสือพิมพ์ที่ต้องใช้เส้นทางนี้ทุกเช้าตรู่ เขาเห็นรถสีดำแล่นช้า ๆ มาตามขอบถนนใกล้ ๆ กับที่ทิ้งศพนั้น ในที่สุดศพทั้งสองท่อนก็ถูกนำไปยังนิติเวช เพื่อชันสูตรและถ่ายรูปไว้อย่างละเอียดจากนั้นก็ถูกนำไปเก็บในช่องแช่แข็งแช่ศพเพื่อทำรูปคดีต่อไป จนได้ข้อมูลชวนสยองนี้เข้า....... การชันสูตรศพ ตามธรรมเนียมนิยมของตำรวจสหรัฐฯนั้น เมื่อไม่สามารถระบุได้ว่าศพของเหยื่อฆาตกรรมเป็นใคร เขาจะตั้งชื่อศพผู้หญิงว่า เจนโด แล้วใส่หมายเลขลำดับศพที่พบต่อท้าย ในเวลานั้นศพถูกเรียกว่า เจนโด หมายเลข 1 เช้าวันที่ 16 มกราคม 1947 เจนโด หมายเลขหนึ่ง ถูกวางไว้บนเตียงเหล็กแคบ ๆ ผิวสัมผัสมันปลาบเย็นเฉียบใช้สำหรับการชันสูตรศพโดยเฉพาะ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชจัดการดึงเอาสิ่งที่ฆาตกรอุดไว้ในช่องเพศและช่องทวารหนักของเธอออกมา แล้วเขาก็พบว่าในทหารหนักมีเศษเนื้อและหนังเป็นก้อนเล็กก้อนน้อยรวมอยู่ด้วยหลายก้อน มันเป็นเนื้อที่ฆาตกรใช้มีดตัดคว้านจากบริเวณจากบริเวณขาอ่อนเธออย่างป่าเถื่อนทารุณ เห็นแล้วใจหาย สิ่งที่ทำให้แพทย์งงงันจนหงุดหงิดยังมีมากกว่านั้น เพราะแม้ จะเอาคีมยาวคีบเศษดินออกจากช่องคลอด แต่มันก็ยังตันเหมือนมีอะไรจุกแน่นอยู่นั้นเอง การชันสูตรนี้ สรุปเป็นรายงานได้ว่า "......มีรอยถลอกมากมายหลายซับหลายซ้อนบริเวณหน้าผากและแถวๆ ขมับซ้าย รวมทั้งแนวตีนผมเป็นรอยครูดเล็ก ๆ แต่ที่ผิวหนังก็ฉีดขาดจนมีเลือดออกซิบ ๆ ลำตัวถูกตัดขาดออกจากกัน ด้วยรอยผ่าที่เกือบเป็นแนวตรง ตัดลึกผ่านส่วนท้อง บริเวณเหนือหัวเหน่าที่รอยครูดลักษณะกากบาทเล็กๆ เต็มไปหมดทั้งท้องน้อย ที่ลำไส้และไตทั้งสองข้างมีรอยครูดและเลือดออก ท่อรังไข่เล็กนิดเดียว และไม่พบการตั้งครรภ์ มดลูก รังไข่ และช่องคลอดส่วนบนไม่มีความเสียหายแม้แต่น้อย....ในช่องคลอดส่วนถัดลงมามีชิ้นส่วนเนื้อหลุดลุ่ยติดอยู่ เป็นเนื้อที่ปรากฏรอยช้ำและรอยถลอกหลายรอย ไม่พบเชื้ออสุจิ แต่ก็คล้ายว่ามันถูกเช็ดหรือล้างออกหมดแล้ว สันนิษฐานว่า รอยครูด รอยถลอก และการถ่างทวารหนักจนเปิดกว้างนั้น(วัดขนาดได้ถึงเศษหนึ่งส่วนสี่นิ้ว) เกิดขึ้นจากผู้หญิงนิรนามคนนี้สิ้นใจแล้ว แต่กระนั้นเธอต้องดิ้นรนอย่างรุนแรงที่เดียวเลยเหละเพราะความเจ็บปวดแสนสาหัสจากการที่ฆาตกรใช้ของมีคมทารุณต่อร่างกายของเธอ!" มันทำเช่นนั้นทำไม การยัดเศษเนื้อเศษหญ้าไว้ในช่องคลอดก็เป็นปริศนาที่น่าคิดอีก จิตใจของฆาตกรรายนี้มันเคียดแค้นอะไรกันหนักกันหนา ทารุณขนาดนี้มันยังไม่หนำใจ มันถึงดึงถอนขนบริเวณหันหน่าเธออกเป็นกระจุกๆ....