เอดส์: ประสบการณ์จริง เรื่องที่ไม่ควรประมาท

เอดส์: ประสบการณ์จริง เรื่องที่ไม่ควรประมาท





เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผมนี้เป็นเรื่องจริง ซึ่งผมเองก็ไม่เคยคาดคิดว่ามันจะใกล้ตัว

ได้ขนาดนี้ นั่นก็คือเรื่องของโรคเอดส์ .... ผมเองก็เป็นคนนึงที่ใช้ชีวิตแบบวัยรุ่น

ทั่วไปในสมัยเรียนมหาวิทยาลัย มีแฟนคบกัน เลิกกัน แล้วก็มีแฟนใหม่ ใช้ชีวิต

อย่างสนุกสนานกับเพื่อน โดยที่ไม่เคยคิดถึงว่าจะมีเรื่องราวร้าย ๆ ว่ามันจะ

สามารถเกิดขึ้นกับตัวเราได้ เพราะผมเองก็เรียนอยู่ในมหาลัยเอกชนชื่อดัง (ขอ

สงวนนามไม่บอกนะครับ) มีสังคมและกลุ่มเพื่อนที่ดี เที่ยวกลางคืนกันบ้าง ตาม

สถานที่ ที่วัยรุ่นทั่วไปเค้าไปกัน (แถวทองหล่อ เอกมัย สุขุมวิท)




จนกระทั่งวันนึง ผมก็ได้พบกับ ผู้หญิงคนนี้ ซึ่งเธอเองก็เป็นคนน่ารัก ยอมรับนะ

ครับว่าเจอกันในที่เที่ยว ซึ่งครั้งนั้นเธอไปเที่ยวในงานวันเกิดของเพื่อน แล้วเราก็

ได้รู้จักกัน จนสนิทสนมและก็ได้คบหากัน ซึ่งหลังจากนั้น เราก็มีอะไรกัน ตาม

ประสาคนทั่วไป ... เราคบกันโดยที่ ป้องกันบ้างไม่ได้ป้องกันบ้าง ด้วยถุง

ยางอนามัย เพราะผมเองมั่นใจในตัวผมก็เพราะว่า ผมเองเป็นคนที่ตรวจเลือด

ประจำปีอยู่แล้ว และปรกติจะเป็นคนที่ป้องกันตัวตลอดอยู่แล้ว และผมเองก็เชื่อ

ใจเธอ เพราะเธอเองเป็นคน อ่อนหวาน น่ารัก เรียบร้อย และไม่ใช่ ญ ประเภท ที่

เที่ยวกลางคืนอย่างช่ำชอง จึงทำให้ผมไว้วางใจในตัวเธอ (ซึ่งนี่เป็นความคิดที่

ผิดมหันต์ อย่างมาก อยากให้ทุกท่านได้รู้ไว้เป็นอุทาหรณ์)... แต่ส่วนใหญ่ ผม

จะป้องกันโดยการใช้ถุงยางอนามัยมากกว่า ประมาณ ร้อยละ 90 เพราะไม่อยาก

เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ และไม่อยากให้เธอทานยาคุมเพราะว่ามันไม่ดีต่อสุขภาพเธอ

ในระยะยาว (อย่างน้อยนี่ก็คือความคิดของผม) ผมคบกับเธอได้เกือบปี จน

กระทั่งมีอยู่คืนนึง ซึ่งผมนั้นได้ไปเที่ยวกับเพื่อนแล้วก็ไปหาเธอตามปรกติ ซึ่งคืน

นั้นผมยอมรับว่าผมเมา เพราะปรกติผมจะไม่ค่อยดื่มเหล้า เพราะเป็นคนคออ่อน

จึงทำให้ขาดสติ และไม่ได้ป้องกันกับเธอในคืนนั้น และได้สัมผัสกับประจำเดือน

เธอ ... แล้วในวันรุ่งขึ้นซึ่งผมจำได้ว่าเป็นวันเสาร์ ซึ่งไม่ทราบว่าด้วยเหตุใด จึงมี

เหตุที่ทำให้ผมนั้น รู้สึกเป็นกังวลใจอย่างมาก (รู้สึกไม่สบายใจแบบแปลก ๆ ใน

วันนั้น) ผมจึงได้ชวนเธอไปตรวจเลือดกัน ซึ่งเธอเอง ก็ยอมไปตรวจแต่โดยดี

เพราะคิดว่าไม่มีอะไร โดยที่ผมเองไม่ได้ตรวจด้วย ....




