เปลี่ยนได้ด้วยไมตรี

เปลี่ยนได้ด้วยไมตรี


ครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้

คนผิวดำในสหรัฐอเมริกาไม่สามารถกินอาหาร ใช้ห้องน้ำหรือเรียนร่วมกับคนผิวขาวได้ แต่ต่อมาการแบ่งผิวได้กลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แม้กระนั้นความรังเกียจเหยียดผิวก็ยังคงดำรงอยู่

คอเร็ตตา เป็นนักศึกษาผิวดำคนแรกและคนเดียว ของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งทางภาคใต้ของสหรัฐ

 เธอถูกกำหนดให้นั่งหน้าห้อง จึงกลายเป็นเป้านิ่งสำหรับคนขาวที่รังเกียจเธอ ผลไม้เช่นมะเขือเทศขว้างมาถูกเธอเป็นประจำจนโดนเต็มหน้าก็มี ที่ร้ายกว่านั้นบางครั้งผลไม้ที่โยนมายังมีเหล็กยัดไว้ข้างใน ทำให้เธอเจ็บปวดมาก เวลานักเรียนทั้งชั้นหัวเราะ ขณะที่เธอเช็คคราบผลไม้ตามใบหน้า เธออยากจะคลานออกจากห้องแล้วไม่กลับมาอีก แต่เธอก็กลับมา

เธอตั้งใจมั่นที่จะไม่ยอมแพ้แม้จะถูกกระทำเพียงใดก็ตาม

ขณะเดียวกันก็พยายามควบคุมอารมณ์ไว้ตามที่ได้รับการฝึกฝนมา แต่เธอก็เกรงว่าการอยู่นิ่งๆ จะทำให้วัยรุ่นคนขาวคิดว่า เธอไม่มีอารมณ์ความรู้สึกเหมือนพวกเขา หรือคิดไปว่าเธอกลัวคนเหล่านั้น
 

แล้ววันหนึ่งเธอก็โดนผลไม้ขว้างใส่อีก
 
คราวนี้เธอไม่ยอมนิ่งเฉยแล้ว เธอก้มลงเก็บผลไม้ที่ตกอยู่บนพื้น เดินเข้าไปหาคนที่ขว้างเธอแล้ววางมันต่อหน้าเขา ด้วยท่าทีที่มั่นคงหนักแน่น เธอยิ้มให้เขาแล้วพูดว่า “นี่ของคุณใช่ไหม ?” จากนั้นเธอก็กลับไปนั่งที่เดิม คราวนี้ทั้งชั้นมีเสียงโห่ฮาขึ้นมาทันที แต่มิใช่โห่เธอ หากโห่คนที่ขว้างเธอ ซึ่งรู้สึกเสียหน้าอย่างแรง
 
นับแต่วันนั้นก็ไม่มีใครขว้างอะไรใส่เธออีกต่อไป
 

คนทั่วไปเมื่อถูกรังแกอย่างในเรื่องข้างต้น มักจะนึกถึงทางออกเพียงสองทาง
คือยอมจำนน หรือไม่ก็ใช้ความรุนแรงตอบโต้ ถ้าไม่ด่ากลับไปก็หาของที่หนักกว่าเช่นก้อนหินขว้างกลับไป แต่ที่จริงยังมีทางเลือกที่สาม นั่นคือสันติวิธี
คอเร็ตตาเลือกใช้วิธีนี้และสามารถสยบผู้ที่รังแกเธอได้ในที่สุด
 

สันติวิธีนั้นมีพลัง

แต่ไม่ใช่พลังที่เกิดจากอาวุธหรือพลกำลังที่เหนือกว่า หากเป็นพลังทางใจ ความกล้าหาญและใจที่ให้อภัยนั้น มีพลังที่สามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจของอีกฝ่ายหนึ่งได้ให้ผู้ที่คิดประทุษร้ายเกิดความละอายใจหรืออับอายในการกระทำของตน หรืออย่างน้อยก็ขาดความชอบธรรมที่จะใช้ความรุนแรงต่อไป
 
คนเรามักมีข้ออ้างในการใช้ความรุนแรงกับผู้อื่น

เช่น เห็นว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นคนเลว เป็นมนุษย์ชั้นต่ำ หรือมีความเป็นมนุษย์น้อยกว่าตัว แต่เมื่ออีกฝ่ายแสดงออกซึ่งคุณธรรมที่เหนือกว่า สถานการณ์ก็พลิกกลับ
นอกจากข้ออ้างหรือความชอบธรรมในการทำร้ายเขาจะหมดไปแล้ว การไปทำร้ายเขายังเท่ากับเป็นประจานตัวเองว่าเป็นคนเลวและต่ำทราม
 

สันติวิธีนั้นมีพลังที่สามารถชนะใจคู่กรณีได้

โดยเฉพาะเมื่อมีความปรารถนาดีและน้ำใจไมตรีเป็นพี้นฐาน ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะคุณธรรมดังกล่าว สามารถดึงเอาความดีในจิตใจของคู่กรณีออกมาจากส่วนลึก
ความดีดังกล่าวหากถูกดึงออกมาได้มากพอ ย่อมสามารถสยบความโกรธ หรือความชั่วร้ายในใจเขา จนไม่มีพลังพอที่จะแสดงความรุนแรงออกมาได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งสันติวิธีช่วยให้ความดีในจิตใจของคู่กรณี สามารถเอาชนะความชั่วในใจเขาได้
ยิ่งเราทำดีกับใครมากเท่าไร เราก็ช่วยเสริมสร้างพลังความดีในจิตใจของเขา
ให้เข้มแข็งมากขึ้น จนปิดโอกาสไม่ให้ความเลวร้ายครอบงำใจเขาได้ จากจุดนี้เองที่ความก้าวร้าวและความเป็นปฏิปักษ์ จะเปลี่ยนมาเป็นความเอื้อเฟื้อและความเป็นมิตร
 
ด้วยเหตุนี้การใช้สันติวิธีจึงไม่เพียงสามารถทำให้อีกฝ่ายยุติความรุนแรงได้เท่านั้น หากยังทำให้เขากลับมาเป็นมิตรกับผู้ใช้สันติวิธีได้ด้วย
 

ความก้าวร้าวรุนแรงนั้นแม้จะเป็นการใช้พลกำลังที่เหนือกว่า แต่มักออกมาจากจิตใจที่อ่อนแอ อ่อนแอทั้งในแง่ที่ไม่สามารถต้านทานอารมณ์ดำมืด หรือความเลวร้ายภายในจิตใจได้ เช่น ความโกรธเกลียด เคียดแค้น หรือความโลภ อีกด้านหนึ่งก็อ่อนแอเพราะถูกความทุกข์ทับถมกดดัน หรืออ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรก็ตาม ก็ล้วนเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจและควรให้ความช่วยเหลือ
  

คัดลอกมาจาก :
เปลี่ยนได้ด้วยไมตรี โดย พระไพศาล วิสาโล
หนังสือพิมพ์มติชน รายวัน วันที่ 25-01-49


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์