ตอนสดๆ แล้วยัดลงในทวารหนักของเธอด้วย ในกระเพาะอาหารเต็มไปด้วยของเหลวข้นๆ สีน้ำตาลอมเขียวเป็นลักษณะเป็นเม็ดๆ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วคืออุจจาระของมนุษย์นี้เองและยังมีสิ่งที่ปนมากลับอุจจาระนี้ด้วย แต่ไม่สามารถชี้ได้ว่ามันคืออะไร แต่ไม่พบอสุจิ...." จากการชันสูตร ทำให้เราเห็นนาทีสุดท้ายอย่างชัดเจนเธอถูกทรมาน เจ็บปวดจนเกินขีดจำกัดของมนุษย์จะทานทนได้ และยังถูกบังคับให้ถูกกลืนอุจจาระจำนวนมาก จนอิ่มเต็มกระเพาะ! เธอถูกข่มขื่นทั้งทางช่องคลอดและทวารหนัก แต่ฆาตกรสามารถกำจัดร่องรอยอสุจิของมันออกไปอย่างหมดจด เพราะหลังจากมันฆ่าเธอแล้ว มันลากศพเธอไปสระผมด้วยแชมพู เอาสบู่ฟอกเธอทั้งตัว! แน่นอน! มันต้องหั่นศพของเธอเป็นสองท่อนเรียบร้อยแล้ว เลือดสดๆ ยังคงไหลลงท่อน้ำทิ้งไปทุกหยาดหยดจนหมดร่าง ดังนั้นผิวของเธอจึงซีดขาวเผือกเหมือนขี้ผึ้งและมันจนขึ้นเงา เมื่อมันร่างศพจนพอใจแล้วก็ไปทิ้งไว้ข้างทาง ส่วนหัว ผลจากการชันสูตรรายงานว่า "....กะโหลกไม่มีรอยแตกหรือบุบสลาย แม้จะมีรอยช้ำที่คอแต่ไม่ใช้สาเหตุการตาย..และสาเหตุการตายไม่ได้เกิดจากถูกตัดแยกร่าง แต่เธอตายเพราะอาการเลือดออกในสมอง ปริศนาอีกข้อหนึ่งที่ปวดหัวภายหลังคือ ผู้หญิงนิรนามผู้น่าสงสารนี้ถูกข่มขื่นหรือไม่เพราะไม่มีร่องรอยอสุจิที่ศพแม้แต่น้อยและผู้หญิงนิรนามนี้ไม่สามารถร่วมเพศได้เด็ดขาด เพราะช่องคลอดของเธอตัน! เธอพิการช่องคลอดตั้งแต่กำเนิด เป็นไปได้หรือไม่ว่าฆาตกรพยายามขื่นใจเธอ แต่มันรู้ที่หลังว่าทำไม่ได้ มันโกรธแค้น เล่นกลับใครไม่เล่น จนลงมือสังหารโหดดังกล่าว ส่วนเรื่องอุจจาระที่เธอกินเข้าไปนั้น ไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็นของเธอหรือฆาตกร แต่น่าเสียดายนักเพราะถ้าเป็นปัจจุบันนี้ ถ้าเราตรวจหาดีเอ็นเอ เราจะตอบคำถามนี้ไม่ยากเลย และเผลอ ๆ อาจจับคนร้ายได้อยู่หมัดก็ได้ นอกจากนั้นยังมีร่องรอยด้วยว่าฆาตกรลงมือตัดอวัยวะเพศเธอออกไปบางส่วน แต่ข้อมูลการชันสูตรนี้ ตำรวจปิดเป็นความลับสุดยอดเพื่อใช้หาผู้ทำผิดต่อไป และจากการสอบสวนของตำรวจ ว่าศพหญิงนิรนามนั้นคือใคร จึงได้ส่งรอยนิ้วมือที่ศพส่งไปให้เจ้าหน้าที่เอฟบีไอตรวจหาจากแฟ้ม โดยหวังลึก ๆ ว่าจะได้ข้อมูลอะไรบ้าง ในที่สุด เอฟบีไอก็แจ้งผลว่า ศพหญิงลึกลับผู้นี้คือ อลิซเบธ ซอร์ต ผู้ซึ่งมีประวัติและพิมพ์ลายนิ้วมือเอาไว้ เมื่อเธอสมัครเข้าทำงานในฐานทัพ แคมป์คุ้ก เมื่อ ค.ศ. 1942 โน่น แต่ตามกฎหมาย จำเป็นต้องชี้ศพให้แน่ชัด ฉะนั้นในวันที่ 22 มกราคม ตำรวจได้นำ พีบี้ ชอร์ต และจินนี่ พี่สาวของเบธมายืนยันศพของผู้เป็นที่รัก ตำรวจคลุมสาวนอื่นของร่างกายที่ถูกตัดขาดเป็นสองท่อนด้วยผ้าขาว โผล่ออกมาแต่ส่วนศีรษะให้เห็นหน้าชัดๆ เจตนาของตำรวจคือไม่ให้สมาชิกครอบครัวต้องทนทุกข์ทรมานใจเกินไปที่เห็นภาพการถูกฆ่าอย่างโหดตู๊ดม แต่กระนั้นใบหน้าของเบธมันเปลี่ยนจากเดิมมาก มันบูดเบี้ยวเขียวคล้ำ ปาก จมูก คิ้ว ตา ผืดรูปผิดร่างไปหมด เป็นผีตายซากที่ชวนให้ฝันร้ายชัด ๆ จินนี่อึกอัด จำน้องสาวตัวเองไม่ได้ คราวนี้ตำรวจเปิดผ้าห่อศพลงมาอีกนิด