ผมพาเธอไปตรวจที่ รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งก็ไปเจาะเลือดปรกติ เจาะ Anti-HIV
 
และรอรับผล ... วันนั้น ผมเองก็ไม่ทราบว่าเป็นอะไร ความกังวลยังมีอยู่อย่างไม่

ขาดหาย แต่ผมคิดว่าผมฟุ้งซ่านทำไมเนี่ย เพราะโดยนิสัยส่วนตัวนั้นผมเองก็เป็น

คนที่ชอบคิดมากอยู่แล้ว จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกิน 1 ชม. แล้ว สังเกตว่าทำไม

มันนานผิดปรกติ ผมจึงพาแฟนเข้าไปถามนางพยาบาล ปรากฏว่าคำตอบที่ได้รับ

ทำให้ผมรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก นั่นคือ ตอนนี้ ทางแล็ปเค้าต้องนำเลือดไป

ปั่นเพื่อที่จะตรวจยืนยันผล (เพราะตอนที่ผมเคยตรวจคือ ตรวจแล้วก็รอรับผลเลย
 
ไม่เคยมีการยืนยัน) ซึ่งตอนนั้นผมก็เริ่มกังวลแต่ก็ยังไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะผม

เองก็ไม่เคยตรวจที่นี่ และคิดว่าอาจเป็นเรื่องของระบบ จนกระทั่งผลเลือดออกมา

หลังจากรอผลเป็นระยะเวลา เกือบ 3 ชม. โดยที่แฟนผมเข้าไปนานผิดปรกติ จน

เธอเดินออกมาด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก และเธอก็ได้บอกผมว่า กลัวมั้ย ทำใจดี ๆ
 
นะ .............ผลเลือดออกมาเป็น บวก ... ณ วินาทีนั้น ผมรู้สึกช็อคเหมือนสาย

ฟ้าฟาด ตัวชา และมึนไปหมด แต่ก็ฝืนพูดกับเธอไปว่า อย่ามาล้อเล่นน่า บ้าเหรอ
 
จะติดมาจากไหน (ตอนที่พิมพ์อยู่นี้ผมยังจำความรู้สึกของวันนั้น และทุก ๆ ถ้อย

คำที่เธอกล่าวมาได้) ... แต่เธอก็บอกว่ามันเป็นเรื่องจริง ซึ่งดูจากสีหน้าแล้วจะรู้

ได้เลยครับว่าไม่มีทางล้อเล่นแน่นอน ซึ่งวินาทีนั้นผมเสียใจมาก ตอนแรก ๆ คิด

ด้วยว่า ผมเองเป็นคนที่อาจทำให้เธอติด หรือถึงจะไม่ใช่ก็ตาม แต่ผมก็เคยมี

อะไรกับเธอโดยที่ไม่ป้องกัน จึงคิดว่าคงจะไม่รอดแน่นอน ผมจึงตัดสินใจขับรถ

ออกจากรพ. ซึ่งตอนนั้นเรา 2 คนก็ได้นั่ง เงียบ ๆ อยู่ในรถ โดยที่ผมได้แต่ขอ

โทษเธอ จนกระทั่งผมลองมาคิดไตร่ตรอง ว่าผมเองก็ได้ตรวจเลือดครั้งสุดท้าย

ก่อนหน้านี้มา เป็นเวลา 1 ปี ก่อนที่จะได้มาคบกัน และคิดว่ามันเป็นไปได้เหรอที่

ว่าเราเป็นตัวต้นเหตุ




ณ วินาทีนั้น ผมจึงตัดสินใจเลี้ยวรถกลับไปรพ.เดิม เพราะยังไงความจริงก็คือ

ความจริง ผมจึงขอเจาะเลือดด้วย ปรากฏว่าหลังจากรอผลเพียงแค่ 30 นาที

หมอก็ได้เรียกตัวผมเข้าไปแล้วบอกว่า ผลเลือดผมเป็นปรกตินะ ตอนแรกผมงง

มาก ผมจึงถามหมอว่าเป็นไปได้ยังไง หรือว่าคุณหมอตรวจแฟนผมผิดพลาด และ

ผมเองก็ได้เล่าความเสี่ยงให้หมอฟัง (แต่หมอผู้ที่ดูผลเลือดของผมและแฟน เป็น

หมออายุรกรรมนะครับ ไม่ใช่หมอด้านโรคติดเชื้อ) คุณหมอก็ตอบว่า ทางแล็ป

เค้าได้ตรวจยืนยันแล้ว ไม่น่าจะผิดพลาด แล้วเค้าก็ได้อธิบายว่า การที่มีอะไรกับ

ผู้ติดเชื้อนั้น โดยที่ไมได้ป้องกัน ถือว่าเป็นความเสี่ยง(สูง) ซึ่ง คุณอาจติดหรือไม่

ติดก็ได้ ซึ่งตอนนั้นผมก็พูดไรไม่ออก เพราะว่าผมพึ่งมีอะไรกับเธอไปเมื่อวาน และ

สัมผัสประจำเดือนเธอเต็ม ๆ .... หลังจากที่นั่งซักพัก ผมจึงนึกขึ้นมาได้ว่า โดย

ปรกติ จะมียาต้าน(ที่ผู้ติดเชื้อทานกัน) ซึ่งเค้าให้ทานภายใน 24 ชม. นับจาก

ความเสี่ยงที่มี โดยส่วนใหญ่แพทย์จะจ่ายให้ผู้หญิงที่ถูกกระทำชำเรา หรือ

บุคลากรทางการแพทย์ที่ถูกเข็มทิ่มตำ (ในต่างประเทศเรียกว่า PEP) ผมจึงได้

ถามคุณหมอว่าเป็นไปได้ไหม ที่จะจ่ายยาให้ผมเพื่อที่จะทานป้องกัน เพราะผม

ได้สัมผัสกับเลือดเธอเต็ม ๆ คุณหมอก็ได้บอกว่า ไม่มีประโยชน์เพราะผมเอง ไม่

ได้ป้องกันกับเธอประมาณ 1-2 ครั้ง ในช่วง 3 เดือนก่อนที่ จะมาตรวจ ... ผมจึง

ได้เถียงกับคุณหมอว่า ก่อนหน้านั้น ผมเองก็ไม่ได้ป้องกัน จึงอาจเป็นไปได้ว่า 1

-2 ครั้งนั้น ที่ไม่ได้ป้องกันล่าสุด ถือว่าอาจจะไม่ติด แต่ครั้งล่าสุด ซึ่งผมได้สัมผัส

