เรื่องจริงจากเธอคนนี้!!! เมื่อฉันได้มาเป็นคนไข้จิตเวชเพราะ โรคซึมเศร้า


นี่เป็นเรื่องราวที่ถูกตั้งกระทู้ในเว็บพันทิปชื่อกระทู้ว่า เมื่อฉันได้มาเป็นคนไข้จิตเวชเพราะ 'โรคซึมเศร้า' ตั้งโดยคุณ สมาชิกหมายเลข 733815 เรื่องราวว่า..

ใครจะไปคิดว่าวันนึงจะต้องมาเขียนในเรื่องนี้
ตอนแรกก็พยายามปิดจากทุกคนแหละ
เพราะรู้สึกว่าในสังคมเรายังยอมรับเรื่องทางจิตเวชกันได้ยากอยู่
แต่พักหลังนี้ตัดสินใจที่จะเอ่ยปากและบอกคนรอบข้าง
เพราะอาการมันเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนเรากลัวตัวเอง
และการอัพเรื่องนี้ ค่อนข้างเปลือยชีวิตตัวเองระดับนึง
อาจจะเหมือนเอาตัวเองมาประจานและอาจโดนโจมตีจากความเห็นที่ต่าง มองได้หลายแง่หลายมุม
แต่มันสอนอะไรเราได้หลายอย่าง เลยตัดสินใจเขียนแชร์เรื่องนี้ค่ะ

----------------------------------

จะขออธิบายในเชิงวิชาการของสิ่งที่เราเผชิญกับมันก่อน
เพื่อความเข้าใจในการอ่าน หรือถ้าใครอ่านแล้วก็ยังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร
เราจะอธิบาย 3 ภาวะที่พบเจอได้มากในสังคมปัจจุบัน(ในแบบสั้นๆง่ายๆ) คือ
Major depressive disorder, Bipolar disorder และ adjustment disorder


โรคซึมเศร้า หรือ Major Depressive Disorder
คือการมีภาวะซึมเศร้าติดต่อกันยาวนาน
และมีระดับความรุนแรงในหลายระดับ คนที่เป็นจะมีความมั่นใจในตัวเองต่ำ ร้องไห้ง่าย
คิดแต่ในแง่ลบ หดหู่ และหมดความสนใจจากสิ่งที่เคยทำหรือเคยชอบ รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า
หมดหวังในทุกสิ่ง และมีความคิดฆ่าตัวตายหรือพยายามฆ่าตัวตาย
ลักษณะทางกายภาพที่แสดงออกมาคือจะกินมากเกินกว่าปกติ หรือไม่ก็น้อยกว่าปกติ
นอนไม่หลับ สมาธิสั้น ทำกิจวัตรประจำวันไม่ได้ และหลงลืมได้ง่ายกว่าปกติ

อาการพวกนี้เราว่าคนส่วนใหญ่รู้และสังเกตได้ง่าย
แต่สิ่งที่คนไม่ค่อยรู้คือ อาการซึมเศร้ามีส่วนเกี่ยวข้องจากสารในสมองชื่อ เซโรโทนิน
ซึ่งสารฮอร์โมนตัวนี้จะทำหน้าที่ควบคุมอารมณ์ ความโกรธ ความก้าวราว ความอยากอาหาร การนอนหลับ
การที่สารตัวนี้มีปริมาณลดลง(จากสิ่งที่มากระตุ้น มากระทบ) จะส่งผลโดยตรงต่อความคิด พฤติกรรมและอารมณ์
โรคซึมเศร้าจึงมักจะต้องใช้ยาช่วยปรับฮอร์โมนตัวนี้ร่วมด้วย
(จะไม่ใช้ยาก็ได้ ถ้าแกร่งพอ ซึ่งส่วนใหญ่คือไม่)

โรคอารมณ์สองขั้ว หรือ Bipolar disorder
คือภาวะที่มีอาการหลักๆสองด้านคือซึมเศร้า และแมเนีย สลับกัน
ซึมเศร้าคือเหมือนกับที่อธิบายไปข้างบน
แต่จะมีอาการแมเนียสลับมาเป็นระยะ คือมีอารมณ์ก้าวร้าว พูดจารุนแรง อารมณ์รุนแรง ปาข้าวของ
ไม่หลับไม่นอน ทำงานมากกว่าปกติ มีโครงการทำนู่นทำนี่เยอะแยะไปหมด และใช้จ่ายมากเกินปกติ
ซึ่งระยะสองระยะนี้จะเป็นสลับกัน ระยะเวลาไม่แน่นอนและไม่เท่ากัน และขึ้นอยู่กับแต่ละคน

ภาวะการปรับตัวผิดปกติ (adjustment disorder)
เป็นภาวะการปรับตัวต่อความเครียดที่ผิดปกติ อาการจะแสดงออกได้หลายแบบ
ซึมเศร้า สิ้นหวัง หงุดหงิด บ้าระห่ำ ฯลฯ โดยอาการจะเป็นอยู่ในช่วงสามเดือนแรก และอยู่ไม่นานเกินหกเดือน
ถ้าเกินกว่า 6 เดือนก็คือเรื้อรัง (Chronic)

ซึ่งโรคสามโรคนี้ อาการที่แสดงออกมามันออกมาทางพฤติกรรม ความคิด และอารมณ์
บวกกับมักจะมีอาการหลงๆลืมๆ(แบบง่ายมากๆ) และการตัดสินใจผิดเพี้ยน ตัดสินใจอะไรได้ยากกว่าที่เคยเป็น
มันเลยดูใกล้เคียงกับคำว่า 'นิสัย'
ทำให้คนส่วนใหญ่แยกไม่ออกระหว่างนิสัยกับอาการที่ป่วย
และแน่นอน การตัดสินตอนแรกทุกคนมักมองว่าเป็นนิสัย และเริ่มตีตัวห่าง
หาคนเข้าใจได้ยาก และกระทบทุกด้านของชีวิตไปหมด

ถ้าอยากเข้าใจโรคมากขึ้น โปรดหาอ่านเพิ่มเติมค่ะ
เราอธิบายเท่าที่เราศึกษา เจอเองและทำความเข้าใจมา
ซึ่งคนส่วนใหญ่รู้จักกันแต่อันแรก คือโรคซึมเศร้า
แต่ความเศร้าและเรื่องทางจิตใจมันมีแตกยิบย่อยไปมากกว่านั้นเยอะกว่าที่คิดมากๆๆๆ
ถ้าบุคลากรทางด้านการแพทย์มาอ่านแล้วพบว่ามันผิดเพี้ยนยังไงแจ้งได้ค่ะ
กำลังศึกษาและทำความเข้าใจมันให้มากขึ้นอยู่เหมือนกัน

หมอลงความเห็นตอนแรกว่าเรามีภาวะ Adjustment disorder.
แต่อาการมันยาวนานและรุนแรงขึ้น จนหมอเปลี่ยนวินิจฉัยเราเป็น โรคซึมเศร้าบวกวิตกกังวล หรือ Mixed Anxiety-Depressive Disorder.

---------------------------------------------------------------

เมื่อช่วงต้นปีเจอเรื่องที่กระทบจิตใจอย่างหนักมาเรื่องหนึ่ง
ความรู้สึกโดนหักหลัง หมดศรัทธาในคำพูด และความไว้ใจ มาเต็ม
แต่สิ่งที่เราแสดงออกไปตอนนั้นเวลาที่เศร้ามากๆหรือเวลารู้สึกว่าตัวเองสูญเสียสิ่งนึงไป
พฤติกรรมที่ออกมาคือเราเริ่มคุมอารมณ์และพฤติกรรมตัวเองไม่อยู่
จะทำอะไรที่อยากทำ ต้องได้เดี๋ยวนั้น ตอนนั้น ทำอะไรโง่ๆ
เรียกง่ายๆว่าสติแตกหรือช็อคไปเลย และพยายามให้ทุกอย่างกลับคืนมาและเป็นดังที่เราต้องการ
ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยเป็นขนาดนี้เลยสักครั้ง
โอเค ยอมรับว่าตัวเองใจร้อนและค่อนข้างเอาแต่ใจ
แม้จะเจอความผิดหวังในชีวิตมาบ้าง ก็เศร้า ระยะเวลาทำใจมากน้อยแตกต่างกันไป
แต่ก็ผ่านมันมาได้ตลอด แต่ครั้งนี้ไม่