คราวนี้เธอก็เห็นไฝที่ไหล่ข้างซ้ายจึงบอกได้ว่าศพนี้คือเบธจริง ๆ ร่างไร้วิญญาณที่น่าเวทนาของเบธถูกฝังไว้ในสุสาน เมาน์เท่นวิว ในโอ๊คแลนด์ เมื่อวันที่ 24 มกราคม 1947 มีญาติในครอบครัวประกอบด้วยมารดา พี่สาวสองคนและน้องสาวอีกสองและสามีหนึ่งในสี่นั้น แต่พ่อของเบธไม่ได้มาไม่รู้เพราะอะไร การสวดเป็นไปอย่างย่อ ๆ รวบรัดและรีบฝังไปในเวลาช่วงสั้น ๆ ตอนนี้เธอกลายเป็นศพดังไปแล้ว.......................... มันเป็นความฝันชั่วชีวิตของเธอว่าสักวันหนึ่งว่าเธอจะดังแบบดารา..................... อลิซเบธ ชอร์ต เดอะ แบล็ค ดาห์เลีย อลิซเบธ ชอร์ต เกิดวันที่ 29 กรกฎาคม ค.ศ. 1923 ในเขตไฮด์ พาร์ค นครอสตัน บิดาเธอชื่อ คลีโอ อัลวิน ชอร์ต อดีตเจ้าของธุรกิจลานจอดรถ ผู้ผันอาชีพเป็นนักออกแบบและรับสร้างสนามกอล์ฟขนาดเล็กแทน ส่วนพีบี้ผู้เป็นมารดาลูกดกไม่ใช้ย่อย เพราะถ้ารวมเบธและเธอยังมีพี่น้องตามมาอีกสี่ รวมเป็นห้า ทั้งเป็นเป็นลูกสาวล้วนๆ ครอบครัวนี้ก็มีชีวิตรุ่งเรืองดีหรอกจนกระทั้งมันเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจที่เรียกว่า "วอลล์ สตรีต ล่มสลาย" มันทำให้การเงินของคลีโอล่มจมไปด้วย แถมมันยังกระทบกับหุ้นของครอบครัวอีก ไอ้ที่กำลังตกต่ำก็เกิดอาการย่ำแย่ถึงขีดสุด......สุดทานทน และจู่ๆ คลีโอผู้เป็นพ่อก็หายตัวไปเฉยๆ มีผ้ำบนรถอันว่างเปล่าของเขาจอดทิ้งไว้แบบไม่ดูดำดูดีค้างอยู่บนสะพานชาล์สทาวน์ ว่ากันว่าเขาโดสะพานตายแบบธุรกิจรายอื่น ๆ เขาทำกัน เพื่อหนีปัญหาทั้งปวง เป็นอันว่าในค.ศ. 1930 คุณนายพีบี้ต้องรับปัญหาเลี้ยงลูกสาวตัวน้อย ๆ ถึง 5 คนตามยถากกรรมตามลำพัต้องขอความช่วยเหลือจากสังคมสังเคราะห์ให้จ่ายเงินสวัสดิการเป็นรายงให้เธอกับลูก และด้วยเงินอันน้อยนิดจำต้องย้ายไปบ้านที่คับแคบอย่างกับรังหนู ด้วยความคับแค้นขัดสน ชีวิตห่อเตู๊ด่ยว บี้กับลูกๆ มีวิธีหย่อนใจที่ถูกที่สุด ประหยัดที่สุด คือการดูหนัง พวกเธอเข้าไปดูโรงหนัง ภาพยนต์กันจนหูตาแฉะ การหมกมุ่นกับภาพมายาจอเงินนี้เองทำให้อลิซเบธลูกสาวคนกลางของพีบี้ เกิดมีความฝันบรรเจิดเพริศแพร้วหนีออกจากโรคความจริงอันขื่นขมโหดร้าย เธอเริ่มหลงใหลใฝ่ฝันอยากเป็นดาราเสียแล้วสิ แม้ครอบครัวจะยากจน แต่ลูกสาวทั้งห้าของพีบี้ก็มีเสื้อผ้าสะอาดได้ใส่กันไปโบสถ์ทุกๆ วันอาทิตย์ อลิซเบสนั้นเธอเป็นผู้หญิงสวย ใครเห็นก็ชม หนุ่มน่ะติดพันเป็นเกรียวอย่างกับแมลงวันตอมอึ แต่เธอมีโรคประจำตัวคือ โรคหอบหืดทำให้เธอออกจากโรงเรียนก่อนกำหนด และมันยิ่งหนักขึ้นเมื่อเธอโต เมื่อกลางคืน แทนที่จะหลับสบาย เธอต้องลุกขึ้นมาหอบตัวอย่างเวทนา การหายใจของเธอนั้นลำบากลำบนมากที่สุด ออกจากเมดฟอร์ค เมื่ออลิซเบธอายุ 16 เธอต้องออกจากบ้านตามลำพังมาอยู่ไมอามี่ รัฐฟลอริดา ตามลำพัง เพราะที่แมสซาซูเซตส์นั้นมันหวานเย็นไม่เหมาะกับเธอ เธอหางานทำและรับจ๊อบเป็นนางแบบพลางๆ ขณะที่เธออายุปีที่ 18 จู่ๆ แม่ของเธอได้รับจดหมายจากคลีโอ สามีของพีบี้ พ่ออลิซเบธที่ใครๆ ต่างว่าตายแล้วนั้นแหละ เขาอ้างว่าพยายามเสาะหาลูเกียให้กลับมาอยู่ด้วย......