กับเลือดเต็ม ๆ นั้น ถือว่ามีความเสี่ยงมาก จึงอยากให้หมอจ่ายยาต้านให้ผม และ

คุณหมอจึงได้ตัดสินใจโทรปรึกษาหมอด้านโรคติดเชื้อ และได้ตกลงจ่ายยาต้าน

ให้กับผม (อาจเป็นเพราะเป็น รพ.เอกชน ... เพราะโดยปรกติ รพ.รัฐ จะไม่จ่าย

ยาต้านให้คนปรกตินะครับ)




ผมเองก็ได้ทานยาเป็นระยะเวลา 1 เดือนครึ่ง (จริง ๆ หมอเค้าให้ทานแค่ 28 วัน

น่ะครับ) ในช่วงเวลาที่จะรอผลเลือดในอีก 3 และ 6 เดือนข้างหน้า เป็นสิ่งที่

ทรมานจิตใจผมอย่างที่สุด แทบไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้ ต้องมาเจอเรื่องเช่นนี้ ไม่

อยากเชื่อว่าเรื่องเช่นนี้ จะใกล้ตัวเราขนาดนี้ เป็นช่วงเวลาที่เรียกได้ว่าเป็นบท

เรียนชีวิตที่สุด ๆ จริง ๆ ในเรื่องของความประมาท เพราะผมเองก็ศึกษาในเรื่อง

พวกนี้มาพอสมควร และคิดว่าการที่เราอยู่ในสังคมเช่นนี้ คบผู้หญิงโดยดูเพียงแค่

ภายนอก รูปร่างหน้าตา สถานะ เลยทำให้คิดว่าน่าจะเป็นคนที่สะอาดปลอดโรค

เป็นสิ่งที่คิดผิดมหันต์ จนกระทั่ง ระยะเวลาผ่านไป เธอเองก็เริ่มทำใจได้ ในขณะ

ที่ตัวผมเอง ก็เครียดขึ้นเรื่อย ๆ เพราะความฟุ้งซ่าน ทำงานแทบไม่ได้ (บางครั้งก็

อาศัยเรื่องงานนี่แหละครับ ที่ทำให้มันลืม ๆ ไปบ้าง) จนกระทั่ง หลังจากนั้น 6

และ 10 สัปดาห์ ผมก็ได้ไปตรวจแบบ Rapid test ที่คลินิกนิรนาม (ซึ่ง มันยังไม่

ถึงเวลาแต่ผมก็ดันทุรังไปตรวจ เพราะฟุ้งซ่านมาก ๆ ) ผลออกมาเป็นลบ แต่ก็

เท่ากับว่าเสียเงินฟรี เพราะมาเร็วไป และผมเองก็ได้ไปตรวจ PCR มาตอนระยะ

เวลา 1 เดือน นับจากวันที่หยุดยาต้าน ตามที่เคยมีหมอแนะนำไว้ (ผมหาหมอ

ด้านโรคติดเชื้อหลายคนมาก) ผลออกมาเป็นลบ ซึ่งก็ทำให้รู้สึกเบาใจได้อย่าง

มาก เพราะว่าเป็นการตรวจหาเชื้อในกระแสเลือดโดยตรง แต่มีคุณหมอบางท่าน

ก็บอกว่ายังเบาใจไม่ได้ เพราะว่าผมเป็นเคสที่ ทานยาต้านป้องกัน (โดยปรกติ

แทบจะถือได้ว่า 100% แล้วนะครับ เพียงแต่ผมเป็นเคสที่ได้รับยาต้าน)

ประกอบกับ PCR นั้น ไม่ใช่การตรวจซึ่งใช้ในการวินิจฉัย คุณหมอจึงได้นัดผมมา

ตรวจอีก นั้นก็คือ ตอน 3 เดือนนับจากหยุดยาต้าน (นี่คือโทษของการหา หมอ

หลายคน เวลาทับซ้อนกันครับ) เพราะหมอบางคน ก็บอกว่า 3 เดือน และ 6

เดือน นับจากเสี่ยง บางคนก็บอกว่า 3 เดือน 6 เดือน นับจากหยุดยา .... สรุปก็

คือ ผมทำตาม หมอทั้ง 2 ท่านที่แนะนำ และทำตามคำแนะนำของ CDC (กรม

ป้องกันและควบคุมโรคติดต่อ ของอเมริกา) คือ ตรวจ 3 เดือน 4 เดือนครึ่ง และ
 
6 เดือน โดย ผลที่ 4 เดือนครึ่งของผม ทั้ง PCR Antibody P24Antigen ผล

ออกมาเป็นลบหมด และผลเลือดที่ 6 เดือนครึ่ง คือ PCR และ Antibody นั้น ผล

ก็ออกมาเป็นลบ ก็ทำให้โล่งใจเป็นอย่างมาก อยากบอกว่าความรู้สึกเหมือนได้

เกิดใหม่เลยนะครับ (จริง ๆ นะ) มองท้องฟ้า มองหมา มองต้นไม้ มองผู้คน มอง

อะไรต่าง ๆ รู้สึกดีไปหมด รู้สึกอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ว่าชีวิตนั้นมีค่าขนาด