ครั้งนี้ทุกอย่างมันกลับกลายเป็นเรื่องฝังใจลงไปลึก ทั้งคำพูดรุนแรงที่ด่าทอ
ทั้งการแคปประจานลงในโซเชียล การโดนประนามว่าเป็นตัวอันตราย
เรายอมรับว่าเราเริ่มระราน เริ่มทำอะไรที่แย่ๆ ตอนนั้นคุมตัวเองไม่ได้เลย
ทำลงไปแล้วแบบไม่รู้ตัว และมาเสียใจมากกกกกทีหลัง
โดนเพื่อนรุมด่าแบบไม่ยั้ง
ทุกอย่างบีบรัดเราให้เรากลายเป็นคนที่ผิด และทำร้ายตัวเอง

และเกิดคำถามว่า นี่คือสิ่งที่เราสมควรได้รับจริงๆหรอ
เราทำอะไรผิดมากจนต้องเจอโดนกระทำแบบนี้จริงๆหรอ

หลังจากที่โดนตัดขาดการติดต่อและการตีตัวออกห่างจากหลายๆคนไป
เราพยายามเอาตัวเองออกมา พยายามอยู่ในสังคมใหม่ๆ
คิดในแง่บวก แต่สิ่งที่มันฝังใจ คือกลายเป็นปม ที่คอยทำให้เราเจ็บปวดตลอดเวลา

และมันไม่ใช่ว่าทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไปอย่างราบรื่น
หลังจากนั้นไม่ถึงสองเดือน เราโดนหักหลังรอบที่สอง
โดนโกหกและหลอกลวง และโดนเอาไปพูดดูถูกแบบเสียๆหายๆ เหมือนโดนซ้ำเติมอีกรอบ

ทั้งสองเรื่องมันพลาดเพราะ ความไว้ใจ
และการให้ โดยที่เชื่อว่าเค้าจะเห็นค่าของมัน
ซึ่งโลกความจริงมันไม่ได้สวยงามอย่างที่เราคิด


ตอนแรกเราคิดว่าเราจะจัดการมันได้และผ่านไปได้
แต่มันไม่ใช่แบบนั้น ทุกอย่าง โดยเฉพาะพฤติกรรมและความคิด มันแย่ลงเรื่อยๆแบบฉุดไม่อยู่
เริ่มมีอาการของซึมเศร้า กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ร้องไห้ทุกคืน ภาพเก่าๆคอยหลอกหลอนตลอดเวลา
ความคิดดึงไปแต่ในแง่ลบ อยากนอนอย่างเดียว ไม่อยากทำอะไร ไม่อยากรับรู้อะไร
เพื่อนมองว่าเราทำตัวเองทั้งนั้น และเริ่มตีตัวออกห่าง
จากที่เคยเป็นคนมีเพื่อนเยอะ ก็เริ่มมองไปแทบไม่เจอใคร
บวกกับเราเจอ ความจริง ในเรื่องความสัมพันธ์ของสังคมในปัจจุบันมากขึ้นจากคนรอบข้าง
และคนที่เข้ามาหาเราก็ให้สิ่งดีๆทุกอย่างจนเราวางใจ(ในสภาวะที่อ่อนแอมากๆอยู่แล้ว)
แต่ก็ทิ้งไปเมื่อได้สิ่งที่ตัวเองพอใจ
การโกหก การหลอกลวง การเข้าไปเป็นมือที่สามและการมีคนที่สาม ความสัมพันธ์ถึงขั้นบนเตียง
ทุกอย่างมันดูเกิดขึ้นจนเป็นธรรมดาของชีวิตในปัจจุบัน

เราหมดศรัทธาในความรัก หมดศรัทธาในมนุษย์ หมดศรัทธาในทุกสิ่ง
ความรู้สึกหมดศรัทธาต่อโลกทั้งใบนี่มันแย่มาก
และเริ่มรู้สึกว่าโลกใบนี้มันไม่น่าอยู่ เพราะคนในสังคมเป็นแบบนี้
เราเริ่มไม่อยากอยู่ในโลกนี้เพื่อเจอสภาพสังคมแบบนี้
และปมที่มันเกิดขึ้น มันก็คอยหลอกหลอนให้เราเจ็บปวดแบบทรมานเกินกว่าที่คิด

และมันเริ่มเจ็บออกมาถึงร่างกาย ใจสั่นมือสั่น หายใจลำบาก (ดูไม่น่าเชื่อ แต่มันจริงค่ะ)
และเกิดอาการ คุมตัวเองไม่ได้ บ่อยขึ้น ความคิดอยากฆ่าตัวตายมันก็เข้ามา
มองทุกอย่างมืดมนไปหมด และคิดในแง่ลบตลอดเวลา
คำพูดจากคนรอบข้างไม่ช่วยอะไรเราเลย กลับทำให้แย่ลงด้วยซ้ำ
ทั้งโดนด่าให้สำนึก นั่นไม่มีผลอะไรกับเรานอกจากทำให้ยิ่งแย่ลง
การโดนซ้ำเติมและหลายต่อหลายคนด่าว่าเพราะเราทำร้ายตัวเอง ไม่รักตัวเอง ไม่นึกถึงครอบครัว
และเราไม่ค่อยเล่าปัญหาให้ที่บ้านฟังอยู่แล้ว
เพราะไม่เคยเจอเรื่องหนักหนาอะไร คือมักจะจัดการมันได้จนไม่ต้องปรึกษา

อารมณ์ ณ ตอนนั้นมีแต่จะดิ่งลง เรายิ่งโทษตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ
จนเราไม่เข้าใจว่าเกิดขึ้นได้ยังไงและเกิดอะไรขึ้นกับเรา
เหมือนระบบความคิดพัง ตัวเองคนเดิมหายไปหมด
เหมือนมีอีกคนที่ไม่ใช่ตัวเอง คนที่เราควบคุมเค้าไม่ได้
ทั้งคำพูดและพฤติกรรม ไม่สดใสอีกแล้ว

คนรอบข้างก็เริ่มทนเราไม่ไหว เพราะไม่รู้จะช่วยและจะทำยังไงกับเราแล้ว
บอกว่าเพราะเราทำตัวเอง ทำร้ายตัวเอง
และไม่มีใครเข้าใจคำว่า เราควบคุมความคิดและพฤติกรรมตัวเองไม่ได้
คนรอบตัวก็เริ่มหายไปเรื่อยๆ ตีตัวออกห่างไปเรื่อยๆจนเรารู้สึกเหมือนเราสูญเสีย โดดเดี่ยวและโดนทิ้ง
เพราะกลายไปเป็นว่าคนอื่นต้องมาแบกรับปัญหาของเราไปด้วย
พอเริ่มรู้สึกว่าสูญเสีย ทุกอย่างกลับยิ่งแย่เข้าไปอีก
จะกลับไปที่บ้านก็ไม่รู้จะอธิบายออกมายังไง กลัวที่บ้านห่วง เค้าห่วงแน่ๆ
เพื่อนที่อยู่ห้องเดียวกันก็ย้ายออกจากห้อง
ไม่มีใครรับสายเรา หรือตอบข้อความเรา
บอกสั้นๆแค่ว่า ให้เราจัดการปัญหาของตัวเองให้ได้ก่อนจะดีกว่า

ความรู้สึกตอนนั้นมันโคตรว่างเปล่าและเคว้ง
(อ่านถึงตรงนี้ ต้องเข้าใจว่าช่วงดีเพรสมันมีแต่ความคิดแง่ลบจริงๆ)


ทำงานก็เริ่มไม่มีสมาธิกับงาน หลงๆลืมๆอะไรง่ายๆ ภายในเวลาอันสั้น
และภาพเก่าๆ คำพูด คำด่า จากคนที่เราเคยรักเคยชอบ คนที่เราเคยเห็นว่าเค้าเป็นเพื่อน คนที่เราวางใจ

'ก็กูไม่ได้รัก ทำไมกูต้องรับผิดชอบ'

'จริงๆเราไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันขนาดนั้นนี่'
(อ้าว วันก่อนพูดว่าเรามีความสุขบนความทุกข์ของเพื่อนไม่ได้หรอก)

'เป็นกูแล้วยังไง'

'ความรู้สึกมันห้ามกันไม่ได้นี่ ยังห้ามตัวเองไม่ได้เลย'

'แกมันตัวอันตราย เป็นผู้หญิงอันตราย'

'ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเอา บรรยากาศไม่เห็นน่าเอาเลย'
... เริ่มก่อนทั้งนั้น และเป็น ครั้งแรก ของเราด้วย เศร้า