แล้วที่ทิ้งลูกเมียล่ะ เขาก็อ้างอีกล่ะว่าที่ทิ้งไม่ใช้ไม่รัก เพราะถ้าไม่ใช้เขาตายหรือ พีบี้กับลูกๆ คงไม่ได้รับเงินสังคมสังเคราะห์ได้สะดวกจำนวนมากหรือ? พีบี้อ่านแล้วไม่ยักโง่ เธอปฏิเสธคลีโออย่างหมดเยื่อหมดใย เธอถือว่านี้เป็นการทรยศหักหลังกันอย่างรุนแรง เธอกับลูกๆ ไม่ต้องการคลีโอเพราะทุกคนมีการงานเป็นหลักเป็นแหล่งแล้ว แต่อลิซเบธ ชอร์ต ไม่คิดอย่างนั้น เธอตกลงตามคำชวนของพ่อ ให้ไปอยู่ด้วยกันที่เมืองแวลลีโฮ รัฐแคลิฟอร์เนีย สถานที่ไม่ไกลจากฮอลลีวู้ด นครแห่งอุตสาหกรรมภาพยนตร์โลกแห่งความฝันของเธอ สถานที่เธออยากไปมากที่สุดในชีวิตนี้ แต่เมื่อเธอไปถึง ไม่นานนักเธอกับพ่อก็มีเรื่องมีราว เข้ากันไม่ได้ พ่อโกรธมากหาว่าเธอเป็นตัวขี้เกียจ ชอบไปมีเพศสัมพันธ์กับเหล่าทหารเรือจากกองทัพในเมืองนั้น ชนิดควงกันเที่ยวไม่ซ้ำหน้า สุดท้าย อลิซเบธต้องออกจากบ้านไปทำงานในฐานทัพเรือเสียเลย โดยทำหน้าที่เป็นพนักงานการเงินของราชนาวีที่แคมป์คุ้กสถานที่ฝึกทหาร และที่นี้แหละที่ตำรวจสามารถระบุศพเธอด้วยรอยนิ้วมือ คดีฆาตกรรมจีออเกตเต้ เมื่อออกจากบ้านและครอบครัวมา เธอเปลี่ยนชื่อจากเบ็ตตี้เป็นเบธ ด้วยความงามและเสน่ห์เธอมักชนะการประกวดนางงามที่แคมป์คุกหลายต่อหลายครั้ง เธอป๊อบปูลาร์มาก มีเพื่อนฝูงแวดล้อมเยอะแยะไปหมด แต่ไม่นานเธอก็ออกจากงานเพราะถูกตำรวจจับข้อหาเมาสุรา จึงถูกส่งตัวกลับไปให้ผู้ปกครองที่เมืองเมดฟอร์ด ตามเดิม ทว่าไม่นานอีก เบธก็เดินทางมาใช้ชีวิตในฮอลลีวู้ด นครหลวงแห่งโลกภาพยนต์ สมดังไฝ่ฝัน เธอเช่าโรงแรมอยู่ โดยแชร์ห้องกับผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ ลูซิลล์ แต่ในช่วงเวลาที่เบธกำลังตามล่าหาความฝันของตัวเองอยู่นั้น ก็เกิดเรื่องโศกนาฏกรรมขึ้น จีออเกตเต้ เพื่อนรักคนหนึ่งของเบธผู้ที่พาเธอรู้จักพวกดาราและผู้กำกับฯมากมาย ได้ถูกฆ่าตัวตายในอพาร์ตเมนต์ ศพของเธอเปลือยเปล่าท่านล่างใส่แต่เสื้อนอนตัวเดียว และเธออยู่ในน้ำที่แดงฉาดเต็มไปด้วยเลือดสดๆ จากการชันสูตรพบว่าจีออเกตเต้ถูกฆ่ารัดคอตายด้วยผ้าเช็ดหน้าและชิ้นหนึ่งของผ้าเช็ดหน้านี้ถูกฉีกออกแล้วฆาตกรได้กระทุ้งมันเข้าไปในคอของจีออเกตต้า ทั้งยังพบร่องรอยการขมขื่นมนุษย์ผิดมนุษย์มนา รอยศีรษะและหน้าท้องนี้ชี้ให้เห็นชัดว่าเธอต่อสู้ดิ้นรนสุดชีวิตก่อนฆ่าอย่างโหดตู๊ดม จีออเกตเต้ไม่ใช้ผู้หญิงธรรมดาเหมือนเบธ เธอมาจากครอบครัวฐานะดีมาก บิดาของเธออยู่คณะผู้ทำหนังสือพิมพ์ที่ทรงอิทธิพล คนดัง คดีนี้มืดมนแปดด้าน เพราะไม่มีหลักฐานมากพอที่จะจับกุมเขาได้ อีกทั้งครอบครัวของจีออเกตเต้ใช้อิทธิพลหนังสือพิมพ์ปิดข่าวอีก