ไหน เดี๋ยวนี้กลายเป็นคนใจเย็นลงมาก ๆ แล้วครับ จากที่เมื่อก่อนเป็นคนใจร้อน
 
อืม ... ขออธิบายเรื่องตรวจเลือดนิดนึง เพื่อความเข้าใจอะครับ โดยปรกติที่เรา

ไปตรวจ HIV นั้นหมอเค้าจะให้ตรวจแบบ หา Antibody นั่นคือ ภูมิคุ้มกันที่สร้าง

ขึ้นต่อเชื้อ HIV โดยมากรอ 3 เดือน ซึ่งหากผลเป็นลบ ก็หมายความว่าไม่เจอภูมิ

คุ้มกัน หรือว่าอาจมาตรวจเร็วไป ซึ่งภูมิยังไม่ได้สร้าง .... ส่วนการตรวจ PCR นั้น
 
เป็นการตรวจหาเชื้อในกระแสเลือดโดยตรง ตรวจได้ตั้งแต่ 2 สัปดาห์ขึ้นไป

(หมอบอก) ตรวจได้ตามรพ.ใหญ่ ๆ ที่มี Lab PCR เท่านั้น ค่าตรวจค่อนข้างแพง
 
ความไวสูง หากได้ผลบวกอาจช็อคได้ และไม่ได้นับเป็นการตรวจแบบวินิจฉัย

(ถ้าผลออกมาเป็นลบ ก็ถือว่าแนวโน้มดี) ข้อดีคือรู้ผลเร็ว ไม่ต้องรอ 3 เดือน

สำหรับคนที่เครียดมาก ๆ (แต่ยังไงหมอเค้าก็จะนัดมาตรวจยืนยันด้วย Antibody
 
ที่ 3 เดือนอยู่ดีล่ะครับ) ข้อเสียอีกอย่างคือผลอาจคลาดเคลื่อนได้ หากมีการทาน

ยาต้านป้องกัน เพราะยาต้านจะไปฆ่าเชื้อในกระแสเลือด แม้ผู้ติดเชื้อที่ทานยา

ต้าน ยังอาจสามารถตรวจออกมาผลเป็นลบได้




ส่วนแฟนของผมนั้น หลังจากที่รู้ผลเลือดผ่านไปอีกเดือน เธอก็เริ่มออกอาการโดย

ที่มีอาการเป็นไข้บ่อย และ พอผ่านไปซักพัก ก็ต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะป่วย

ด้วยโรคปอดอักเสบ (อาการแทรกซ้อนของคนที่ติดเชื้อ) เนื่องจาก CD4 ของ

เธอหรือระดับภูมิคุ้มกันเธอต่ำมาก ซึ่งตอนนั้นผมสงสารเธอมาก เพราะเธอ

ต้องออกจากงาน และแถมยังป่วยหนัก และเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่

สุดของเธอและผมก็ว่าได้ เพราะตอนนั้นผมเองก็เครียดมาก ไม่สามารถปรึกษา

ใครได้ ผมเองก็ไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับใคร โดยเฉพาะคนในครอบครัว แค่คิดก็ทุกข์

มากแล้ว นอกจากคนในเว็บของผู้ติดเชื้อ ซึ่งทุกวันนี้ ก็อยากขอบคุณมากที่เป็น

กำลังใจและที่ปรึกษาให้คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน .... พอผ่านไปได้ประมาณ 2

เดือน แฟนผมก็อาการดีขึ้น เพราะโรคแทรกซ้อน ไม่หนักมาก ถือว่ายังโชคดี

ประกอบกับเธอได้รับยาต้านแล้ว ซึ่งก็ทำให้เธอแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวันนี้ ก็

กลับเป็นเหมือนปรกติ แต่ก็ยังมีอาการเศร้าหมอง เป็นบางครั้ง เพราะว่าเธอยังคง

ต้องกินยาจำนวนมาก (ยาวัณโรค เพื่อป้องกันวัณโรคแฝง + ยาต้าน) ซึ่งบาง

ครั้งก็ทำให้เธอท้อบ้าง แต่ตอนนี้ก็เริ่มไม่เป็นไรแล้ว เข้มแข็งขึ้นมากพอสมควร




ของผมเอง แต่ในช่วงเวลาที่มืดมิดของผมนี้ ผมได้เรียนรู้สิ่ง ๆ หนึ่งซึ่งอยากบอก

ให้ท่านผู้อ่าน ได้รับรู้เอาไว้ เพราะเท่าที่เคยอ่าน หนังสือธรรมมะ (จากที่ไม่เคย

แตะมาก่อน) และได้คุยกับคนหลาย ๆ คน ก็คือ ว่าในช่วงระยะเวลาที่เรารู้สึกว่า

ชีวิตเรา กำลังจะถึงจุดจบ เราจะนึกถึงอดีต และเรื่องที่เราเคยทำมา เพราะมันทำ

ให้เราเห็นภาพอย่างชัดเจนเลยว่า เรื่องราวบางอย่างที่เราหลงไปกับภาพมายา

ของมัน วัตถุ แสงสี เสียง ความทะเยอะทะยาน ทั้งหลายนั้น มันหายไปหมดใน

พริบตา ผมแทบไม่เคยคิดถึงสิ่งเหล่านี้ สิ่งเดียวที่ผมนึกถึงในเวลาที่ รู้สึกแย่ที่สุด
 
