เปรียบเทียบ Galaxy S4 กับ iPhone 5 : ไลฟ์สไตล์การใช้งาน

ในอดีตการเลือกใช้สมาร์ทโฟนของหลายคนอาจจะเน้นไปที่สเปคและรูปร่างหน้าตาของตัวเครื่องเพียงอย่างเดียว กล่าวคือ ต้องการสเปคที่แรงๆ มีซีพียูเยอะๆ เพื่อที่จะใช้งานหรือเล่นเกมได้อย่างต่อเนื่องไม่กระตุก แต่ปัจจุบันหลายคนได้มองสมาร์ทโฟนในบริบทที่เปลี่ยนไป จากที่คิดว่าเป็นเพียงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ธรรมดา กลับมองเป็น “สินค้าแฟชั่น” ที่สามารถตอบโจทย์ทั้งแง่ของการใช้งานและให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนได้อย่างลงตัว

ซึ่งบทความนี้จะเป็นภาคต่อจากตอนที่แล้ว ที่ผมได้หยิบยกที่สุดแห่งสมาร์ทโฟนในปัจจุบันทั้ง 2 รุ่นอย่าง iPhone 5 และ Galaxy S4 มาเปรียบเทียบกันในเรื่องของความสามารถทางด้านฮาร์ดแวร์เป็นหลัก แต่ในตอนนี้ผมจะขอมาเปรียบเทียบในแง่ของไลฟ์สไตล์การใช้งานของทั้งสองรุ่นกันบ้างครับ จะมีเรื่องอะไรบ้างนั้น เชิญชมกันได้เลยครับ

ระบบปฏิบัติการ และ Ecosystem

ในเรื่องแรกที่จะยกมาเปรียบเทียบนั้น เป็นเรื่องของตัวระบบปฏิบัติการครับ เพราะถือเป็นสิ่งพื้นฐานที่สุดที่ทำให้สมาร์ทโฟนทั้งสองมีความต่างกัน โดย iPhone 5 นั้นจะใช้ระบบปฏิบัติการ iOS ที่แอปเปิลได้พัฒนามาเพื่อนอุปกรณ์พกพาของตนโดยเฉพาะ (เป็นระบบปิด ไม่เปิดให้ใครใช้) ส่วน Galaxy S4 นั้น จะเป็นระบบปฏิบัติการ Android ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการโอเพ่นซอสของกูเกิลอีกที

ซึ่ง ณ ตอนนี้ถ้าวัดกันแค่ตัวระบบปฏิบัติการอย่างเดียว คงบอกไม่ได้ว่า iOS หรือ Android อะไรเหนือกว่ากัน แต่สิ่งที่จะทำให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน น่าจะเป็นเรื่องของ Ecosystem หรือสภาพแวดล้อมโดยรวมทั้งหมดของทั้งสองระบบปฏิบัติการนี้ ซึ่งในเรื่องนี้ถ้าตอบกันแบบตรงไปตรงมา ก็ต้องยกให้กับ iOS ของแอปเปิลเค้าหล่ะครับ ว่ามีการวางแผนและปูทางต่อยอดระบบ Ecosystem ของตนมาอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นคอนเทนต์ต่างๆ ทั้งเพลง ภาพยนตร์ และหนังสือ

ดูตัวอย่างง่ายๆ อย่างเรื่องการซื้อเพลง MP3 ในประเทศไทย ที่คนไทยสามารถซื้อและดาวน์โหลดเพลงไทยจาก iTunes ได้มาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ทางฝั่ง Google Play Music กลับยังไม่มีถ้าทีว่าจะรองรับประเทศไทยหรือเห็นเพลงไทยวางขายในเร็วๆ นี้ …ไหนจะเรื่อง App Store ของทางฝั่ง iOS ที่มีทั้งเกมและแอพมากมาย ซึ่งหลายคนยอมรับว่าแอพต่างๆ บน App Store ของ iOS นั้นมีคุณภาพมากกว่าใน Google Play ของกูเกิล แม้ว่าในช่วงหลังๆ มานี้กูเกิลพยายามปรับภาพลักษณ์ของ Google Play Store ให้ดีขึ้นมาบางเหมือนกัน (แต่ก็ยังห่างชั้นกับ iOS พอสมควร)

ในจุดนี้เองทางซัมซุงก็เหมือนจะยอมรับไปกลายๆ ว่าระบบ Ecosystem ของ Android (Google Play) ยังไม่ดีเท่าที่ควร จึงได้มีการทำ Samsung HUB หรือบริการคอนเทนต์แบบครบวงจนทั้งเพลง หนัง เกม และหนังสือมาควบคู่กับ Google Play ของ Android เอาไว้เป็นตัวเลือกให้กับคนใช้สมาร์ทโฟนของตน

Display : รูปแบบการใช้งานพื้นที่หน้าจอ

พูดถึงเรื่องการใช้งานบนหน้าจอแล้ว Galaxy S4 เหมือนจะได้เปรียบอยู่นิดๆ เพราะนอกจากการที่มีขนาดหน้าจอที่ใหญ่กว่าแล้ว ยังมีฟีเจอร์ที่เรียกว่า Multi window หรือสามารถทำเปิดแอพต่างๆ ได้พร้อมกันถึง 2 แอพ เช่น สามารถตอบอีเมลควบคู่ไปกับการเปิดเว็บไซต์ หรือดู Youtube พร้อมกับเล่น Facebook ไปด้วย เป็นต้น ซึ่งมามองของในฝั่ง iPhone 5 แล้วยังไม่สามารถทำแบบนี้ได้ครับ เพราะทางแอปเปิลได้เน้นเรื่องการจัดการหน่วยความจำและหลังงานภายในเครื่องให้มีประสิทธิภาพสูงสุดอยู่ตลอดเวลา ซึ่งก็แน่นอนครับการใช้ฟีเจอร์ดังกล่าวบน Galaxy S4 ก็ต้องแลกมาด้วยพลังงานของแบตเตอร์รี่ที่จำนวนมากนั่นเอง