ฯลฯ

ทุกอย่างคอยตามหลอกหลอนเราในความคิดตลอดเวลา สลัดออกก็กลับมาอีก
กลายเป็นเรื่องยากที่จะไม่เก็บคำพูดพวกนั้นมาคิด มันฝังใจไปเลย
พยายามทำกิจกรรมอะไรเพื่อให้ไม่คิด ก็นึกถึงได้อีก
เราเคยติดทวิตเตอร์และมีสังคมในทวิตเตอร์
แต่พอโดนแคปคำด่าเสียๆหายๆไปประจานลงอีก
มันส่งผลกระทบจนเราต้องออกจากสังคมนั้นมาและปิดแอคเคาท์แบบถาวร
และเกิดความรู้สึก อยากนอนตลอดเวลา เพราะไม่อยากรับรู้อะไรหรือตื่นมาเจอความเจ็บปวดอีก
แต่ผลที่เกิดขึ้นตอนนั้นคือเรานอนไม่หลับ จากที่ไม่เคยกินยานอนหลับก็ไปสรรหามากินให้หลับ
แต่การนอนหลับแต่ละคืนมันเป็นความทรมาน เพราะฝันร้ายเรื่องเดิมๆเกือบทุกคืนที่นอน
สะดุ้งตื่นมาร้องไห้หลายรอบ กว่าจะถึงเช้า
เรียกว่าการใช้ชีวิตแต่ละวันผ่านไปอย่างยากลำบากมาก
มันดูยาวนานแบบไม่มีที่สิ้นสุด และหม่นไปหมด
ความคิดมีแต่แง่ลบ มีแต่คำถามว่าทำไมต้องทำกับเราขนาดนั้น
เราทำผิดอะไรนักหนา เราเลวขนาดนั้นเลยหรอ บวกกับการโทษตัวเองซ้ำๆตลอดเวลา
โลกมันหม่นไปหมดแบบหยุดไม่ได้
แทบจะจินตนาการถึงความสดใสและความสุขของตัวเองเมื่อก่อนไม่ออกเลย
มองไม่เห็นคนที่อยู่ข้างๆคอยให้กำลังใจ คอยด่าให้คิดได้(ซึ่งตอนนั้นคือเกินจุดที่จะรับคำด่าไปแล้ว)
รู้สึกสูญเสียตัวตนของตัวเองไปแบบไม่รู้จะไปตามกลับมาจากที่ไหน
ซึ่งเป็นความรู้สึกที่แย่มาก เพราะเรารักความเป็นตัวตนของเราคนนั้นมาก

การพยายามฆ่าตัวตายอย่างจริงจัง .. ครั้งที่ 1 ก็เกิดขึ้น



เรื่องจริงจากเธอคนนี้!!! เมื่อฉันได้มาเป็นคนไข้จิตเวชเพราะ โรคซึมเศร้า


.. เราขึ้นไปยืนบนดาดฟ้าตึก ความคิดตอนนั้นมันว่างเปล่า
ไม่มีการบอกลาใครทั้งนั้น

มีแต่ความว่างเปล่า พอถึงก้าวที่เหยียบขึ้นไป
หน้าของคนในครอบครัวก็ลอยขึ้นมาและเสียดายความฝันที่เราเคยมี
เราเลยหยุด
แต่ทุกอย่างมันไม่ได้ดีขึ้นหรอก คือหยุดแค่ไม่พยายามฆ่าตัวตาย
แต่ปัญหาต่างๆนานายังประดังเข้ามาไม่หยุดไม่หย่อน
ถ้ามองตอนนี้คือมันเป็นเรื่องเล็ก ล้มแผลติดเชื้อ กล้ามเนื้ออักเสบ เลือดกระเด็นเข้าตา
แต่ตอนนั้นคือมองว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องซวย พานอยไปหมด
(อาการของadjustment disorder)

เรียกได้ว่าชีวิต Out of control และเริ่มแน่ใจว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า
พอตัดสินใจไม่ฆ่าตัวตาย เลยพยายามหนีไปเรื่อยๆ
หนีไปทบทวนและตั้งสติกับตัวเองใหม่ หายตัวไปดื้อๆ

และเป็นครั้งแรกที่แม่โทรมาร้องไห้และขอให้อย่าทำอีก
แม่รับรู้เรื่องทุกอย่าง และไม่โกรธอะไรเราเลย ขอให้เราพยายามลืมและเริ่มต้นใหม่

เราเริ่มสู้กับตัวเอง เพราะไม่อยากได้ยินแม่ร้องไห้อีกและหาวิธีเยียวยาตัวเองให้ได้มากที่สุด
แต่บวกกับนิสัยเดิมที่ไม่ใช่คนใจแข็ง หรือเข้มแข็งมากพอ แถมดื้อ
เราแพ้ตัวเองอยู่บ่อยๆ และกลายเป็นทำร้ายตัวเองซ้ำๆทางความคิดและพฤติกรรม
และคิดว่าตัวเองเก่งพอจะดีขึ้นได้ โดยไม่ต้องไปหาหมอ

.. ซึ่งคิดผิด

เราไปเจอหนังสือ 'เรื่องเล่าจากยอดภูเขาน้ำแข็ง'
คนที่เขียนเล่มนี้สู้กับโรคซึมเศร้ามาเจ็ดปี และเขียนบรรยายได้ดีและชัดเจนมาก (ขอบคุณพี่หญิงมากๆนะคะ)
เลยได้คำตอบว่า ความคิดและพฤติกรรมที่มันควบคุมไม่ได้มันมีส่วนเกี่ยวกับสารในสมองที่มันไม่สมดุลด้วย
(ลองจินตนาการดูว่ามันรู้สึกแย่แค่ไหนกับการที่คุมตัวเองไม่ได้ เหมือนโดนผีสิงชัดๆ)
และการเป็นโรคซึมเศร้า มันต้องรีบรักษาก่อนจะสายเกินไป
ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันซับซ้อนมากขนาดนี้ จนได้มาเผชิญกับตัวเอง

เราไม่ได้อยากฆ่าตัวตาย
เราไม่ได้อยากให้ตัวเองตาย
แต่เราทนความเจ็บปวดที่มีอยู่ไม่ไหว
มันฝังใจและหลอกหลอนทำให้ชีวิตเราอยู่อย่างทรมาน
เราตัดสินใจไปหาหมอ ไปเองคนเดียว
และเลือกที่ไกลๆ (แถวนนทบุรี) เพราะไม่อยากเจอคนรู้จัก
การต้องมายอมรับว่าตัวเองป่วยทางจิตนี่มันค่อนข้างยากสำหรับเรามาก เราไม่อยากเป็นแบบนี้
วินาทีที่ก้าวเข้าไปที่รพ.นั้น ความรู้สึกแย่มันประดังเข้ามาอย่างบอกไม่ถูก
ว่าทำไมเราต้องมายืนอยู่ตรงนี้ด้วย
ไม่มีใครอยากมีช่วงชีวิตที่ต้องมีเหตุการณ์นี้ในสถานที่นี้

พนักงานที่รพ.มองเราอย่างแปลกใจ
โดนถามคำถามแรกว่า มาเยี่ยมผู้ป่วยชื่ออะไรคะ
กลับกลายเป็นคำตอบที่ว่า
มาทำทะเบียนผู้ป่วยใหม่ค่ะ

หมอที่รักษาเรา พยาบาล และนักจิตวิทยาที่นั่นดีกันมากจริงๆ
หมอไม่ได้บอกเราในครั้งแรกว่าเราเป็นอะไร
เราถามว่าเราเป็นโรคซึมเศร้ารึป่าว เราจะหายมั้ย
หมอตอบกลับมาว่า ถ้าเป็นหรือจะไม่หาย ผมจะบอกคุณเอง

เราเริ่มกินยาต้านเศร้ากับยาคลายกังวลมาตั้งแต่วันนั้น
และเข้าทำจิตบำบัดโดยนักจิตวิทยา ประมาณ 2 ชั่วโมงต่อครั้ง
ซึ่งเราค้นพบว่าการทำจิตบำบัดมันดีมาก และอยากแนะนำให้ทุกคนไปทำค่ะ
จิตบำบัดแต่ละครั้งเริ่มเจาะลงลึกกับชีวิตเราเรื่อยๆ
เหมือนแตกชีวิตตลอด 24 ปีที่ใช้มา มาดูว่าจุดไหนมันบกพร่อง
และทำให้เราต้องมาผิดหวังกับเรื่องในปัจจุบัน
เปลี่ยนระบบความคิดใหม่ (ซึ่งอันนี้ค่อนข้างยาก และต้องใช้ความพยายามสูงอยู่)
ถ้าเราคิดแบบนี้แล้วรู้สึกยังไง
แยกสมองกับความรู้สึกออกจากกัน แยกเหตุและผลและความรู้สึกออกจากกันโดยสิ้นเชิง