ท้อแท้ที่สุด เพราะตอนนั้นคิดว่าตัวเองไม่รอดแน่นอน และอาจอยู่ได้อีกไม่นาน

(ตอนนั้นฟุ้งซ่านมาก ๆ เลยครับ ชนิดที่ใครไม่เจอกะตัวเองคงนึกภาพไม่ออก) สิ่ง

ที่ผมนึกถึงนั้นก็คือ ครอบครัวของผม โดยเฉพาะคุณแม่ เป็นความรู้สึกผิดอย่างที่

สุด รู้สึกเหมือนตัวเองอกตัญญูอย่างมาก ว่าบางครั้งเราเคยพูดจาไม่ดีกับท่าน
 
ทำให้ท่านผิดหวังในบางเรื่อง ดื้อบ้างตามประสาวัยรุ่น และสิ่งที่นึกถึงรองลงไปก็

คือเรื่องที่อยากทำในชีวิต และเรื่องที่เราเคยทำแล้วทำไม่ดี ทำไม่เต็มที่ ปล่อย

เวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะคิดว่าเรายังมีวันพรุ่งนี้ และมีเวลาอีก

เหลือเฟือ (พึ่งค้นพบสัจธรรมเลยครับ ว่าความตายนั้นอยู่ใกล้ตัวมาก ๆ ไม่มีทางรู้

ได้เลย ว่าวันพรุ่งนี้จะมาถึงจริงหรือเปล่า) ประกอบกับ ได้เจอได้พูดคุยกับผู้ติด

เชื้อบางท่าน ซึ่งถ้าเดินสวนกัน เราไม่มีทางได้รู้เลยครับ ว่าเค้าคนนั้นติดเชื้อ

เพราะแฟนผมนั้น ทุกวันนี้ ยังอุตส่าห์มีคนมาจีบ โดยที่ไม่รู้ว่าเธอเป็นอะไรนะครับ
 
แต่ก็มีคนนึง ซึ่งรู้ว่าเธอนั้นเป็นอะไร เพราะเป็นคนคนแรก ที่เธอบอกว่าเธอป่วย

ด้วยโรคนี้ และเธอก็บอกว่าเค้าเป็นคนดีไว้ใจได้ ไอผมเองก็สงสัยมานานแล้วว่า

มันมีไรในกอไผ่ป่าววะ จนตอนหลังเธอก็บอกว่า คนคนนี้ มาชอบเธอนานแล้วแต่

เธอคิดแค่เพื่อน และ ช คนนี้ยังเคยมาขอคบกับแฟนผม (ทุกวันนี้เราก็ยังคบกันอยู่

นะครับ และเค้าก็รู้นะครับว่าเรายังคบกัน แต่เราไม่ได้มีอะไรกันแล้ว ไม่กล้าอะ)

เลยทำให้รู้สึกว่า ในโลกนี้ยังอุตส่าห์มีคนดีขนาดนี้หนอ รู้ทั้งรู้ว่าแฟนผมเป็นอะไร
 
ยังมาขอคบกันดื้อ ๆ ทำเอาผมยอมรับเลยครับ ว่าคนดีขนาดนี้ยังมีหลงเหลือ




จะว่าไป ตลอดหลายเดือนที่เข้าออกเว็บ เกี่ยวกับโรคเอดส์ทั้งไทยและเทศ เพื่อ

หาข้อมูลก็ได้พบว่า เรื่องพวกนี้มันอยู่ใกล้ตัวจริง ๆ และกลุ่มของผู้ติดเชื้อนั้น เริ่ม

เด็กลงเรื่อย ๆ และมีทุกชนชั้นสังคม และต่อไปนี้เป็นเรื่องราวต่าง ๆ (ของผู้ที่

โชคดีนะครับ คือมีไรกับผู้ติดเชื้อแล้วตัวเองไม่ติด) คนแรกที่ผมได้รู้จักนั้น คือคุณ

นิกกี้ (อายุ 25 ปี) เค้าเคยมาตอบคำถามให้ผม ในเว็บ aidsaccess ซึ่ง เค้าเองก็

เป็นคนที่มีแฟนเป็นผู้ติดเชื้อ ไม่ได้ป้องกัน กันเป็นเดือน จนกระทั่งแฟนเค้าไป

ตรวจสุขภาพแล้วตรวจเจอ แต่ก็ยังถือว่าโชคดีที่ผ่านพ้นไปได้ แต่ก็ต้อง

ทรมานอยู่ 1 ปี เต็ม ๆ กับการรอลุ้นผลเลือด ....