เพราะไม่อาจให้ข่าวของลูกออกสู่หูชาวบ้าน เดี๋ยวจะเอาไปประจาน คดีนี้ก็ยังเป็นปริศนาคดีหนึ่งแต่ เป็นจุดเริ่มต้นของคดีฆาตกรรมที่โหดตู๊ดมในเวลาต่อมาสำหรับเบธ โรคประสาท ความฝันสลาย เส้นทางสู่ฮอลลีวู้ดของเบธไม่ง่ายเลย เธอเปลี่ยนที่อยู่เป็นว่าเล่นไม่ว่าไป ชิคาโก,เมดฟอร์ด จนกระทั้งเธอย้ายกลับมาที่ ไมอามี่ บีช อีกครั้ง ที่นั้นเธอได้คบนักบินพันตรีนามว่า แมตต์ กอร์แดน ไม่นานหลังจากที่รู้จักกัน ผู้พันแมตต์ขอเบธแต่งงานและเธอตอบตกลง เบธเขียนจดหมายถึงแม่รำพันความดีสมบูรณ์แบบเพียบพร้อมไปหมดของผู้พันนี้ ผู้ซึ่งเธอถวายมอบกายชั่วชีวิต หวังพึ่งพิงอิงแอบเขาตลอดไป แต่ต่อมาผู้พันแมตต์ผู้ส่งไปประเทศอินเดีย ทำให้เธอกลับไปรอเมดฟอร์ดด้วยความหวัง แต่ใช่ว่า เบธจะเก็บหัวใจไว้เขาคนเดียวหรอก เพราะทันทีที่กลับสู่บ้านเกิด เบธก็คั่วแฟนเก่าสมัยถ่านไฟเก่าเต็มไปหมด ขลุกนวดตัวกันทั้งวัน แต่เหลือเชื่อเธอยังรักษาพรหมจารีอย่างมหัศจรรย์ และแล้ววันหนึ่งเดือนพฤษภาคม 1945 เบธได้รับโทรเลขด่วน มันมาจากมารดาของผู้พันแมตต์ "ได้รับจากกระทรวง แมตต์ตายแล้ว เพราะเครื่องบินตกขณะเดินทางออกจากอินเดียเพื่อจะกลับบ้าน ในความทุกข์โศกของครอบครัวเรา มีเธอรวมอยู่ด้วยเสมอ ช่วยภาวนาขออย่าให้เรื่องนี้เกิดขึ้นจริง" เบธอ่านก็รู้ว่าโลกนี้ถล่มทลาย ชีวิตและความหวังของเธอสูญสลายไปตามเขา ดังนั้น ตลอดทั้งวันทั้งคืน เบธค้นเอาจดหมายของผู้พันแมตต์มากองไว้ตรงหน้า และเวียนอ่านมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอหลุดออกจากโรคแห่งความจริง ลอยสู่โลกจินตนาการ เพราะเธอเที่ยวไปเล่าเป็นตุเป็นตะให้กับคนอื่นฟังว่า เธอแต่งงานกับผู้พันแมตต์เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่เขาไปรับราชการที่อินเดีย เธอท้องกับเขาด้วยน่ะ แต่แท้งไปเสียก่อน เธอพรรณนาจนตัวเองก็หลงเชื่อว่ามันจริง! ฉายารักเร่สีดำ หลังจากที่สูญเสียแมตต์ไปกลางอากาศ เบธก็เริ่มทำตัวแปลกๆ เธอแต่งหน้าตัวเองให้ดูคล้ายผี ใช้รองพื้นสีขาวโปะจนหน้าซีดเผือก ทาปากทาด้วยสีม่วงดำเข้มเหมือนศพตายซาก แล้วสวมชุดดำสนิท เธอเดินทางไปฟลอริดา และขึ้นเหนือสู่ชิคาโก และแคลิฟอร์เนียเพื่อไปอยู่กับแฟนเก่าอีกคนหนึ่งของเธอ กอร์แดน ฟิคคลิ่ง แต่ชีวิตคู่เริ่มระหอกระแหง เพราะกอร์แดนอยากคั่วกับเธอ แต่เธอไม่ยอม อ้างว่าจะรอจนกว่าจะเข้าพิธีถูกต้องตามประเพณีดีงามแล้วเท่านั้น สถานการณ์ที่เครียดขาดผึ่งตอนที่กอร์แดนอาละวาดบังคับให้เธอเลิกทำตัวเป็นสาวมากรัก ห้ามเที่ยวชายอื่นทั้งหมด! เบธทนไม่ไหวหรอก นิสัยของเธอขาดผู้ชายได้ที่ไหนล่ะ และในที่สุด เธอก็ได้รับสมญานามว่า "แม่ดอกรักเร่สีดำ" ฉายานี้ได้มาจากหนังฮอลลีวูดที่กำลังฉายเรื่องหนึ่งชื่อ บลู ดาห์เลีย รักเร่สีฟ้า หนังดังของ เรย์มอนด์ แชนด์เลอร์ ด้วยเหตุนี้เองที่เบธมีพฤติกรรมแปลกๆ แต่งตัวประหลาดๆ ด้วย รองพื้นจนขาวซีด ไว้ผมยาว ใส่ชุดดำเดินไปเดินมา เบธ ชอร์ต ก็เลยถูกเรียกว่า "แบล็ค ดาห์เลีย" ไปตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา หลังจากตัดสวาทกับ กอร์แดน ฟิคคลิ่ง เบธก็อาศัยอยู่นครลอสแอนเจลิส อาศัยเช่าห้องกับเพื่อนสาวจากบอสตัน ชื่อ มาร์จอรี่ แกรห์ม ความฝันอยากเข้าวงการภาพยนต์ของเบธยังบรรเจิดไม่เสื่อมคลาย เช่นเดียวกับการบริหารเสน่ห์ก็ไม่มีท่าทีว่าจะบรรเทาลงสักนิด มาร์ติน เลวิส เจ้าของร้านขายรองเท้า แสดงเวทนาและปรานีต่อหญิงสาวตกงาน เงินขาดมือ ด้วยการมอบรองเท้าคู่สวยๆให้เธอฟรี และเธอก็ตอบแทนเขาด้วยการบริการพิเศษ ใช้ปากสวยๆ เป่าปี่ ให้ถึงอกถึงใจ แต่การรุกคืบทางเรือนร่างนอกเหนือจากนั้นไม่สำเร็จ เพราะแม่ดอกรักเร่ดำไม่ยอมเปิดทางไม่ว่าเป็นใครก็ตาม นอกจากมาร์ตินแล้ว ชายอื่น ๆ ที่มีความสัมพันธ์กับเธอมีเป็นร้อย เป้นต้นว่า เรย์ คาซาเรียน เซลสืแมน ฮาล แมกไกวร์ นักขายโฆษณาทางวิทยุ นายทหารนอกราชการ เอ็ดวิน เบิร์นส์ แต่ละคนไม่มีใครเลยที่ได้แอ้มกินไข่แดงแม่ดอกรักเร่ดำเลย ทุกคนสัมผัสได้แค่สมรรถภาพของปากและมือของเธอเท่านั้น เธออยู่กับมาร์จอรี่ไม่ได้นานนัก เบธก็ย้ายสถานที่เปลี่ยนที่นอนไปเลย ๆ หลาย ๆ ที่ ทุกคนที่เธอไปนอนด้วยบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า เบธมักจะตื่นขึ้นตอนกลางดึก แล้วไอโขลก ๆ ยันรุ่ง แถมเบธชอบยืมเงินไปซื้อเครื่องสำอาง ยืมไปแล้วก็ลืมหน้าตาเฉย ในที่สุดจุดหมายครั้งสุดท้ายของเบธ คือลอสแอนเจลิส โรเบิร์ต แมนลีย์ แฟนเก่าอีกคนของเธออาสาขับรถไปส่ง โดยไม่บ่นว่ามันไกลแสนไกลที่ไหน(เวลานั้นเบธอยู่ที่ซานดิเอโก) วันรุ่งขึ้น แมนลี่ย์ขับรถไปส่งเบธถึงลอสแอนเจลิสตามสัญญาณ เขาช่วยเธอแบกกระเป๋าเดินทางไปเก็บไว้ในตู้ฝากที่สถานีรถเกรย์ฮาวน์ จากนั้นก้ส่งเธอเข้าโรงแรมบิสท์มอร์ ซึ่งทราบกันในที่หลังว่า เธอไม่ได้จองห้องพักแม้แต่ห้องเดียว แต่มีพยานหลายคนเห็นเธอใช้โทรศัพท์ของโรงแรมหลายครั้งหลายหน โดยโทรจากบูธในล็อบบี้โรงแรมนี้แหละ แมนลี่ย์ไม่รู้เรื่องนี้ เพราะเขาส่งเธอเสร็จแล้ว ก็กลับ พยานเล่าว่าหลังจากที่เธอโทรศัพท์จนหูไหม้แล้ว เบธก็เตร่ไปเตร่มาแถว ล็อบบี้นานเป็นชั่วโมงๆ หลายคนจำเธอได้ ก็เธอแต่งชุดไม่เหมือนใครด้วยสิ พยานคนสุดท้ายที่เห็นเธอมีชีวิตเป็นคนสุดท้ายคือ พนักงานเฝ้าประตู เขาบอกว่าเห็นเธอออกไปตอนสี่ทุ่ม เดินหายไปในความมืดรัตติการแห่งนครลอสแอนเจลิส....