เรียงความของคนไม่มีแม่

เรียงความของคนไม่มีแม่


:: เรียงความของคนไม่มีแม่/Mother Day ::

เริ่มย่างเข้าเดือนสิงหาคมอีกครั้ง ในอาทิตย์นี้ไม่ว่าจะดูทีวี ที่บ้านฉันมักจะเสพข่าวเสียเป็นส่วนมาก ราวๆ 90 เปอร์เซ็นต์ ของกิจกรรมที่เป็นงานสบาย ๆ เรื่องละครเหมือนเป็นเรื่องที่ห่างไกลมากเลยสำหรับครอบครัวของเรา สิ่งเหล่านี้เป็นมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กตอนที่ยังต้องเรียนหนังสือกันเรียนหนังสือกัน

เมื่อเย็นวานนี้หลังจากที่ไปออกกำลังกายด้วยกันตามประสาแม่ลูก ระหว่างที่ขับรถเข้าไปซื้อผลไม้ในเมืองกลับบ้าน ฉันบอกกับแม่ ว่า “แม่ทุกครั้งที่ถึงวันแม่แล้วมีกิจกรรมที่รงเรียนบ้าง ฟังสื่อจากทีวีบ้าง รายการต่าง ๆ ที่พากันโฆษณา เอาบรรดาของแม่ที่มีลูกเป็นดารามาให้รางวัลแม่ดีเด่น ทำไมจึงไปคิดถึงคนที่ไม่มีแม่กไม่รู้นะ คนที่แม่ตาย เขาน่าสงสารมากนะ เมื่อถึงเดือนที่มีวันแม่ทีไร ต่างโหมกระหน่ำ โฆษณากันเต็มบ้านเต็มเมือง ขนาดนี้ “ แม่และน้าสาวที่เดินทางไปด้วย เอ่ยถึงยายที่เลี้ยงน้องมาตั้งแต่อายุ 15 เพราะแม่จากไป ให้ฟังต่อ ความทรงจำเก่า ๆ ของฉันเข้ามาอีกครั้ง เกี่ยวกับคนที่ไม่มีแม่ในวันแม่

เมื่อครั้งที่ยังเรียนมัธยมต้นสิ่งที่จำได้คือเมื่อถึงวันแม่ก่อนที่จะโรงเรียนจะปิดหนึ่งวัน ที่โรงเรียนจัดกิจกรรมจัดบอร์ดการแสดงของนักเรียนบนเวที ซึ่งเป็นที่โปรดปรานของฉันมากเพราะไม่มีการเรียนการสอนครึ่งวัน คราวนี้จะได้ตะลอนเดินเล่นแถวๆหอประชุมกับกลุ่มเพื่อนเพื่อชมการแสดงของเพื่อนๆร่วมโรงเรียน

ทุกครั้งที่ถึงย่างเข้าเดือนสิงหาคม สื่อของสิ่งอุปโภค บริโภค ต่างวางแผนเพื่อรณรงค์เพื่อขายสินค้ามากมายตั้งงบประมาณให้ยอดขายที่เพิ่มขึ้น ลองสังเกตดูไม่ว่าจะเป็นสื่อทีวี หนังสือพิมพ์ วิทยุ ต่างโหมกระหน่ำกระตุ้นการขายสินค้ากันเสียจนมากมาย ในอีกมุมหนึ่งจะมีใครบ้างที่คิดถึงคนที่ไม่มีแม่ในวันนี้ พวกเขาจะเศร้าและเหงามากเพียงไร

เมื่อเราเป็นคนที่ครบหน้าตาทั้งพ่อแม่ที่บ้านไม่ได้รู้สึกอะไร แต่คนที่ขาดแม่ไม่ว่าจะขาดจากกันด้วยการจากลาโลกนี้ไป หรือว่าเพราะการแยกกันอยู่ของพ่อแม่จะทรมานใจมากเพียงใด จะมีใครคิดบ้างไหม ทุกครั้งที่มีการจัดกิจกรรมวันแม่ฉันเห็นใจคนที่ไม่มีแม่ให้กอด ไม่รู้ว่าจะมีใครคิดอย่างนี้บ้าง
ครั้งหนึ่งที่หน้าเสาธงของโรงเรียน มีรุ่นพี่ขึ้นไปอ่านบทเรียงความที่ได้จากการประกวดแล้วได้รางวัลชนะเลิศ เธอผู้นั้นได้ขึ้นไปอ่านบทความเกี่ยวกับแม่หน้าเสาธงในวันนั้น เธอได้พยาบาลแม่ที่ป่วยหนักมานานด้วยสองมือของเธอเอง ละเป็นผู้อ่านบทความที่ร้อยเรียงทุกถ้อยอักษรด้วยมือทั้งสองข้างที่เคยพยาบาลแม่มาตลอดเวลาที่เจ็บป่วย จนกระทั่งสิ้นใจ ความเงียบระหว่างที่กำลังตั้งใจฟังบทความนั้น ได้ทำให้หัวใจของนักเรียนทั้งโรงเรียนนั้นฟังเธออย่างเงียบงัน ฉันเป็นหนึ่งในรุ่นน้องเพื่อน และครูบาอาจารย์เล่านั้นด้วย หลายคนเอามือป้ายน้ำตาที่ไม่อาจหักห้ามอารมณ์ร่วมที่เกิดขึ้นในใจของตนเองได้ รุ่นพี่ที่ขึ้นไปอ่านบทความนั้นเข้มแข็งมากเพราะสามารถอ่านบทความจากต้นจนจบ ไม่มีร่องรอยของอาการสะอื้นไห้ให้อรรถรสของบทความที่ถ่ายทอดออกมาเสียบรรยากาศในการฟังแม้แต่น้อย