คนที่สองนั้น คือคุณ oh ซึ่งเป็นหนุ่มวัยกลางคน (อายุประมาณ 32-33 ปี) โดย

คุณ oh นั้น ได้ซื้อบริการจากเด็ก Pirch และประมาทไม่ได้ใช้ ถุงยางอนามัยด้วย

เหตุผลอะไรไม่ทราบได้ (อาจเพราะเห็นว่าเด็กมันเอาะ อะป่าวก็ไม่รู้) สุดท้าย

หลังจากนั้น 2-3 วันแก เกิดไม่สบายใจ พาเด็กคนนั้นไปตรวจเลือด ปรากฏว่า

เจอแจ็คพ็อตครับ นั่งเครียดไป อีก 3 เดือนเหมือนกัน แถมหมดค่าตรวจไปเป็น

หมื่น เพราะแกเล่นตรวจ PCR ที่รพ.กรุงเทพไป 3 รอบ (รอบละไม่ต่ำกว่า 3000
 
บาท) จะว่าไปผมเองก็เสียค่าตรวจเลือดเป็นหมื่นเหมือนกันมั้งครับ เพราะไหนจ

ะ PCR 2-3 รอบ แล้วไหนจะตรวจ ไวรัสตับ A B C ไหนจะภูมิคุ้มกันไวรัสตัอัก

เสบ A และ B ... ซิฟิลิส ... มะเร็งไทรอยด์ .. มะเร็งอื่น ๆ ที่สามารถใช้เลือด

ตรวจได้ ระดับน้ำตาล ระดับไขมัน คุณภาพเม็ดเลือด ที่ตรวจนี่เพียงเพื่อเหตุผล

เดียวนะครับ คือว่ากังวลร่างกายเราปรกติหรือเปล่า เพราะสภาพร่างกายมีผลต่อ

ความเร็วในการสร้างภูมิคุ้มกัน เพราะโดยปรกติ Antibody ต่อเชื้อ HIV สร้างเร็ว

สุดตั้งแต่ 3 สัปดาห์เป็นต้นไป ตรวจพบได้ที่ 8 สัปดาห์ แต่ที่เค้าบอกกัน 3 เดือน

นี่ คือเพื่อให้ครอบคลุมคนส่วนใหญ่อะครับ (ประมาณ 99%) และ 6 เดือน เพื่อที่

จะชัวร์ 100% (บางข้อมูลบอกว่าต้อง 1 ปี ไม่รู้ข้อมูลเก่าอะป่าว) แต่เอาเป็นว่า
 
CDC และหมอด้านโรคติดเชื้อที่ผมเคยปรึกษาบอกว่า 6 เดือน ...



มาต่อกันกับคนที่ 3 ที่ผมรู้จักนั่นก็คือ คุณเป็ด อายุตอนนี้ ประมาณ 22 ปี เรียน

มหาลัยรัฐชื่อดังครับใกล้จะจบแล้ว ส่วนแฟนของเป็ดก็เรียน มหาลัยเอกชนชื่อดัง
 
คนละที่กะผม เอาเป็นว่า เคสแกก็จะคล้าย ๆ กับผมครับ แต่แฟนแกเจ้าชู้ กิ๊ก

เยอะ และเป็ดเองก็ไม่เคยยุ่งกับแฟน แต่ก็ยอมทนในความเจ้าชู้ของแฟน จน

กระทั่งวันนึง ได้มีอะไรกันขึ้นมา โดยที่เป็ดนั้น ได้ป้องกันแล้ว แต่แฟนแกไม่

ยอมและได้ถอดถุงยางทิ้งไป แล้วมีอะไรกัน เพราะเธอคิดว่าการใช้ถุงยางเป็น

การดูถูกเธอ จนผ่านไปไม่กี่วัน เป็ดแกก็ไม่สบายใจ เพราะรู้ว่าแฟนนั้นกิ๊กเยอะ

เลยพาไปตรวจ ซึ่งก็ได้ทะเลาะกันพอสมควรก่อนที่จะยอมไปตรวจ แต่ที่ฝ่าย ญ

ไปตรวจก็คงเพราะว่ามั่นใจว่าตัวเองนั้นไม่ได้เป็นอะไร ปรากฎว่าแจ็คพ็อตครับ

ฝ่าย ญ เลือดบวก ... น้องเป็ดบอกว่าตอนนั้น เครียดแทบบ้าเลยครับ (ผมก็เข้า

ใจความรู้สึกเค้าอะครับ) แต่ตอนนี้ ก็ครบ 1 ปีแล้ว ผลเลือดของน้องเป็ดเค้าเป็น

ลบ (ถือว่าปลอดภัยแล้ว) เพียงแต่ว่า หลังจากรู้ผลเลือดแกก็ไม่ได้ติดต่อกะแฟน

แกอีกเลยครับ ซึ่งผมกะเค้าก็คิดกันว่า กลัวแฟนเป็ดเค้าจะไปแพร่เชื้อให้คนอื่น

เพราะว่ามีกรณีอย่างนี้อยู่บ่อย ๆ ซึ่งข้อมูลตรงนี้ มาจากผู้ที่ทำงานคลุกคลีกะผู้ติด