ไปสู่การมรณกรรมอันแสนสยดสยองสุดขีด! ที่กล่าวไว้ในตอนที่ 1 ความหลงไหล คดีนี้เป็นคดีในอดีตที่ดังมากในอเมริกาเทียบเท่าคดีซีอุยในประเทศไทย แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ของอังกฤษ มีหนังสือที่เกี่ยวกับคดีนี้ที่พิมพ์ออกมาถึง 3 เล่ม และเป็นชื่อของวงดนตรีแนวร็อกสยองวงหนึ่งชื่อ เดอะ แบล็ก ดาเนีย ส่วนเขาร้องอย่างไรอันนั้นผู้เขียนก็ไม่เคยฟังเหมือนกัน ทันทีที่สำนักข่าวหนังสือพิมพ์รู้ข่าวว่าคนตายชื่อ อลิซเบธหรือเบธ ทั้งๆ ที่ข่าวนี้ยังไม่ได้เผยแพร่ไปสู่สาธารณชน น่ะหนังสือพิมพ์ทุกสำนักเร่งขุดคุยประวัติเธอเลยล่ะ ทั้งปลอมตัวเป็นตำรวจไปสืบเบาะแสในบาร์ ไปหาแม่เธอในขณะที่แม่เธอยังไม่รู้ว่าลูกสาวเธอตายเลยล่ะ และมีข่าวลื่อต่างๆ นาๆ ของเบธก็มาเป็นระลอกคลืน และสมญานาม แบล็ค ดาห์เลียก็กลายเป็นเสน่ห์เย้ายวนในการพาดหัวข่าวให้กับคดีนี้อย่างมีสีสันอย่างเหลือเชื่อ! ห่อของสยองขวัญ 26 มกราคม จู่ๆ สำนักพิมพ์ ลอสแอนเจลีสเอ็กซ์แซมิเมอร์ที่ลงข่าวคดีนี้อย่างเจาะลึกและต่อเนื่อง ได้รับห่อพัสดุปริศนาห่อหนึ่ส่งมาที่นั้น มันเป็นกล่องสีน้ำตาล เหม็นกลิ่นน้ำมันหึ่ง และมีนีตสั้นๆ ที่ไม่ได้เขียนด้วยลายมือและพิมพ์ดีด แต่ใช้ตัดคำมาจากหนังสือพิมพ์แล้วมาแปะใจความว่า "นี้คือสมบัติส่วนตัวของ ดาห์เลีย และเอกสารที่เป็นเบาะแส" ทางโรงพิมพ์ต้องรอให้ตำรวจไปเปิดห่อปริศนานี้เองเพราะมันเป็นหลักฐานสำคัญของคดีนี้ ขืนไปยุ่งกลับมันจะเสียหาย และทำลายหลักฐานเปล่า ๆ แน่ล่ะ! ทุกคนชะเง้อชะแง้ด้วยความตื่นเต้น อยากรู้อยากเห็น และแล้วตำรวจตำรวจก็เปิดห่อเหม็นน้ำมันนั้น หยิบสิ่งของออกมาที่ละอย่าง ๆ ภายในกล่องมีหลักฐานส่วนตัวของเบธจริง ๆ รวมทั้งบัตรประกันสังคม สูติบัตร และตั๋วที่เธอไปแสดงเพื่อรับกระเป๋าที่ฝากไว้ที่สถานีรถเกรย์ฮาวน์ในลอสแอนเจลีสนั้นด้วย นอกจากนี้ ตำรวจได้หยิบเอาไดอารี่เล่มหนึ่งขึ้นมา มันเป็นไดอารี่ของปี ค.ศ. 1937 และเขียนชื่อไว้ว่า มาร์ค เอ็น เฮนเซ่น บนหน้าปก แต่ปรากฏว่า เบธ เอามาใช้เป็นสมุดจดเบอร์โทรศัพท์และที่อยู่ของเหล่าผู้ชายหนุ่มที่เคยออกเดตด้วยล้วนๆ ยาวเป็นหางว่าวเชียวล่ะ รายชื่อพวกนี้ สิ่งที่น่าสังเกตคือ ทุกอย่างที่อยู่ในห่อนี้ ส่วนใหญ่ถูกเช็ดด้วยน้ำมันเบนซิน เพื่อให้ลบรอยนิ้วมือของตัวเองออกไม่ให้อยู่เป็นหลักฐานให้ตำรวจตามเจอตัวเขาได้ภายหลัง เชื่อเลย ชายที่ส่งสมบัติที่เบธนำติดตัวไปขณะเดินออกจากโรงแรมบิลท์มอร์ ในค่ำคืนแห่งซะตากรรมของเธอไปที่สำนักพิมพ์ ไม่ใช้ใครอื่นไปได้เลย นอกจากคนที่ทำทารุณกรรม ทรมาน และสังหารเธออย่างโหดเกรียม! อย่างไรก็ตาม แม้ผู้ส่งจะพยายามเอาเบนซิลล้างเช็ดลายนื้วมือออกไม่เหลือเหรอ แต่เมื่อข่าวนี้ปรากฏหน้าหนังสือพิมพ์ ดันบอกว่า มีรอยนิ้วมือที่เห็นอย่างชัดเจนสมบูรณ์แบบ อย่างน้อย 12 แห่ง อย่างน้อยถึง 12 รอย อยู่บนห่อพัสดุนั้น...เอาล่ะสิ! แต่ที่จริงแล้ว หนังสือพิมพ์เขียนเวอร์เกินไป รอยนิ้วมือที่ไหนล่ะ มันเป็นแค่รอยเลอะๆ ที่มองไม่ออก เอฟบีไอหรือเอฟบีเอ็ม โอ อา ที่ไหนก็ตรวจไม่ได้หรอกจะบอกให้ จึงเป็นว่าห่อของนี้เหลวไม่ได้เรื่องได้ราวคืบหน้าเยิบใกล้ตัวฆาตกรเลยสักนิด ความเชื่อมโยงกับคดีฆาตกรรมจีออเกตเต้ กรมตำรวจแห่งนครลอสแอนเจลีส ออกมาแถลงข่าวว่าคดีแบล็ค ดาห์เลีย นี้อาจเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องโดยเชื่อมโยงกับคดีฆาตกรรมจีออเกตเต้ เมื่อ 2 ปีก่อนก็ได้ เมื่อสำรวจตรวจสอบว่าใครหนอ?