เรื่องเล่าของพ่อ อุทิศตัวเป็นตชด. วันที่บาดเจ็บกลับไม่เหลือใคร


เรื่องเล่าของ "พ่อ" อุทิศตัวเป็น ตชด. วันที่บาดเจ็บ กลับไม่เหลือใคร

“พ่อ”…...นายตำรวจที่ไม่มีใครมองเห็น

เมื่อวันที่ 28 ต.ค.58 ผมได้รับแจ้งจากทางตำรวจว่า พ่อของผม ว่าที่ ร.ต.ท.พันธ์ยุทธภูมิ ปัจจุ้ย ตำแหน่งรองสารวัตร กองกำกับการตำรวจตระเวณชายแดนที่ 32 ปัจจุบันปฏิบัติหน้าที่ประจำกองร้อยตำรวจตระเวณชายแดน ที่ 327 อ.แม่จัน จ.เชียงราย

ได้ประสบอุบัติเหตุทางรถจักรยานยนต์ โดยมีบาดแผลตามร่างกาย และมีเลือดออกในเยื่อหุ้มสมอง
พ่อ.... ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิด………
พ่อ.... คนที่เราพบเจอครั้งล่าสุดตอนอายุ 14 
พ่อ.... ที่เลิกกับแม่ไปตอนเราอายุประมาณ 3 ขวบ

แต่มาวันนี้กลับมีเราเพียงคนเดียวที่สามารถเซ็นยินยอมให้เขาได้รับการรักษา และช่วยเหลือเขาได้ เพราะคำว่า "ลูกชาย"
ก่อนหน้านี้เขาไปอยู่ไหนมา?
ทำไมเขาถึงเกิดอุบัติเหตุ?

มีคำถามมากมายเกิดขึ้นในหัว แต่ก่อนอื่นเราต้องรีบไปเชียงราย เกิดเขาเป็นอะไรไป เพราะเราไปช้ามันจะทำให้เรารู้สึกผิด

หลังจากที่ผมได้รับแจ้งข่าว ผมจึงรีบเคลียร์งานและเดินทางไปยังจังหวัดเชียงรายซึ่งเป็นบ้านเกิดของผม………

พอถึงโรงพยาบาลคำถามแรกก็ผุดขึ้นมาในหัวผมทันที เขาหน้าตาเป็นยังไง

เรามาในฐานะลูก ซึ่งมีเราเพียงคนเดียวที่มีสิทธิในตัวเขาทุกอย่าง แต่เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย นิสัยใจคอ เขาอยู่ที่ไหนยังไง

และคำถามอื่นๆ อีกมากมาย ที่ผุดขึ้นมาในหัว
หลังจากสลัดความคิดที่อยู่ในหัวแล้ว ผมก็รีบดิ่งเข้าไปในโรงพยาบาล เป็นไปตามคาด เราหาพ่อไม่เจอ
แต่เอ๊ะ!! นี่มันชื่อพ่อเรานี่ คนที่นอนอยู่ข้างหน้าเรา ซึ่งเราไม่คุ้นหน้าเลยซักนิด คนที่มีรอยสักเต็มตัว มือและเท้าด้านมาก ผมไม่เคยเห็นใครมีเท้าด้านแบบนี้มาก่อนเขานอนดิ้นไปดิ้นมา ถูกมัดมือไว้กับเตียงทั้งสองข้าง ไม่มีอาการตอบสนองใดๆ เวลาที่เรามองหน้า หรือถามคำถาม
แต่มีครั้งนึ่งที่ดูเหมือนเขาจะตั้งใจฟัง แล้วก็กลับไปมีอาการเหมือนเดิม
คือตอนที่เราเรียกเขาว่า “พ่อ”
หลังจากมองดูเขาอยู่พักใหญ่ๆ เราจึงเข้าไปคุยกับพยาบาล ซึ่งก็เป็นไปตามคาด เราตอบอะไรเกี่ยวกับเขาไม่ได้เลย