เชื้อ



และก็มีคนที่เจอมากะตัวจัง ๆ แต่ตอนนี้ผลเลือดยังเป็นลบอยู่ นั่นคือคุณ y

เคสนี้ คือ แฟนฝ่าย ญ เค้ารู้อยู่แล้วนะครับ ว่าตัวเองมีเชื้อ แต่ไม่ยอมบอกฝ่าย ช
 
แถมยังไม่ป้องกัน เพราะจงใจทำให้ติดไปด้วย แกบอกว่า แฟนแกบอกตรง ๆ

เลยครับ หลังจากที่คบไปได้ 2-3 เดือน (ที่บอกอาจคิดว่า ฝ่าย ช คงไม่รอดแล้ว

มั้ง) แต่ทุกวันนี้ คุณ y ยังรอผลเลือดอยู่ ซึ่ง เดือนหน้า ก็จะครบ 3 เดือน ก็ได้แต่

หวังว่า เค้าจะโชคดีผ่านพ้นไปได้



นอกจากนี้ผมเองยังได้คุยกับผู้ติดเชื้ออีกหลายท่าน ผ่านทาง MSN ซึ่งก็ทำให้

ได้รู้เรื่องราวว่า ส่วนใหญ่นั้น หลายท่านมาก ๆ ครับ ที่เป็นคนที่ไม่ได้มีพฤติกรรม

เสี่ยงใด ๆ เลย แต่ก็โชคร้าย ติดมาจากสามี หรือ ภรรยา หรือ แฟนตอนสมัยเรียน
ซึ่งแต่ละคนก็เข้าใจว่าไม่ได้มีเจตนา แต่ก็ประมาท เพราะไม่ได้ตรวจเลือดก่อน

แต่งงาน จึงอยากบอกให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายรับทราบว่า เกินกว่าครึ่งของผู้ติด

เชื้อนั้น ไม่ได้เป็นคนสำส่อน หรือมีพฤติกรรมเสี่ยงแต่อย่างใน หากแต่ประมาท

เพราะไว้ใจในคู่ของตัวเอง และความคิดที่ว่าเรื่องพวกนี้นั้นห่างไกลจากตัวเอง ...
และอีกเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งจากการที่ได้รับรู้ข้อมูลจากคนที่ได้ทำงานด้าน

นี้ นั่นก็คือ เด็กสมัยนี้มีเพศสัมพันธ์กันตั้งแต่อายุยังน้อย และมีพฤติกรรมที่ชอบ

เปลี่ยนคู่นอน โดยที่ส่วนใหญ่ไม่ได้ป้องกัน ประกอบกับ เนื่องด้วยปัจจุบัน ทาง

การแพทย์มีตัวยามากมายที่ช่วยยืดอายุของผู้ติดเชื้ออยู่ได้จนแก่เฒ่า จึงทำให้มี

เด็กที่เป็นผู้ติดเชื้อ (ติดเชื้อมาตั้งแต่ตอนคลอด จากแม่ที่มีเชื้อ) ซึ่งเด็กเหล่านี้

บางคนเป็นเด็กมีปัญหา เพราะว่าถูกกดดันจากสังคม ถูกคนรอบข้างที่ไม่เข้าใจ

เค้ารังเกียจ ไหนบางคนพ่อแม่ก็เสียชีวิตไปก่อนด้วยโรคแทรกซ้อน และพอแกโต

เป็นวัยรุ่นก็กลายเป็นเด็กวัยรุ่นใจแตก ต้องการความรักความอบอุ่น บางครั้งจึง

ง่ายต่อการที่จะมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งหากมีเด็กคนไหนไปยุ่งด้วย แล้วเกิดติดเชื้อขึ้น

มา ก็มีแนวโน้มว่าจะติดกันไปเป็นทอด ๆ เพราะเด็กเหล่านี้ เปลี่ยนคู่กันบ่อย และ

ที่ร้ายแรงที่สุด คือเด็กมีโอกาสได้รับเชื้อที่ดื้อยา นั้นหมายถึงเชื้อที่มีความรุนแรง

กว่าปรกติ ... ดังนั้นจะสังเกตได้ว่า สถิติของผู้ติดเชื้อหลัง ๆ จะพบว่าเป็นวัยรุ่น

เสียส่วนใหญ่ จึงอยากให้ทุกท่านได้โปรดมีความเข้าใจ และอย่ารังเกียจผู้ติดเชื้อ
 
เพราะ HIV นั้นไม่ได้ติดต่อกันง่าย ๆ ทางอากาศ หรือ ทางสัมผัสง่าย ๆ ทั่วไป

(โดยไม่มีน้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำคัดหลั่ง เข้ามาเกี่ยวข้อง) ผู้ติดเชื้อต่างหากที่

ต้องเป็นฝ่ายกลัวคนปรกติ เพราะว่าภูมิคุ้มกันของผู้ติดเชื้อนั้นน้อยกว่าเป็นทุนเดิม
 
จึงทำให้เสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนมากกว่าคนธรรมดาหลายเท่านัก



สำหรับจุดประสงค์ที่ผมมาเขียนบอกเล่าเรื่องราวให้ทุกท่านได้อ่าน ก็คือ อยาก

ให้บทเรียนและประสบการณ์ของผมนั้น เป็นประโยชน์กับตัวของทุก ๆ คน โดย

เฉพาะน้อง ๆ ที่ยังอยู่ในวัยเรียน และผู้ที่มีความคิดอย่างผม ที่ว่าไม่น่าจะอยู่ใกล้