ในชีวิตของฉันเองไม่คาดคิดว่าตนเองจะได้เป็นผู้อ่านบทความที่เศร้าโศกขนาดนั้นได้ แต่เมื่อมารู้ตัวอีกครั้งหนึ่งเมื่อได้ไปงานของป้าพี่สาวของบิดาตนเอง เมื่อหลายปีก่อน ป้าที่เป็นแม่ของเจ๊ที่อยู่ที่ อ.บึงสามพัน เพชรบูรณ์ ที่ฉันไปเที่ยวเขาค้อแวะเยี่ยมเยียน ต้นเดือนที่ผ่านมา เมื่อมีคนลงมติว่าฉันเป็นผู้ที่สมควรจะอ่านบทความนี้ในการทำพิธีกงเต๊ก แลรวมไปถึงการเคารพศพ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกะทันหันมาก ไม่มีการเตรียมตัวมาก่อน ในขณะนั้นคิดเพียงว่า เมื่อหลายคนไว้วางใจให้อ่าน โดยที่ไม่ต้องมีการรับรู้ล่วงหน้าแบบนี้ ฉันต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ให้สมกับที่ทุกคนให้ความไว้วางใจ
 
ไม่ใช่สิ่งที่ง่ายเลย ในการจะอ่านบทความ เกี่ยวกับผู้ตายที่เรามีความรักและผูกพันมากอย่างป้าที่จากไป จำได้ว่าเมื่อครั้งที่ยังเรียนหนังสือ หรือว่าทำงานที่บ้าน เมื่อมีเรื่องที่ไม่สบายใจฉันมักจะเขียนจดหมายไปเล่าให้ป้าฟัง เพราะป้าเป็นผู้หญิงที่อบอุ่น ทุกครั้งที่อยู่ด้วยฉันจะอุ่นใจ มีความเป็นแม่ที่ไม่จู้จี้ขี้บ่น มีความอดทนในการมีชีวิตที่ล้ำเลิศ ฉันใกล้ชิดกับครอบครัวนี้มาก แต่ในที่สุดฉันเป็นตัวแทนคนที่เป็นลูกอ่านบทความที่เกี่ยวกับป้าตัวเองได้จบ โดยสติที่มี และน้ำเสียงที่พอดีไม่ยืดเยื้อตามบทความที่มีคนเขียนให้แล้วยื่นใส่มือก่อนเวลาที่ต้องอ่านไม่กี่นาที เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่ออ่านจบไปแล้ว ญาติพี่น้องและแขกที่มาร่วมงาน ทุกคนที่รู้จักและคุ้นเคยกับป้า ต่างเอามือปาดน้ำตาจากขอบตาที่บวมช้ำ

เมื่อเสร็จงานหลายคนถามว่า ใครเขียนหรือทำไมบทความที่เขียนมาผู้ที่เป็นคนร่าง ช่างร่างบทความได้เหมือนกับที่ตาเห็นเชียว ป้าเป็นแม่ที่ไม่ได้อยู่กับลูกในวัยเด็กเพราะต้องส่งเข้าโรงเรียนประจำที่ต่างถิ่นมาตลอด นับว่าโชคดีที่ลูกๆเข้าใจว่าที่ต้องทำเช่นนั้นเพราะในจังหวัดไม่มีโรงเรียนใกล้บ้านที่พ่อแม่จะดูแลลูกได้ และต้องทำมาหากินเพื่อสูงให้ลูกเรียน เมื่อโตมาแล้วฉันเพิ่งรู้ว่าบางบ้านที่ส่งลูกไปเรียนประจำ กลับเป็นว่าลูกๆมาต่อว่าพ่อแม่ไม่สนใจตน ถึงกับทอดทิ้งให้ไปเรียนประจำในที่ไกล ๆ หากเข้าใจเช่นนั้นคงจะแย่แน่ ๆ ฉันเชื่อเสมอว่าเด็ก ๆ เป็นเมล็ดที่ดีของครอบครัวเสมอหากมีครอบครัวที่อบอุ่นให้กับพวกเขา

  ใกล้กันวันนี้ทุกนาทีมีค่า
 ไม่ควรรอเวลาให้เรียกหาก่อนลากัน
 หากใครยังมีแม่ใกล้เพียงแค่เอื้อมมื้อได้
 หอมแก้มให้ชื่นใจรักได้ให้เต็มแรง

 แม่บอกว่า..ไม่ว่าจะวันนี้หรือวันไหน ๆ ไม่ต้องร้อยดอกมะลิไม่ต้องมีมาลัย  ขอเพียงให้ตั้งใจทำงานด้วยความรับผิดชอบในหน้าที่ของตนให้เพียงพอไม่ทำร้ายตัวเองหรือว่าทำสิ่งใดให้พ่อแม่ต้องช้ำใจ หรือว่าเจ็บปวดเท่านั้น ..แม่ก็พอแล้ว แม่มักจะพูดแบบนี้เสมอ


ขอบคุณที่มา  ::  เขียนโดย คุณ KorP@I

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์