Camera : ฟีเจอร์แอพพลิเคชั่นการถ่ายภาพ

เรื่องกล้องถ่ายภาพนี้ ในตอนที่แล้วผมได้กล่าวถึงเรื่องคุณภาพของเลนส์และเซนเซอร์การประมวลผล แต่ในตอนนี้จะเป็นในเรื่องของฟีเจอร์และแอพพลิเคชั่นสำหรับการถ่ายภาพของทั้งใน Galaxy S4 และ iPhone 5 ครับ โดยในฝั่งของ S4 นั้น เรียกว่าอัดฟีเจอร์สำหรับกล้องมาให้เพียบเหมือนกันครับ เช่น Dual Shot การถ่ายภาพด้วยกล้องหน้าและกล้องหลังพร้อมกัน, Sound & Shot การถ่ายภาพนิ่งพร้อมอัดเสียง หรือ Drama Shot การถ่ายภาพหลายช่อตแล้วเอามารวมกันเป็นภาพเดียว เป็นต้น

แต่ทางฝั่ง iPhone 5 นั้นลูกเล่นสำหรับกล้องที่ติดมากับตัวเครื่อง ยังถือว่าไม่ค่อยมีอะไรเป็นพิเศษครับ มีเพียงโหมดสำหรับถ่ายแบบพานอรามาและ HDR ได้เท่านั้น แต่ใน iOS 7 ที่แอปเปิลได้เปิดตัวทดสอบ (Beta) ไปเมื่อเดือนที่แล้ว ก็ได้มีการเพิ่มฟีเจอร์สำหรับแต่งรูปภาพให้ iPhone บ้างแล้ว ก็ต้องคอยติดตามกันต่อไปครับว่าฟีเจอร์ดังกล่าวจะออกมาดีแค่ไหน

Google Now Vs. Siri : ระบบสั่งการด้วยเสียง

สำหรับฟีเจอร์ในการสั่งการด้วยเสียงของทั้ง 2 ค่ายนั้นเป็นศึกที่ฟาดฟันกันแบบไม่มีใครยอมใคร โดยมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป สาหรับ Siri มีจุดเด่นในเรื่องคำสั่งการใช้งานตัวเครื่อง ทาได้แม้แต่การสั่งเปิดแอพพลิเคชั่น แต่สาหรับ Google now มีจุดเด่นในเรื่องของระบบการค้นหาโดยเชื่อมต่อตรงเข้ากับเจ้าพ่อค้นหา Google นั่นเอง ซึ่งดูเหมือนจะเหนือกว่า Siri ของ iPhone อยู่เล็กน้อย

นอกจาก Google Now ที่ติดมากับตัวระบบปฏิบัติการ Android แล้วใน Galaxy S4 ยังมีฟีเจอร์ที่เรียกว่า S Voice ซึ่งเป็นฟีเจอร์แบบเดียวกับ Siri ที่ทางซัมซุงได้พัฒนาขึ้นมาเองอีกด้วย ซึ่งมีจุดเด่นที่สามารถสั่งให้ใช้นำทางในการขับรถได้ด้วย

Entertainment : การตอบสนองด้านความบันเทิง

พูดถึงเรื่องความบันเทิงของทั้ง 2 สมาร์ทโฟนนี้ ก็จะคล้ายๆ กับเรื่อง Ecosystem ที่ผมได้กล่าวไปในตอนแรกครับ ว่าทางฝั่ง iOS ค่อนข้างจะแข็งแกร่งมาก ไม่ว่าจะเป็น เพลงหรือภาพยนตร์ ที่สามารถกดซื้อได้ง่ายๆ ผ่าน iTunes Store

แต่ถึงกระนั้นทางซัมซุงก็ยังพยายามอัดฟีเจอร์ด้านความบันเทิงนอกเหนือจากที่มีใน Google Play มาให้ผู้ใช้ของตน ด้วยแอพที่ชื่อว่า Samsung Showtime ซึ่งแอพนี้ถูกปรับแต่งให้เข้ากับคอนเทนต์ของแต่ละประเทศ เช่นในประเทศไทย สามารถใช้ดูรายการทีวีหรือถ่ายทอดสดจากช่องต่างๆ ในของไทยได้ รวมไปถึงภาพยนตร์ชื่อดังอีกหลายเรื่อง

สรุป

ปัจจุบันการแข่งขันของสมาร์ทโฟนได้เลยจุดที่แข่งขันในเรื่องของสเปคในตัวเครื่องมาอยู่ในเรื่องของ Ecosystem หรือสภาพแวดล้อมโดยรวมของระบบกันมากขึ้น การเลือกใช้สมาร์ทโฟนให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนจึงนับเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างมาก … iPhone 5 มีจุดแข็งในเรื่องของระบบคอนเทนต์ของแอปเปิล ส่วน Galaxy S4 ที่มี Google Play ให้บริการคอนเทนต์ต่างๆ อยู่แล้ว ก็ยังได้รับการเสริมทัพคอนเทนต์จากซัมซุงให้มีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอีกด้วย


เปรียบเทียบ Galaxy S4 กับ iPhone 5 : ไลฟ์สไตล์การใช้งาน

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์