เวลาหลังจากนี้ คือเวลาที่เราจะต้องออกไปตามหาคำตอบที่มันผุดอยู่ในหัวมาก่อนหน้านี้แล้วละซินะ
ผมใช้เวลาหนึ่งเดือนในการทำความรู้จักกับตัวเขา และสืบเสาะค้นหาเอกสารต่างๆ โดยเดินทางไป-กลับ / กรุงเทพ- เชียงราย โดยรถยนต์ส่วนตัว ถึงสามครั้งภายในหนึ่งเดือน กับระยะทางกว่า 7,000 กิโลเมตร

“ครั้งแรก” ผมได้ใช้เวลาเกือบสัปดาห์ในการหาคำตอบ และเอกสารต่างๆ ที่ต้องนำมาให้กับโรงพยาบาล

“ครั้งที่สอง” ผมต้องกลับมาดูพ่อต่อ เนื่องจากพ่อมีอาการปอดติดเชื้อ และต้องเข้าไอซียู
คำตอบที่ผมได้จากการออกไปสืบเสาะตามหา...

พ่อผมเป็นคนสุพรรณบุรี มาเป็นตำรวจ ตชด. ตั้งแต่ผมยังไม่เกิด ขณะนี้มีอายุ 58 ปี 7 เดือน
เป็นคนรักสันโดษเป็นอย่างมาก ไม่ติดต่อใครเลย มารู้ภายหลังว่าญาติทางพ่อก็เสียไปเกือบหมดแล้ว
พ่อประจำอยู่ที่ดอยวาวี ที่ฐานปฏิบัติการ ตชด. ไม่มีบ้าน แต่มีห้องพักไว้เก็บของอยู่ที่ อำเภอแม่จัน โดยจ่ายค่าเช่าให้ยายแก่ๆ คนนึง ทุกๆเดือน แต่ก็ไม่ได้อยู่ ทราบภายหลังว่าแกอยู่มาตั้งแต่เลิกกับแม่
พ่อเป็นคนไม่กินเหล้า แต่สูบบุหรี่ และดื่มกาแฟจัด

เลิกงานก็มักจะเข้าวัด ทุกๆที่ ที่พ่ออยู่ ผมจะพบเจอแต่หนังสือพระกับพระเครื่อง

พ่อขับรถมอเตอร์ไซด์เดือนๆ หนึ่งเป็นพันถึงสองพันกิโลเมตร หัวหน้าแกบอกว่าตรงไหนมีทางแกไปหมด แกทำงานเป็นตำรวจสายมวลชน

ผู้คนที่อาศัยอยู่ดอยวาวี ใครๆ ก็รู้จักพ่อผม ลุงแกบอกว่า หากผมมาแล้วเกิดรถเสียกลางทาง กลางค่ำกลางคืนก็ไม่ต้องกลัว ให้บอกชื่อพ่อผมไปทุกๆ คนยินดีที่จะเข้ามาช่วยเหลือ
พ่อผมชอบไปพัก และค้างกับพวกชาวเขา ค่ำไหนนอนนั่น จึงตามหาตัวแกยากหน่อย แต่ก็มีแต่คนรู้จัก
พ่อผมชอบซื้อขนมไปแจกพวกเด็กๆ บนดอย ซื้อไปทีเป็นแพคๆ หอบเอาใส่มอไซด์ไป เด็กๆบนดอยรักแก

บางบ้านที่แกไปนอนเค้าบอกอยากดูทีวีเพราะไม่เคยดู แกก็ยังซื้อทีวี พร้อมจานไปให้เค้าฟรีๆ
เห็นเด็กไม่มีเสื้อผ้าก็ซื้อไปแจก มีที่ทางก็ให้เขามาปลูกพืชผลทำไร่เก็บเกี่ยวผลผลิตฟรีๆ เพราะคำว่าสงสารเขา

