เรื่องของ พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก ลาสิกขา


หลวงพ่อชา (ถือไม้เท้า) กับพระอาจารย์ คเวสโก (ซ้ายสุด)หลวงพ่อชา (ถือไม้เท้า) กับพระอาจารย์ คเวสโก (ซ้ายสุด)

ผู้เขียนไม่เคยรู้จักคุณมิตซูโอะ ชิบาฮาชิ หรืออดีตพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก เป็นการส่วนตัวมาก่อน 

แต่ก็ได้ยินกิตติศัพท์ของท่านมานานพอสมควร ประกอบกับการที่ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อชาแห่งวัดหนองป่าพงผู้ล่วงลับไปแล้วด้วย ทำให้ผู้เขียนมีจิตที่เคารพนับถือท่านโดยไม่ได้กังขาอะไรกับวัตรปฏิบัติของท่านมาก่อนเลย เนื่องจากหลวงพ่อชาท่านมีปฏิปทา (แนวทางประพฤติปฏิบัติ) ที่โปร่งใสชัดแจ้ง และหลวงพ่อชาท่านสั่งสอนลูกศิษย์ของท่านด้วยการกระทำให้เห็นเป็นตัวอย่างเป็นปกติไม่ได้เสแสร้งอันใดทั้งสิ้น 

ที่ประทับใจผู้เขียนเป็นอย่างยิ่งคือหนังสือ "อุปลมณี" ซึ่งประวัติอย่างเป็นทางการของพระอาจารย์ชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ที่บันทึกว่าในช่วงที่หลวงพ่อชาอายุได้ 30 ปี เหตุเกิด เพราะแม่ม่ายสาวสวย แถมรวยทรัพย์คนหนึ่ง มาถวายอาหารหลวงพ่อชาทุกวัน ไม่นานนักหลวงพ่อชาก็รู้สึกว่าสีกาม่ายคนนี้อาจคิดรักชอบท่านเสียแล้ว 

ส่วนตัวท่านเองจิตใจก็ชักหวั่นไหว กระทั่งท่านคิดปรุงแต่งเรื่องของแม่ม่าย จนรู้สึกว่าจะไว้ใจตัวเองไม่ได้แล้ว ท่านก็เลยตัดสินใจเก็บบริขาร รีบจากวัดบ้านต้องในกลางดึกไปอยู่ที่วัดป่าเมธาวิเวกของอาจารย์กินรี จันทิโย

ขณะที่มีความเพียรปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด ในวาระหนึ่งกามราคะก็เข้ามารุมเร้าอย่างรุนแรงไม่ว่าจะเดินจงกรม นั่งสมาธิ หรืออยู่ในอิริยาบถใดก็ตาม ปรากฏว่ามีอวัยวะเพศของผู้หญิงลอยปรากฏเต็มไปหมด เกิดความรู้สึกรุนแรงจนแทบทำความเพียรไม่ได้ ต้องอดทนต่อสู้กับความรู้สึกและนิมิตเหล่านั้นอย่างลำบากยากเย็น เดินจงกรมก็ไม่ได้เพราะองค์กำเนิดถูกผ้าเข้าก็มีอาการไหวตัว จนต้องให้เขาทำที่จงกรมในป่าทึบเพื่อเดินเฉพาะในเวลาค่ำมืด และเวลาเดินต้องถลกสบงพันเอวไว้ การต่อสู้กับกามราคะเป็นไปอย่างทรหดอดทน ขับเคี่ยวกันอยู่นานถึง 10 วัน ความรู้สึกและนิมิตเหล่านั้นจึงสงบและขาดหายไป 

หลังจากที่หลวงพ่อชามาอยู่วัดหนองป่าพงและสยบกามราคะตัวนี้ได้อย่างราบคาบแล้ว ครั้งหนึ่งเมื่อหลวงพ่อมีโอกาสได้ไปโปรดญาติโยมที่วัดบ้านต้อง ระหว่างปรารภถึงความหลัง ท่านก็เล่าถึงการปฏิบัติของตัวเองในสมัยก่อนให้ชาวบ้านฟังอย่างขำๆ ว่า
"ยากหลายอย่าง แต่ที่ยากจริงๆ ก็เรื่องผู้หญิงนี่แหละ"