ที่เกี่ยวพันสองสาวผู้ตายจนน่าสงสัย ผลจากการสืบก็พบว่า มีดาราหนุ่มคนหนึ่ง อาร์เธอร์ เลค น่าสงสัยมากที่สุด พยานหลายคนบอกตรงกันว่า ในช่วงปี 1944 ที่เบธและจีออเกตเต้ทำงานอยู่ที่นี้ ทั้งคู่สนิทสนมกับอาร์เธอร์มาก มาทีไรก็คุยกันขลุกกันตลอด เป็นธรรมดาที่ตำรวจต้องเชิญอาร์เธอร์มาสอบถามตามระเบียบ พระเอกอาร์เธอร์คนนี้ไม่น่ารักเท่าไรเลย เขาคงกลัวหรือมีนิสัยกร่างหรือกินอะไรมาก็ไม่รู้ พอเขามาถึงเบ่งกับตำรวจเลยว่า รู้ไหมอั๊วลูกใคร รู้จักพวกเฮิร์สต์ไหม ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในวงการหนังสือพิมพ์อเมริกันน่ะจะบอกให้ อั๊วน่ะเกี่ยวข้องกับมาเรีย เดวี่ส์ เธอเป็นเมียน้อยของ วิลเลี่ยม แรมดอล์ฟ เฮิร์สต์ และมาเรียนก็เป็นน้าเมียของอาเธอร์เอง! งง ไหมล่ะ ไปลำดับญาติเอาเองล่ะกัน อีกอย่างน่ะจำได้ไหมเอ่ย เจ้าพ่อวงการหนังสือพิมพ์คนนี้เคยใช้อิทธิพลหยุดความอื้อฉาวของคดีฆาตกรรมจีออเกตเต้มาแล้ว เพราะเธอเป็นลูกสาวของลูกน้องเขา และบิดาของจีออเกตเต้ก็ทุกข์ใจมากในความตายที่น่าอับอายของเธอ นี้ถ้าตำรวจมาฝอยคดีนี้อีก มีหวังคุณเฮิร์ต์ไม่พอใจแน่ๆ อย่างไรก็ตามต่อคำถามที่ว่า เขาชอบพอกับสองสาวที่กลายเป็นเหยื่อฆาตกรรมต่างวาระมากน้อยขนาดไหน? อาร์เธอร์ เลค ตอบคำถามนี้โดยดีว่า รู้จักและคุยกันถูกคอ แต่ก็แค่นี้แหละ ไม่มีอะไรกันในกอไผ่ ตอนนั้นเขาจำพวกเธอแทบไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ขอรับรองว่า เขาไม่ใช่คนฆ่าพวกเธอ การสอบถามอาร์เธอร์ และพยานบุคคลอื่นๆ เพื่อเชื่อมโยงเข้ากับคดีจีออเกตเต้ มีอันต้องหยุดชะงักลง อาจเป็นเพราะอิทธิพลของเฮิร์สต์จริงๆ ก็เป็นได้ น่าเสียดายที่ตำรวจไม่อาจเจาะลึกเพราะคดีทั้งสองคดีมีส่วนคล้ายคลึงจนน่าขนลุกมากที่เดียว เช่น ศพทั้งสองถูกยัดด้วยด้วยวัตถุแปลกปลอม ในคอของจีออเกตเต้มีเศษผ้าเช็ดตัวถูกกระทุ้งเข้าไปลึกจนถึงในหลอมลม หลอดอาหาร ยับเยินหมด ส่วนในทวารของเบธ ก็มีแต่เศษหญ้าเศษหนังของเธอเอง ประการต่อมา มันเป็นการฆ่าที่เกี่ยวกับน้ำทั้งคู่! จีออเกตเต้ถูกสังหารโหดในอ่างน้ำ ศพจมน้ำผสมเลือดแดงฉาด ส่วนเบธนั้นไม่รู้ว่ามันฆ่าเธอที่ไหนกันแน่ แต่ฆาตกรก็สระผม อาบน้ำเธออย่าสะอาดเอี่ยม ล่างเลือดออกจนไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว เชื่อกันว่า เป็นไปได้สูงเลยที่สองคดีนี้มีบางสิ่งบางอย่างเชื่อมโยงกัน แต่ตำรวจเจอทางตันเสียก่อน


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

เครดิต Cammy

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์