คนบนดอยพวกนี้รู้จักพ่อผมมากกว่าผมซึ่งเป็นลูกแท้ๆ ซะอีก
ถึงจะมีบางคนว่าพ่อผมบ้าในสิ่งที่พ่อทำ แต่ผมไม่เสียใจหรอก อย่างน้อยก็มีผู้คนอีกตั้งมากมายที่รักพ่อผม………
คนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นตำรวจตระเวนชายแดน
คนที่ทิ้งครอบครัวมา
คนที่ต้องมาอยู่ที่ห่างไกลความเจริญ
คนที่เคยมาสอนหนังสือให้เด็กๆ ชาวเขา
แต่ตอนนี้คนๆ นี้ก็เหมือนกับคนที่ไกล้จะสิ้นลม

ในการกลับไปเชียงราย "ครั้งที่สาม" ผมต้องกลับไปเพื่อหาโรงพยาบาลให้พ่อพักฟื้น ซึ่งเป็นครั้งที่ผมรู้สึกท้อแท้ที่สุด

ทางโรงพยาบาลต้องการให้พ่อผมออกจากโรงพยาบาล เพราะแกเป็นคนไข้ติดเตียง อาการแกจะคงอยู่อย่างนี้ เค้าต้องการให้ญาติเอาไปดูแลเอง ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลยที่ผมจะดูแลพ่อ พ่อผมเจาะคอ ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ นอนหมดสติ และต้องให้อาหารทางสายยางเท่านั้น

ผมจึงได้ประสานไปยังหัวหน้าของพ่อผม ซึ่งทุกคนในกองร้อยก็ให้ความช่วยเหลือเต็มที่ เขาได้ประสานงานไปยังโรงพยาบาลค่ายดารารัศมี ในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลของตำรวจ

แต่ผมต้องดำเนินการจัดหารถตู้เองพร้อมทั้งพยาบาลนำพ่อไปเอง เนื่องจากทางกองร้อยได้ประสานไปยังกองกำกับในการขอนำรถไปส่งพ่อแล้ว แต่กลับไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆ ซึ่งผมก็เข้าใจว่าพวกลุงๆเค้าก็ทำกันเต็มที่แล้ว ยุคสมัยมันเปลี่ยน
ขนาดตำรวจยังไม่ช่วยตำรวจด้วยกันเลย 
คุณงามความดีที่พ่อผมทำ มันคงไม่มีค่าอะไร เป็นตำรวจมาทั้งชีวิต

ตำรวจก็ไม่เอา โรงพยาบาลก็ไม่เอา ญาติพี่น้องก็ไม่มี มีแต่ผมเพียงคนเดียว แล้วเราจะดูแลเค้าได้ยังไง
เราก็ต้องทำงาน เพราะหากไม่ทำงานเราก็ไม่มีเงิน พอไม่มีเงินเราก็อยู่ไม่ได้ จะไปดูแลพ่อก็ไม่ได้
แถมวันต่อมาก็ได้รับข่าวร้ายอีก ทางโรงพยาบาลดารารัศมีไม่สามารถรับตัวพ่อผมได้ เพราะทางโรงพยาบาลมีคนไข้ติดเชื้ออยู่หลายคน

ผมได้แต่คิดในใจว่าสิ่งที่พ่อผมทำมาทั้งชีวิตมันแทบจะศูนย์เปล่า
อาชีพที่พ่อรัก และทำมาเกือบทั้งชีวิตมันไม่ได้ช่วยอะไรพ่อเลย
คนที่ยอมลำบากไปอยู่ในถิ่นที่กันดารเพราะรักในอาชีพนี้
คนที่จับยาบ้ามาตั้งมากมายเพื่อไม่ให้เข้าเมืองหลวง

หากวันที่พ่อจับยาบ้า แล้วพ่อเกิดโดนยิงมาแล้วมีอาการแบบนี้
พ่อจะมาเป็นตำรวจตระเวนชายแดนเพื่ออะไรกัน
หรือพ่อจะอยู่ไกลเกินไป ไกลเกิน ที่จะมีผู้ใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มองเห็น

เรื่องจาก Fb : Yutthaphum Patchui

ที่มาจาก ตำรวจไทย สู้ๆ

เรื่องเล่าของพ่อ อุทิศตัวเป็นตชด. วันที่บาดเจ็บกลับไม่เหลือใคร

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์