สารภาพว่า มึน และยาก
แต่มันดีมากจริงๆ

เราเทียวไปหาหมอและทำจิตบำบัดทุกอาทิตย์
และเริ่มทำงานหนักขึ้นเรื่อยๆ(เพื่อไม่ให้ความคิดพวกนั้นมาหลอกหลอน)
เลือกจะทิ้งสิ่งที่ควรและจำเป็นต้องทิ้ง
จัดแจงระบบชีวิตใหม่ทั้งหมด วางแผนสานต่อความฝันที่อยากทำ
เราเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ค่อนข้างเรียกได้ว่าดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
สุดท้ายคือหมอบอกว่าเราเป็นแค่ adjustment disorder และอยู่ในช่วงกำลังปรับตัว
แต่เรายังสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้อยู่
ยังทำงานได้อยู่และยังตัดสินถูกผิดได้ (แม้ว่ามันจะไม่100%)
และคนที่ทำงานไม่มีใครมองออกเลยว่าเราเป็นอะไร คือปกติมาก หัวเราะได้ ยิ้มได้
(แต่แอบไปร้องไห้ในห้องน้ำ) และอารมณ์ดิ่งๆทุกอย่างจะกลับมาทุกครั้งเวลาเราอยู่คนเดียว

... ขนาดนี้ยังเรียกว่าไม่ใช่โรคซึมเศร้าเลยอะ

การรักษาผ่านไปเรื่อยๆเราก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ
ยังมีเจ็บปวดบ้างเวลามีอะไรมาสะกิดปม (ก็เพราะมันเป็นปมไปแล้ว)
แต่สามารถคอนโทรลความเศร้าและตัวเองได้
แต่ความกลัวว่าจะกลับมาเป็นหนักอีกก็ยังมีอยู่
หมอเริ่มนัดห่างขึ้นเพราะเราดีขึ้น และไม่ต้องทำจิตบำบัดอีก
การไปวูฟที่ญี่ปุ่นยิ่งทำให้เราดีขึ้นมาก
ก็หลงคิดไปว่าตัวเองโอเคแล้ว ยอมรับได้แล้ว
ตอนกลับจากญี่ปุ่นก็ connect wifi ได้หลังจากหายไปเป็นอาทิตย์
แต่สิ่งแรกที่เจอคือ 'รูปภาพคนนั้น'
บวกกับงานดื้อก็มา คือดันพาตัวเองไปเจอ 'สิ่งกระตุ้น'
และของแถมก็คือ เราโดนหักหลังและผิดหวังอีกแล้ว
เลยกลับมาเป็นอีก รอบนี้มันเลวร้ายมากกว่าที่คิดมากๆ
(เอาจริง โรคนี้ยิ้มไว้ใจไม่ได้เลย)

ภายในเวลาวันสองวันที่อารมณ์ดิ่งลงเหวอีกความคิดมีแต่แง่ลบตลอดเวลา
(ถ้าคิดภาพไม่ออกให้ลองนึกถึง ภาพคนที่มีเมฆฝนตกพายุลงรุนแรงอยู่บนหัวตลอดเวลา)
บวกกับหมาที่อยู่ด้วยกันมา14ปีมาตายไปด้วย
ความเศร้ามันยิ่งรุนแรงแบบฉุดไม่อยู่เลย
เรื่องเก่าๆกลับมากระทบหมด ปมโดนขุดมาหมด
เซโรโทนินลดลงแบบฮวบบบบบ ภายในเวลาแค่สองวัน
เริ่มนอนไม่หลับอีก เริ่มไม่อยากไปทำงาน อยู่ได้สองวันโดยที่ไม่กินอะไรเลย และไม่หิวด้วย

ความคิดฆ่าตัวตายกลับมาอีก และจริงจังมากขึ้นอีก
ตอนนั้นเหมือนเป็นคนละคนไปอีกแล้ว ถามว่าสติมีมั้ย ก็เรียกว่ามีแหละ เพราะยังจำอะไรๆได้
อ่า .. ไม่รู้จะอธิบายยังไง มันไม่เหมือนตอนคนเรากินเหล้าแล้วเมา
มันเหมือนตัวเราเองนี่แหละ แต่โดนบางอย่างคอนโทรลอยู่ ไม่ใช่ตัวตนเราเองจริงๆ
(พูดแนวละครก็คือ เหมือนโดนผีสิง)
เพื่อนพูดยังไงก็ไม่ฟัง ไม่เข้าหัวอีกแล้ว นึกถึงพ่อแม่ นึกถึงคนที่รักเรา นึกถึงเพื่อนก็ไม่เกิดผล
ณ จุดตอนนั้นไม่มีอะไรฉุดเราอยู่เลย
เขียนข้อความบอกลาทุกคนไว้เรียบร้อย
จัดแจงทุกอย่างไว้หมด เข็มที่มีในห้องก็เอามาเจาะเส้นเลือดที่แขนตัวเองแบบไม่มีเหตุผล
ไม่รู้ทำไปทำไม แทงจนแขนเขียวพรุน
เลือดไหลกระจายเต็มพื้นห้อง
และกินเบียร์ พร้อมยานอนหลับไปร้อยกว่าเม็ด
.
.
.
... และนอน