ครับ! ผู้เขียนมั่นใจว่าคุณมิตซูโอะ ชิบาฮาชิ มีความมั่นคงในพระพุทธศาสนาแน่นอน และนิยมชมชื่นท่านในแง่ที่ว่าเมื่อรู้ตัวว่าจะดำรงตนอยู่ในเพศสมณะไม่ได้แน่ ท่านก็สึกมาเป็นคนธรรมดา ไม่ทำให้พระพุทธศาสนามัวหมอง ในอดีตเรื่องพระผู้ใหญ่ที่มหาชนเคารพบูชา เช่น ท่านอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ สมัยที่ท่านยังเป็นพระภิกษุนั้น ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศไม่มีใครยุคนั้นเทียบได้ ตอนที่ท่านลาสิกขาเมื่ออายุ 35 ปีนั้น ท่านดำรงตำแหน่งสมณศักดิ์ที่ "พระศรีวิสุทธิญาณ" ปรากฏว่ามีพุทธศาสนิกชนจำนวนมากร้องไห้เพราะความเสียดาย แต่ว่าเมื่อท่านอาจารย์สุชีพดำเนินชีวิตเยี่ยงคนธรรมดา มีภรรยาและบุตรจนกระทั่งตายจากไปเมื่ออายุ 83 ปี เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ.2543 ท่านได้ทำงานสนองคุณพระพุทธศาสนานานัปการ อาทิ ฟื้นฟูกิจการมหาวิทยาลัยสงฆ์จนเจริญรุ่งเรืองมาในปัจจุบัน 

ผู้เขียนหวังว่าคุณมิตซูโอะ ชิบาฮาชิ ก็คงจะยังทำงานสนองคุณพระพุทธศาสนาต่อไปในฐานะบุคคลธรรมดา

ขอแถมเรื่องหลวงพ่อชากับรถยนต์สักหน่อยเถิดครับ เผื่อเกิดเป็นอุทาหรณ์และข้อคิดของชาวพุทธทั่วไปบ้างคือสำหรับหลวงพ่อชา สุภัทโทนั้น ท่านไม่ต้องขวนขวายหารถเพราะมีคนอยากถวายรถยนต์ให้ท่าน แต่แทนที่ท่านจะตอบรับ ท่านได้นำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมสงฆ์วัดหนองป่าพงหลังสวดปาฏิโมกข์เพื่อฟัง ความเห็นพระสงฆ์ทุกรูปเห็นพ้องต้องกันว่า ควรจะรับด้วยเหตุผลว่า สะดวกแก่หลวงพ่อเวลาไปเยี่ยมสำนักสาขาต่างๆ ซึ่งมีมากกว่า 40 สาขาในเวลานั้น อีกทั้งเวลาพระเณรอาพาธก็จะได้นำส่งหมอได้ทันท่วงที
หลังจากที่หลวงพ่อชารับฟังความคิดเห็นของที่ประชุมแล้ว ท่านก็แสดงทรรศนะของท่านว่า

 "สำหรับผม มีความเห็นไม่เหมือนกับพวกท่าน ผมเห็นว่าเราเป็นพระ เป็นสมณะ เป็นผู้สงบระงับ เราต้องเป็นผู้มักน้อย สันโดษ เวลาเช้าเราอุ้มบาตรออกไปเที่ยวบิณฑบาตรับอาหารจากชาวบ้านมาเลี้ยงชีวิต เพื่อยังอัตภาพนี้ให้เป็นไป ชาวบ้านส่วนมากเขาเป็นคนยากจน เรารับอาหารจากเขา เรามีรถยนต์แต่เขาไม่มี นี่ลองคิดดูซิว่ามันจะเป็นอย่างไร เราอยู่ในฐานะอย่างไร เราต้องรู้จักตัวเอง เราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าไม่มีรถ เราก็อย่ามีเลยดีกว่า 

ถ้ามี สักวันหนึ่งก็จะมีข่าวว่ารถวัดนั้นคว่ำที่นี่ รถวัดนี้ไปชนคนที่นี่.. อะไรวุ่นวาย เป็นภาระยุ่งยากในการรักษา เมื่อก่อนนี้จะไปไหนแต่ละทีมีแต่เดินไปทั้งนั้น ไปธุดงค์สมัยก่อนไม่ได้นั่งรถไปเหมือนทุกวันนี้ ถ้าไปธุดงค์ก็ไปธุดงค์กันจริงๆ ขึ้นเขาลงห้วยมีแต่เดินทั้งนั้น เดินกันจนเท้าพองทีเดียว

แต่ทุกวันนี้พระเณรเขาธุดงค์มีแต่นั่งรถกันทั้งนั้น เขาไปเที่ยว ดูบ้านนั้นเมืองนี้กัน ผมเรียกทะลุดง ไม่ใช่ธุดงค์ เพราะดงที่ไหนมีทะลุกันไปหมด นั่งรถทะลุมันเลย ไม่มีรถก็ช่างเหอะ ขอแต่ให้เราประพฤติปฏิบัติดีเข้าไว้ก็แล้วกัน เทวดาเห็นเข้าก็เลื่อมใสศรัทธาเองหรอก
ผมไม่รับรถยนต์ที่เขาจะเอามาถวายก็เพราะเหตุนี้ ยิ่งสบายเสียอีก ไม่ต้องเช็ดไม่ต้องล้างให้เหนื่อย ขอให้ท่านทั้งหลายจงจำไว้ อย่าเห็นแก่ความสะดวกสบายกันนักเลย"


เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์