เด็กคลอดก่อนกำหนด เสี่ยง จอตาผิดปกติ


เด็กคลอดก่อนกำหนด เสี่ยง จอตาผิดปกติ

วันที่ 19 กุมภาพันธ์ ศ.คลินิก นพ.โชคชัย เมธีไตรรัตน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช ในฐานะรองประธานคณะกรรมการอำนวยการโครงการเครือข่ายสุขภาพมารดาและทารกในพระ อุปถัมภ์พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ เปิดเผยว่า ปัจจุบันพบว่า ทารกเกิดก่อนกำหนดที่มีปัญหาจอประสาทตาเจริญผิดปกติมากขึ้น แต่พ่อแม่ไม่ทราบ ทำให้รักษาไม่ทันการณ์ อาจตาบอดได้

ล่าสุด เครือข่ายได้ร่วมกับโรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น พัฒนาระบบการรักษาเด็กกลุ่มนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาพบตัวเลขผู้ป่วยสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยในปี 2554 พบทารกคลอดก่อนกำหนด 116 ราย มีปัญหาจอตาเจริญผิดปกติ 37 ราย และต้องได้รับการรักษาทันที 28 ราย ส่วนในปี 2555 พบทารกคลอดก่อนกำหนด 150 ราย มีปัญหาจอตาเจริญผิดปกติ 68 ราย และต้องได้รับการรักษาทันที 40 ราย เนื่องจากหากไม่ได้รับการรักษาทันทีก็จะส่งผลให้ทารกตาบอด

รศ.นพ.ธราธิป โคละทัต ประธานเครือข่ายสุขภาพมารดาและทารกในพระอุปถัมภ์ฯ กล่าวว่า การที่ทารกคลอดก่อนกำหนดส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เนื่องจากอวัยวะส่วนต่างๆ ยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์ จึงเสี่ยงต่อความพิการหากไม่ได้รับการตรวจรักษาที่ถูกต้อง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือโรคจอประสาทตาเจริญผิดปกติ ซึ่งโรคนี้สามารถหายได้หากได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที แต่ปัจจุบัน มีแพทย์ที่เชี่ยวชาญเรื่องจอประสาทตาของทารกแรกเกิดไม่มากนัก และส่วนใหญ่จะอยู่ตามโรงพยาบาลในตัวเมือง ส่งผลให้บิดามารดาไม่สามารถนำบุตรมารักษาได้ตามกำหนดที่แพทย์นัด ทางเครือข่ายจึงมีวิธีการบูรณาการทำงานโดยจะใช้ Mobile Unit หรือรถตรวจเคลื่อนที่ออกไปตรวจรักษาและส่งภาพถ่ายจอตามาให้จักษุแพทย์ผู้ เชี่ยวชาญวินิจฉัย คนไข้ไม่ต้องเดินทางมารักษาที่ จ.ขอนแก่น ยังรวมไปถึงการแชร์อุปกรณ์ดูแลรักษาระหว่างโรงพยาบาลในเครือข่าย เช่น เครื่องยิงเลเซอร์ โดยรถเคลื่อนที่นี้จะเริ่มดำเนินการได้ในวันที่ 20 พฤษภาคมนี้

พญ.พรรณทิพา ว่องไว จักษุแพทย์ และอาจารย์ประจำภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า หากมีการตรวจพบความผิดปกติในทารกในระยะเริ่มแรก จะสามารถรักษาได้ทัน โดยระยะของโรคจะแบ่งเป็น 5 ระยะ คือ

ระยะที่ 1-2 เป็นระยะเฝ้าดูอาการ
ระยะที่ 3 เป็นระยะที่ต้องรักษาด้วยการยิงเลเซอร์
ระยะที่ 4 รักษาด้วยการผ่าตัด
ระยะที่ 5 เป็นระยะที่จะส่งผลให้เด็กตาบอดหรือหากรักษาได้ก็ไม่เป็นปกติ

ซึ่งโรคนี้หากตรวจพบในระยะ 3-4 ก็ต้องเร่งรักษาภายใน 48 ชั่วโมง เนื่องจากหากรักษาช้ากว่านี้ก็จะส่งผลให้เด็กตาบอด



เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์