เรื่องจริงจากเธอคนนี้!!! เมื่อฉันได้มาเป็นคนไข้จิตเวชเพราะ โรคซึมเศร้า


(ซึ่งถือว่าโชคดีมากกกกกกกกกกก)
เสียงโทรศัพท์ตามไปทำงานเพราะถึงเวลาทำงานแล้ว เลยบอกว่าป่วยและขอลาหยุดไป
ลุกขึ้นจากเตียงไม่ได้ พอพยายามยืนขึ้นคือล้มทรุดไปนอนราบอยู่ตรงนั้น
กล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรงไปหมด
สิ่งแรกที่ทำคือโทรหาเพื่อนให้พาไปรพ.
ระหว่างรอเพื่อน ฤทธิ์ยามันเริ่มจางลงจนพอเดินได้
เพื่อนมาถึง รู้สึกได้เลยว่าเพื่อนหงุดหงิดมาก
และบอกเราว่า จริงๆกูก็มีงานก็กูเหมือนกันนะ
ดีเพรสชั่นค่ะ โคตรแห่งความเซ้นซิทีฟ
น้อยใจมาก เรากลายเป็นภาระให้เพื่อนอีกแล้ว
เลยบอกว่าไม่เป็นไร ไปทำงานเถอะ แล้วเดินกลับห้อง
เลยรู้สึกแล้วว่าสูญเสียเพื่อนไปอีกคนอีกแล้ว เพราะตัดการติดต่อเราไปแล้ว
(แต่เราเข้าใจเพื่อนนะ อารมว่าทำไมทำแบบนี้อีกแล้ว และรีบมาหาแล้วยังดื้ออีก ทำให้เสียเวลา)
กลับมาก็ดีเพรสขึ้นมาอีก เพราะคนนี้เราให้ความสำคัญมาก เสียใจมาก
ออกไปซื้อยาแก้แพ้(เพราะยานอนหลับมันซื้อเองไม่ได้ไง)
แล้วอัดเข้าไปอีกเป็นร้อย
..
.
.
แล้วก็ตื่นอีก -"-
แต่ตื่นมาครั้งนี้ตัวเราคนเดิมกลับมา
พร้อมกับความงงที่ว่า กูทำอะไรลงไปวะ
นึกย้อนไปแล้วกลัว กลัวมาก กลัวจะเป็นอีก
นอนไม่หลับเลยทั้งคืน นั่งทบทวนแต่ว่าจะจัดการควบคุมมันยังไงดี
จะทำยังไงให้เราหาย เราอยากหายดี
ไม่อยากเจอตัวตนที่คุมไม่ได้คนนั้นอีกแล้ว
เล่าให้พี่ที่ทำงานที่สนิทฟัง โทรไปร้องไห้กับเพื่อน
พี่รีบมาหาที่ห้องตั้งแต่เช้า เข้ามากอดเราแน่น
เราร้องไห้ออกมาตรงนั้น (เอาจริงคือร้องไห้เกือบทั้งคืนยันเช้า)
มีแต่คำถามว่าทำไมไม่หายสักที ทำไมต้องมาเป็นแบบนี้ด้วย
เล่าให้พี่ฟังทั้งหมด เลยตัดสินใจเล่าให้รองเฮดฟัง เพื่อจะขอเวรหยุดไปหาหมอก่อนวันนัด
หลังจากพี่กลับไปก็ โทรหาเพื่อนแล้วร้องไห้อย่างเดียว
ร้องไห้ให้กับตัวเอง ร้องไห้ให้กับสิ่งที่ต้องเผชิญอยู่ สงสารตัวเองที่มาอยู่จุดนี้
(และเวลาดีเพรส ความคิดมันโคตรจับจดอยู่ตรงนั้น)
และที่สำคัญคือปมที่ทำให้เจ็บปวดมันเริ่มเจ็บออกมาถึงร่างกายมากเรื่อยๆ
จากที่ปกปิดเรื่องนี้ไว้ เลยตัดสินใจเล่าให้คนรอบข้างฟัง
เรามาถึงจุดที่เริ่มขอความช่วยเหลือ และขอความช่วยเหลือทุกวิถีทางที่คิดออก
กลัวตัวเองมากๆ กลัวว่าจะเป็นแบบนั้นอีก
เราไม่ได้อยากตาย
เราแค่อยากหายเศร้า
วันนั้นเลยกลับบ้าน กลับไปเจอเพื่อน
เพื่อนให้กำลังใจดีมาก เล่าให้ที่บ้านฟัง
ป๊ากับแม่ฟัง ไม่ด่าไม่ว่าอะไรเลย
กอดป๊ากับแม่ไว้หลายครั้ง
กอดน้องชายด้วย คุยกันอย่างเปิดใจ
เลยรู้ว่าน้องเราเองก็รับรู้หลายๆอย่างมาตลอดและมีคนหลังไมค์ไปหามันเยอะมาก
เป็นวันที่กำลังใจมาเต็มจริงๆ
และพร้อมจะตั้งรับและควบคุมตัวเองให้ได้ ถ้าเกิดเป็นแบบนั้นขึ้นมาอีก
และจะไปคุยกับหมอเพื่อทบทวนและเริ่มการรักษาใหม่
แต่คืนนั้นก็ยังนอนไม่หลับ (เท่ากับเราไม่ได้นอนมาสามวันเต็มๆ)
ในหัวมีแต่เรื่องสิ่งที่ตัวเองต้องเผชิญ โรคที่เป็น ปมที่เกิด
เริ่มมาทบทวนใหม่ว่าเราเป็นแค่ adjustment disorderจริงๆหรอ
เมสเสจถามพี่ที่พอรู้เรื่อง ถามเพื่อนหมอ
ทุกคนก็ยังยืนยันว่าใช่
(เอาจริงว่างงกับคำตอบ เพราะรู้สึกตัวเองอาการแย่ลงและหนักมาก)
เช้ามาก็เกิดคำถามเดิมซ้ำอีก
ว่าทำไมขณะที่สองคนนั้นมีความสุขกัน เราต้องหอบร่างตัวเองไปพบจิตแพทย์
ว่าทำไมขณะที่โลกของสองคนช่างสวยงาม เราต้องพยายามมีชีวิตอยู่
อดโทษทั้งตัวเอง ทั้งคนเหล่านั้นไม่ได้ อดโกรธและแค้นไม่ได้
เพราะมันเลวร้ายมากจริงๆ ใครจะอยากมาเป็นแบบนี้ล่ะ
สู้กับตัวเองก็ว่าเหนื่อยมากแล้วกับการต้องเอาชนะและคุมตัวเองให้ได้
แถมยังต้องรับคำต่อว่าจากใครต่อใครอีก
น้อยคนมากที่จะเข้าใจที่เราบอกว่า 'ควบคุมความคิดไม่ได้'
เอาจริงๆคือแทบไม่มีคนเข้าใจเลยด้วยซ้ำ
แต่ใครไม่มาเป็นเอง ไม่รู้จริงๆว่ามันเลวร้ายขนาดไหน
ต่อจากนี้เราก็ยังจะต้องสู้ต่อ ไม่รู้เลยว่าข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง
แต่เราไม่อยากยอมแพ้
เราไม่อยากสูญเสียอะไรไปอีกทั้งนั้นโดยเฉพาะชีวิตตัวเอง
เรื่องนี้เราแอบทำใจว่าคงมีคนมองหลายแง่
ที่แน่ๆคือคิดว่าเราไม่รักตัวเองและทำร้ายตัวเอง
ทำร้ายตัวเองเรายอมรับค่ะ บางทีมันเผลอ มันดื้อ
แต่ถ้าเราไม่รักตัวเอง ไม่รักครอบครัวหรือคนที่รักเรา
เราคงไม่ได้มานั่งเขียนเอนทรี่นี้อยู่ตรงนี้หรอก
คงยอมแพ้มันไปนานแล้วล่ะ

..............

หลังจากเข้าสู่ช่วงพยายาม(ฉุดยื้อ)ฟื้นชีวิตตัวเอง
เราก็เจอความผิดหวังและโดนหักหลังอีกรอบ
ซ้ำเดิมจนเหมือนมันจะกลายเป็นส่วนนึงในชีวิตเราไปแล้ว
และอยู่ๆอาการมันก็แย่ลงแบบหาสาเหตุจริงๆไม่ได้
เราเบื่อโลก และไม่อยากอยู่อีกแล้ว มันเบื่อกับทุกเรื่องที่ต้องเจอ
เรื่องงานที่มีผลกระทบน้อยสุด ก็เริ่มมีปัญหา
(ก่อนหน้านี้ มีงานเป็นสิ่งเดียวที่เรา handleได้อยู่)
อุบัติเหตุต่างๆนานาที่ไม่น่าจะเกิดก็มาเกิด ต้องเขียนรายงานวุ่นวาย ทำเรื่องป้องกันการฟ้องขึ้นศาล
และเราเริ่มนอนไม่หลับมาขึ้นเรื่อยๆ
ยาที่หมอให้มาก็นอนไม่หลับ จะเพิ่มยาเองก็กลัวยาหมดก่อนวันนัด
เลยหาทางออกผิดๆโดยการซื้อเบียร์มากินคู่กับยานอนหลับ เพื่อให้ตัวเองได้นอน
เริ่มตื่นไปทำงานสายบ่อยขึ้น สมาธิในการทำงานเริ่มไม่มีมากขึ้น
ใจและสายตาเริ่มลอยเหมือนคนตายซาก
ความพยายามฆ่าตัวตายกลับมาอีกแล้ว และครั้งนี้วางแผนทุกอย่างไว้อย่างจริงจังมากๆ
คืนนั้นร้องไห้ทั้งคืน ร้องไห้จนเหมือนจะขาดใจตาย
และเริ่มลงมือทำร้ายตัวเองก่อนจะฆ่าตัวตาย
จุดนั้นคือคุมตัวเองไม่ได้แล้ว หมดหวังในทุกอย่าง จะตายๆอย่างเดียว


เรื่องจริงจากเธอคนนี้!!! เมื่อฉันได้มาเป็นคนไข้จิตเวชเพราะ โรคซึมเศร้า


แต่พลังในตัวเราที่มันเหลือตอนนั้นแค่ไม่เกิน 10%
... มันลากเราไปรพ.ก่อนวันนัด

วันนั้นไปเหมือนศพเดินได้ และเจอหมอ หมอทำหน้าเครียดขึ้นมาทันที
และขอให้แอดมิทอยู่ที่นี่สัก1-2อาทิตย์
ตอนนั้นเราปฎิเสธทันที เพราะการลางานสองอาทิตย์ของเรามันทำได้ค่อนข้างโคตรยาก
หมอเลยขอให้พรบ.สิทธิ์ของหมอที่จะบังคับให้เราแอดมิทเนื่องจากเป็นเจ้าของไข้ และเพราะไม่ไว้ใจจะปล่อยเรากลับ
และโทรคุยกับหัวหน้างานอย่างตรงไปตรงมา

วันนั้นเลยเป็นวันแรก ของการเป็นคนไข้จิตเวช ในโรงพยาบาลจิตเวช

ความรู้สึกสับสนต่างๆนานาเข้ามาแบบไม่หยุด จะบอกแม่ยังไง จะบอกพ่อยังไง
แล้วจะตอบคำถามคนอื่นยังไงว่าหายไปไหนมาสองอาทิตย์
ความรู้สึกตอนเดินเข้าไปมันหวิวๆแบบบอกไม่ถูก
เราเลือกอยู่ห้องพิเศษ (ซึ่งไม่ใช่ห้องพิเศษเดี่ยวแบบรพ.ปกติหรอก)
ข้างในจะมีห้องสามห้อง ห้องละประมาน 10 เตียง
เราได้เปลี่ยนชุดเป็นชุดรพ. ทรัพย์สินทุกอย่างโดนเก็บไปหมด โทรศัพท์ ไอพอด กระเป๋าตัง ห้ามมีอะไรติดตัวทั้งนั้น
เราติดเขียนไดอารี่ เลยขอพี่พยาบาล ขออนุญาตเขียนไดอารี่
(แต่ก็ต้องเอาไปฝากเก็บในเคาท์เตอร์และไปขอมาเขียนบ่อยๆจนพี่เริ่มกำหนดให้เขียนเป็นเวลา .. ทำร้ายจิตใจมากค่ะตอนนั้น)
และวันแรกพยาบาลให้นอนห้องกลาง เตียงติดประตู เพราะเป็นเคสเฝ้าระวัง
และได้กินยาและโดนฉีดยาคลายกังวลเพื่อให้หลับ (เนื่องจากประวัติตอนมาว่าเราไม่ได้นอนมาสามวัน)
ยาที่ฉีดนั้นปวดมาก แต่ที่ใจมันปวดกว่า
นอนร้องไห้ทั้งคืน มีแต่ความคิดว่า เรามาถึงจุดนี้ได้ยังไงฟะ
นึกโทษคนที่เป็นต้นเหตุ โทษที่ตัวเองไม่เข้มแข็งพอ บลาบลา
นอนไห้จนหลับไป

เราอยู่ห้องกลางได้ไม่กี่วันก็โดนย้ายมาห้องที่ 1
ตอนแรกคิดว่าจะได้แอดมิทแค่ไม่กี่วัน(เหมือนโรคอื่นๆ) แต่ความจริงคือไม่เลย
โรคทางจิตเวชต้องแอดมิทอย่างน้อยเป็นอาทิตย์ หรืออย่างน้อย 3 อาทิตย์สำหรับไบโพลาร์
การรักษาต้องใช้เวลา ปรับทั้งยาทั้งจิตใจ
ชีวิตในรพ. ถ้าจะเทียบว่าเหมือนอยู่ในคุกก็ไม่เชิง

ทุกคนโดนปลุกอาบน้ำตั้งแต่ตี5
ต้องพับผ้าห่มของตัวเองให้เรียบร้อย
หกโมงครึ่ง ทานข้าวเช้า และมาต่อแถวกินยา อ้าปากให้พยาบาลดูว่ากลืนหมดแล้ว
พักผ่อนรอพยาบาลส่งเวร จนถึงเก้าโมง ออกไปที่ระเบียงเพื่อออกกำลังกายและวัดสัญญาณชีพ
มีช่วงพักเบรกให้เบิกน้ำอัดลมกับเอาขนมจากคนที่มาเยี่ยมฝากไว้ให้ ออกมากิน
(เบิกได้เฉพาะตอน 10น.และ14น.)
พื้นที่ถูกจำกัดแค่ที่ระเบียง สนามหญ้าและชิงช้าที่อยู่ข้างหน้า
อยากออกไปนั่งเล่นก็ออกไปไม่ได้
พอถึงเวลาก็ถูกเรียกเข้าตึก ประตูทุกบานถูกล็อคไว้
ถ้าใครมีกิจกรรมที่จะต้องเข้ากลุ่มจิตบำบัดก็จะได้ไปเข้า
ถ้าไม่มีก็นอนรอให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนถึงเที่ยง
อาหารเที่ยงมา กินข้าวเที่ยง กินยา
บ่ายโมงอาบน้ำรอบสอง
และคนที่มีกิจกรรมช่วงบ่ายก็จะได้ออกไปทำ คนที่ไม่มีก็นอน ให้เวลาผ่านไปเฉยๆ

รอข้าวเย็นมาตอนบ่ายสามสี่โมง กินข้าวเสร็จ ล้างช้อน และมาต่อแถวกินยา
และนอนพัก หากิจกรรมทำ ให้เวลาผ่านไป
จนถึงทุ่มครึ่ง ทานของว่าง ไปแปรงฟัน มาต่อแถวกินยา และเข้านอนตอน 20.00น.
แอร์เย็นมากกกกกกกกก ขอผ้าห่มเพิ่มทีไร ผ้าห่มมักจะหมดสตอควันนั้น ฮือ
และปัญหาในการนอนของเรายังมี คือเรากินเม็ดเดียวไม่ได้ ต้องกินสองเม็ด แต่จะขออีกเม็ดคือสามสี่ทุ่ม ซึ่งตอนนั้นเม็ดแรกออกฤทธิ์ละ หลับไปละ ตื่นมาตีสามตีสี่ทุกคน ขอยานอนหลับไม่ได้อีกแล้วเพราะใกล้จะเช้าแล้ว

น้ำตาจิไหล

นี่ไง .. ชีวิต Slow life

วันไหนที่ได้มีกิจกรรมออกไปทำมันก็ดี ทำจิตบำบัดเชิงลึก
เทสไอคิวเชิงลึก ทดสอบความเป็นตัวตน
วันไหนไม่มีกิจกรรมก็นอนตาลอยมองนาฬิกาไปเรื่อยๆ
เวลาดูผ่านไปช้ากว่าปกติมากๆ
เราได้รู้จักคนไข้ด้วยกันหลายๆคน
แต่ละคนก็มาแชร์โรคที่ตัวเองเป็น และสิ่งที่ตัวเองประสบพบเจอกันมา
(คนที่ยังพูดรู้เรื่องอยู่อ่ะนะ ซึ่งก็มีหลายคนที่พูดไม่รู้เรื่องแล้ว เอ้าท์ไปแล้ว)
ไม่มีเรื่องของใครหนักเบาน้อยไปกว่าใครเลย
มันเป็นอะไรที่ ‘เกินจุดที่ตัวเองจะรับไหว' ทั้งนั้น
ทุกคนเลยมาเจอกันที่นี่ ช่วยให้กำลังใจกันไป(ทั้งที่ของตัวเองจะรอดไม่รอดก็ไม่รู้)
ร้องไห้คนนึงก็ผลัดกันปลอบ อีกคนก็ร้องไห้ต่อ
และทุกวัน นอกจากชีวิตตามตารางที่โดนเซ็ตใหม่แล้ว ก็มีแต่การรอ

.. รอว่าเมื่อไหร่หมอจะมาตรวจ
(ซึ่งหมอของหลายๆคนมาเยี่ยมอาทิตย์ละครั้ง .. โคตรทรมาน)
.. รอว่าจะมีคนมาเยี่ยมมั้ย และคนมาเยี่ยมจะเป็นใคร
.. รออาหารเช้ามา รออาหารกลางวันมา รออาบน้ำ รออาหารเย็น รอสองทุ่มเข้านอน

ตื่นมาตอนตี3ตี4ทุกคืนเพราะหนาวมาก นอนไม่ได้
คืนไหนมีคนไข้อาการกำเริบ ร้องไห้ โวยวาย โหยหวนทั้งคืน ก็ได้ยินกันหมด และเราตื่นง่าย นอนไม่หลับอีกเลย
นอนตอนกลางวันก็นอนไม่หลับ กังวลไปทุกเรื่อง
นึกโทษตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า โทษคนต้นเหตุที่ทำให้เราต้องมาอยู่ตรงนี้
โดนตัดขาดจากโลกภายนอก โดนขังอยู่ในบริเวณเล็กๆ
และสภาพแวดล้อมบางทีก็ไม่อยากจะเจอ อย่างเวลาคนไข้ที่อาการหนักกว่าเราเค้าอาการกำเริบ
มันสะเทือนใจมากที่ต้องเห็นภาพตรงนั้น
เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องดุ พยาบาลจำเป็นต้องดุ
บางคำพูดฟังแล้วมันก็สะเทือนใจไปง่ายๆเลย
แต่การอยู่ที่นี่มันมีข้อดี คือเหมือนเป็น พื้นที่ปลอดภัย
ไม่มีสิ่งกระตุ้นภายนอกมาหาเราอีก
ได้ทบทวนตัวเอง ทำจิตบำบัดก็ได้รู้จักตัวเองมากขึ้น
ได้มีเวลาพักผ่อน(แม้จะไม่เยอะเท่าที่คิด)
ได้รู้จักชีวิตคนอื่นๆ คุยกันอย่างเปิดใจเหมือนรู้จักกันมานาน
ทุกคนเข้าใจความรู้สึกกันดี
ความรู้สึกควบคุมตัวเองไม่ได้และพยายามฆ่าตัวตาย
รวมถึงพี่พยาบาลและพี่เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ใจดี
เราเริ่มจับความรู้สึกตัวเองทัน คือเมื่อเริ่มกังวลหรือเริ่มเศร้า จะเข้าไปคุยกับพี่พยาบาลทันที
อาการมันจะทุเลาลง เพราะได้ระบายออกไป ได้ปรับความคิด
พ่อแม่มาเยี่ยม แต่ไม่ทุกวัน รู้สึกได้ถึงความกังวลและความเป็นห่วงของเค้า
และเกิดเป็นความเครียดขึ้นมา
และไม่ใช่แค่ในครอบครัวเราหรอก คนในครอบครัวของคนไข้แต่ละคนต่างเจอภาวะเครียดกันหมด
เพราะมันเป็นเรื่องในจิตใจ ที่เข้าใจได้ยาก และสังคมภายนอกไม่เข้าใจ

... หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป เข้าอาทิตย์ที่สอง เราเริ่มเบื่อมากจนทนไม่ไหว
หมอยังไม่ให้กลับบ้าน
ให้เข้าทำกิจกรรมบำบัดก่อน และวางแผนกลับบ้านไว้ให้(ยังไม่มีกำหนด)
วันนั้นร้องไห้อีกรอบ ร้องไห้ทั้งคืน (ตั้งแต่เข้ารพ. เราร้องไห้แค่สองรอบ)
อยากออกจากที่นี่จะแย่ ยิ่งอยู่ยิ่งเครียด ยิ่งอยู่ยิ่งเหมือนจะเป็นบ้า
แต่ป้าเตียงข้างๆช่วยปลอบจนเราหยุดร้องไห้และนอนได้
หลังจากนั้นเราไม่ร้องอีกเลย อารมณ์ไม่ตั้งความหวังกับวันออกจากรพ.อีก
แต่พอแม่มาเยี่ยมเท่านั้นแหละ ปล่อยโฮกับแม่อีกรอบ
เจ็บปวดไปหมด ไม่อยากมาอยู่ที่นี่ นึกโทษทุกอย่างที่ทำให้เราต้องมาป่วยแบบนี้
แต่ในที่สุดหมอก็กำหนดวันกลับบ้านให้เรา
การอยู่ที่รพ.ได้เรียนรู้ตัวเองหลายอย่าง
เราเป็นพวก Prefectionism หน่อยๆ มาตลอด เผื่อใจให้ความผิดหวังแค่ 10-20%
และการเจอความผิดหวังแบบรุมโครมเข้ามาพร้อมกันในเวลาอันสั้นมันทำให้เราตั้งหลักไม่ถูก
เราได้ทำความเข้าใจกับ โลกแห่งความจริง ว่ามันเป็นแบบนี้
และบวกกับเราเป็นคนใจร้อน คิดเร็วทำเร็ว
หมอบอกอย่างเดียวว่าให้เรา ‘ฝึกเจริญสติ'
การแอดมิทมาสองอาทิตย์ ทำให้เรานิ่งขึ้นมาก
และมีเวลาทบทวนปัญหาต่างๆที่มีอยู่ ว่าออกไปแล้วจะจัดการยังไง
จะตอบคำถามใครต่อใครยังไงว่าหายไปไหน ป่วยเป็นอะไร และเค้าจะรับได้มั้ย
ความคิดฆ่าตัวตายและอยากตายมันไม่มีเข้ามาอีกแล้ว
(ไม่รู้ว่าเพราะระดับยามันโอเคแล้วด้วยรึป่าว)
แต่ความเบื่อโลกมันยังมีอยู่ เหมือนไฟในชีวิตมันยังจุดไม่ติด

....................

วันแรกหลังจากเราได้ออกจากรพ.
เราขอแม่กลับไปอยู่คนเดียวที่หอก่อนสามคืน เพื่อทบทวนอะไรๆและทดสอบตัวเอง
ใจมันแกว่งๆตลอดเวลาที่เดินกลับห้องและอยู่ในห้อง
เหมือนที่เกิดขึ้นสองอาทิตย์มันเหมือนฝัน แต่นี่คือชีวิตใหม่ ที่เรายังตั้งตัวไม่ถูก
คืนแรกทนอยู่คนเดียวไม่ได้ เลยต้องไปอยู่กับพี่
และกลับมาเริ่มใหม่คืนที่สอง พยายามจับความรู้สึกความคิดตัวเองให้ทัน
มีเศร้านะ นึกถึงสิ่งที่เสียไป ร้องไห้ออกมา แต่ไม่ฟูมฟายเหมือนเมื่อก่อน และร้องไห้แป็บเดียว
และเรายังต้องสู้และพยายามควมคุมมันต่อไป

 


เรื่องจริงจากเธอคนนี้!!! เมื่อฉันได้มาเป็นคนไข้จิตเวชเพราะ โรคซึมเศร้า


เราให้เป็นการป่วยที่เจ็บปวดทรมานและล้ำค่าที่สุดในชีวิต

โรคซึมเศร้าพรากอะไรไปจากเราเยอะมาก แต่ก็สอนให้เราได้เข้าไปอยู่ในอีกโลกที่ไม่เคยเห็น
มุมมองแต่คนที่ป่วยทางจิตของเราเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ป่วยทางใจมันทรมานกว่าที่คิดมากๆ
เพราะมันมองไม่เห็น อาการที่แสดงออกมามันโดนมองว่าเป็นนิสัยไปได้ง่ายๆ
สูญเสียสังคม สูญเสียงาน และครอบครัวเครียดกันหมด

และการรักษาเป็นไปได้ยากกว่าทางกาย เพราะต้องอาศัยการร่วมมือทั้งกับหมอและคนไข้
ยาช่วยได้ส่วนนึง แต่เราต้องคุม ใจ และ ความคิด ตัวเองให้ได้
ขั้นแรกที่ยากคือการยอมรับว่าตัวเองป่วยทางอารมณ์และจิตใจ (ชาวบ้านก็เรียกป่วยทางจิต)
เพราะสังคมประเทศเรายังยอมรับกันได้ยากอยู่ แค่มีประวัติว่าไปพบจิตแพทย์หรือเข้ารพ.จิตเวช ก็โดนมองอีกแบบไปแล้ว
(ในสังคมที่แข่งขันให้ตัวเองมีโปรไฟล์สูงๆกัน ก็เหมือนโดนดิสเครดิทอะ ว่าง่ายๆ)
ต้องเป็นเองเท่านั้นจริงๆถึงจะเข้าใจทั้งหมด

เราตัดสินใจเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะไม่อยากให้หลายๆคนมองข้ามโรคทางจิตใจ
สำหรับเรามันน่ากลัวกว่าโรคทางกายอีก มันเข้าใจยาก และซับซ้อน
และเป็นตัวกรองคนในชีวิตที่สำคัญมากๆเลยทีเดียว
เพราะมันเป็นจุดตกต่ำที่สุดที่มนุษย์จะลงไปอยู่ได้

(หรือมันอาจจะมีต่ำกว่านี้ได้อีก)
อีกโลกนึงที่เราได้เข้าไปสัมผัสจากโรคที่เราเป็น
ในนั้นยังมีอีกหลายชีวิตที่อยู่เหมือนตายทั้งเป็น
และเหมือนจะไม่มีวันได้ออกจากรพ.อีกเลย
มันไม่ยุติธรรมเลยกับการเกิดมาครั้งนึง

ถ้ารู้สึกหรือสงสัยว่าเป็น ให้รีบไปรักษา
อย่ามองข้ามความรู้สึกของคน ถนอมน้ำใจถนอมจิตใจกันไว้เถอะ
สังคมเดี๋ยวนี้มันแย่ลงเรื่อยๆ คนเริ่มทำร้ายใจกันเองมากขึ้นเรื่อยๆ

และแต่ละคนมีภูมิต้านทานการรับปัญหาที่ต่างกัน
อย่าไปทำร้ายจิตใจใครโดยที่ไม่จำเป็น อย่าทำร้ายเพียงเพราะความสะใจ
อย่าทำร้ายเพียงเพราะรำคาญหรืออยากเอาชนะ
อย่าทำร้ายใครเพราะความเห็นแก่ตัวของตัวเอง

รู้ว่ายาก มนุษย์ทุกคนมีความเห็นแก่ตัวอยู่ในตัวเองกันหมด
แต่ให้นึกกลับกันถ้าเขาเป็นเรา เราเป็นเขาได้ มันก็คงจะดี
ที่เราเป็นครั้งนี้เรายอมรับว่าภูมิต้านทานเราต่ำ เราดื้อ และเราอ่อนแอ
เราไม่โทษคนที่ตัดขาดเราไปหรือด่าว่าเรา เราเข้าใจ
ความอดทนของทุกคนมีขีดจำกัดและทุกคนก็มีปัญหาของตัวเอง

การเป็นโรคซึมเศร้า คนข้างๆและกำลังใจโคตรสำคัญ

ถึงช่วยอะไรไม่ได้ แค่แต่คอยอยู่ข้างๆ อดทนกับเราในช่วงเวลาดีเพรสกำเริบและคอยยั้ง
มันไม่ได้เหนื่อยแค่ตัวคนที่เป็น แต่คนรอบข้างก็เหนื่อยตามด้วย
และจะรู้ว่ามีสักกี่คนที่ยอมเหนื่อยยอมทนเพื่อให้เราหาย
ใครที่คอยยอมสละเวลาตัวเองมาประคับประคองเราไว้
และการเก็บกำลังใจของคนที่ซึมเศร้า
มันเหมือนเติมลงในแก้วน้ำที่รั่ว มันเข้ามาและหมดไปได้เร็วมาก
มันต้องเติมบ่อยๆจนกว่าจะอุดรอยรั่วนั้นได้ โรคทางใจมันโหดร้ายกว่าที่คิดเยอะ
ต้องต่อสู้กับทั้งตัวเอง และสังคมรอบข้างอีก
ทุกอย่างมันจะประดังเข้ามาแบบรัวและตอบคำถามไม่ถูก
บางคนไม่เข้าใจก็รังเกียจ บางคนไม่เข้าใจก็จะบอกว่าทำไมคิดไม่เป็น ไม่นึกถึงพ่อแม่
บางคนก็จะมองการป่วยทางจิตไปในแง่ลบ และไม่อยากยุ่งด้วย
มันไม่ได้ย่ำแย่แค่ตัวคนที่เป็น แต่คนรอบข้างก็แย่และลำบากไปด้วย ครอบครัวก็แย่ลงไปด้วย
กำลังใจสำคัญมาก ในขณะเดียวกันการโดนซ้ำเติมก็มีผลรุนแรงมากๆเหมือนกัน
เวลาที่เป็นซึมเศร้า คำพูดทุกอย่างมันเซ้นซิทีฟและมันมีอำนาจกว่าเดิมหลายสิบเท่า
นาทีที่ฟังแม่ร้องไห้และบอกว่าสงสารที่เราต้องมาเป็นแบบนี้เพราะคนแค่สองคน
สงสารที่ลูกตัวเองต้องมาตกอยู่ในสภาวะแบบนี้
มันยิ่งทำให้เจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูกเลย
ซึมเศร้าเป็นบททดสอบชีวิตที่โหดร้ายที่สุดสำหรับเราตอนนี้
และเชื่อว่าหลายๆคนที่เป็นก็คงรู้สึกเหมือนกัน
เรานับถือคนที่เป็นโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรงและผ่านมันไปได้มากๆเลยค่ะ
เรารู้ว่าเรื่องที่เราเจออาจจะดูเล็กน้อยมากสำหรับบางคน แต่เราให้ความสำคัญกับมันมากเกินจนผิดหวังรุนแรง
และสำหรับเราตอนนี้ คนไข้จิตเวชไม่ว่าจะเป็นโรคซึมเศร้า หรือไบโพลาร์ หรือจิตเภท
ขอยกย่องเลยว่าพวกคุณเข้มแข็งกันมากกว่าที่คุณคิดไว้เยอะ
เพราะเรารับมือกับใจตัวเองไม่พอ เรายังต้องรับมือกับปัญหารอบตัวที่พังลงไปต่อหน้า
และความเสียใจที่คุณต้องสูญเสียความเป็นตัวเองคนเดิมไป
ถ้าผ่านไปได้ จงภูมิใจในตัวเองไว้ให้มากๆ คุณโคตรแกร่ง
และเราหวังว่าสักวันเราจะภูมิใจกับตัวเองที่ผ่านมันไปได้

ถ้าอ่านแล้วรู้สึกว่า เราสมควรเป็นแบบนี้เพราะตัวเราทำตัวเองทั้งนั้น
ไม่เป็นไรเลยค่ะ
แต่อยากให้รู้ว่าเราไม่ได้อยากเป็นแบบนั้น ไม่มีใครอยากเป็นแบบนั้น
ไม่ได้อยากให้เกิดเรื่องพวกนั้นที่จากตัวเราเอง
มันทำให้เรารู้ส่วนที่เราแย่ ที่ไม่เคยมองเห็น และแก้ได้ตรงจุด
และเราเข้มแข็งขึ้นมากกว่าเดิมมากๆหลังจากที่ต้องสู้กับมันมา
และมองเห็นความโชคดีในชีวิตหลายๆอย่างที่เคยมองข้าม

เราขอโทษที่เราไม่รู้สึกขอบคุณคนที่มีส่วนและจุดประเด็นทำให้เราเป็นแบบนี้นะ
ยอมรับว่าเราอ่อนแอเอง และเพราะถึงเราจะเรียนรู้อะไรจากมันเยอะ
แต่ช่วงชีวิตส่วนนึงของเรามันพังถาวร มันโดนทำลาย
มีปมมีแผลในจิตใจ และมีความทรงจำช่วงนึงของชีวิตที่มันเลวร้าย
ความสัมพันธ์ของคนรอบตัวก็พัง
ครอบครัวเราก็แย่ไปด้วย
.. เพียงเพราะความสุขและความสะใจของตัวคุณเอง
หวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้นกับคนในครอบครัวคุณหรือลูกของคุณนะ
วันนี้เรายังให้อภัยคุณไม่ได้หรอก แต่วันนึงเรารู้ว่าเราจะให้อภัยคุณได้ค่ะ

(บอกตัวเอง)
จากนี้ก็ เริ่มใหม่ ควมคุมความคิดและหยุดคิดให้ได้ โยนอะไรทิ้งๆไป
และไม่คาดหวังให้ใครมาเข้าใจในตัวเราหรือสิ่งที่เราเป็น
ตัวเราเองเข้าใจตัวเองดีที่สุด และจะเลิกโกรธ เลิกแค้น
เพราะทำไปก็เท่านั้นแหละ ได้แต่ความสะใจ ปล่อยให้ผ่านไป
วันนึงเราจะหันกลับมายิ้มให้อย่างจริงใจ เลิกจมและจับจดอยู่กับความคิดเดิมๆ
เลิกมองว่าตัวเองกำลังแย่หรือเจอเรื่องแย่ เลิกให้ความสำคัญกับอะไรที่มันไม่แน่นอน
ให้ความสำคัญกับตัวเอง มองไปข้างหน้า เรารู้ว่ายังสามารถทำอะไรเจ๋งๆได้อีกเยอะมาก

มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่พูดได้ง่ายแหละ แต่ถ้าทำได้ง่ายเราคงไม่เป็นแบบนี้
เพราะดันให้ความสำคัญกับสิ่งอื่นมากไปจนลืมตัวเอง
และนี่ไม่ใช่ตอนจบ เพราะเรายังไม่หาย เรายังค่อนข้างเครียดและกลัวอนาคต
กลัวว่าเราจะไม่หายหรือสู้มันไม่ได้ และกลัวความสัมพันธ์ในทุกรูปแบบ
ถือเป็นบททดสอบและบทเรียนสำคัญในชีวิตเลยล่ะ

ขอบคุณทุกคนที่อยู่ข้างๆเรานะ คุณทำดีที่สุดแล้ว
ขอบคุณมากๆจริงๆค่ะ และเราจะพยายามผ่านมันไปให้ได้
และ .. ถ้าเราแพ้หรือผ่านไปไม่ได้ ให้เอนทรี่นี้บันทึกไว้ว่าเราพยายามสู้กับมันแล้วนะ


เรื่องจริงจากเธอคนนี้!!! เมื่อฉันได้มาเป็นคนไข้จิตเวชเพราะ โรคซึมเศร้า


เรื่องจริงจากเธอคนนี้!!! เมื่อฉันได้มาเป็นคนไข้จิตเวชเพราะ โรคซึมเศร้า


ขอบคุณที่มา ::: pantip


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์