เรื่องพวกนี้ อยากบอกว่าเป็นความคิดที่ผิด ๆ นะครับ เพราะผมเองก็ถือว่าที่บ้านมี

ฐานะ อยู่ในสังคมเดียวกับ พวกคุณนั้นแหละครับ เที่ยวก็เที่ยวตามที่วัยรุ่นทั่วไป

เค้าไปกัน เพราะว่า เรื่องอย่างนี้ หากคุณได้ไปคุยกับคุณหมอด้านโรคติดเชื้อ

หรือคนที่ทำงานด้านนี้ จะรู้ว่ามันไม่ได้ไกลตัวอย่างที่คิด และมีทุกระดับชนชั้น

ตั้งแต่กรรมกร ยันระดับ ผู้บริหาร เพียงแต่เรื่องเช่นนี้ มันยังไม่เป็นที่ยอมรับกันใน

สังคม คนจึงไม่ค่อยเปิดเผย ยิ่งคนที่มีฐานะและมีหน้ามีตายิ่งไม่เปิดเผย แถมผู้

ติดเชื้อบางคน (ส่วนน้อยมาก ๆ นะครับ) ยังมีเจตนาที่จะแพร่เชื้อ และบางคนก็

ยังคงไม่สะทกสะท้าน ใช้ชีวิตอย่างเสี่ยง ๆ ต่อไป ทั้ง ญ ..ทั้ง ช และ เกย์ จึง

อยากให้ทุกท่านอย่าใช้ชีวิตอย่างประมาท เพราะเหตุการณ์แบบนี้ หากพลาดไป

แล้วไม่มีโอกาสได้แก้ตัวนะครับ และผมเองก็อยากขอบคุณ ทุก ๆ ท่านที่เคยให้

คำปรึกษาและเป็นกำลังใจให้ผม ในยามที่ผมเครียด ท้อแท้ และสิ้นหวัง

กระผม Tatee อยากจะขอขอบคุณ

คุณหมอTCom และ คุณหมออภิภู จากเว็บ thaiclinic.com

คุณหมอรุ่งโรจน์ ตรีนิติ จากเว็บ clinicrak.com

คุณหมอ 075 จากเว็บ sirirajonline.com

คุณแก้ว จาก เอดส์ไดอารี่ และ คุณ MT แก้ว จากเว็บ kaewdiary.com

คุณตะวัน คุณแม่ธิดา คุณ POP คุณก้าป้าก้อยคุณลูซี่คนสวยจากเว็บittirak.com

คุณนิกกี้ .. คุณน้ำตกหมู .. คุณ krissthและคุณPaperจากเว็บ aidsaccess.com

คุณ kiss และคุณ devil จากเว็บ hadviser.com

และทุก ๆ ท่าน ที่เคยได้มีโอกาสพูดคุย ตอบคำถามผม และเป็นกำลังใจให้ผม

สุดท้ายนี้ ผมอยากบอกว่า ผมยังจำความรู้สึกตอนนั้น(ตอนที่รอผลเลือด)ได้อย่าง

ไม่ลืมเลือน มันทรมานมาก ๆ เลยนะครับ ทั้งเครียดทั้งฟุ้งซ่าน ทุกวันนี้ยังไม่เคย

ลืมเลือน ผมนั้นอาจจะยังถือว่าโชคดี แต่ถึงกระนั้น ก็อาจมีคนมากมายที่ไม่ได้รู้ว่า
 
ตัวเองนั้นอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือเปล่า เลยทำให้มีพฤติกรรมที่ประมาท ซึ่งหลายคน

นั้นได้พลาดพลั้งโชคร้าย ติดเชื้อมา และมันเป็นเรื่องที่เราไม่สามารถจะขอแก้ตัว

ได้อีกเป็นครั้งที่ 2 ... และที่น่าสงสารที่สุดคือ คนบางคนซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่ อาจ

เป็นสามี หรือ ภรรยา หรือ ลูก หรือแฟนใหม่ หรือ คนที่คุณรัก ต้องมารับเคราะห์

กรรม นั่นคือเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ต่อจากคุณไปอีก ไหนจะทำให้คนที่บ้านหรือคน

ที่รักคุณต้องเสียใจไปกับคุณด้วย ... ดังนั้นผมจึงอยากเตือนว่า เรื่องพวกนี้มัน

ใกล้ตัวจริง ๆ ครับ อย่าประมาทดีกว่า แม้ว่าคุณเองนั้น อาจไม่ใช่คนสำส่อน มี

แฟนมากหน้าหลายตา หรือไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน เพราะตราบใด ที่คุณมีเพศ

สัมพันธ์ แม้เพียงครั้งเดียวแล้วไม่ได้ป้องกัน ตราบนั้นก็ถือว่าคุณเป็นคนที่มีความ

เสี่ยงครับ นอกจากนี้ยังเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เช่น ไวรัสตับ

อักเสบบี (ร้ายแรงพอกัน) หรือ เริม (อันนี้ป้องกันด้วยถุงยางอนามัยไม่ได้นะ

ครับ) และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งถ้ามีเวลาจะสรุปจากข้อมูลที่ได้มาเป็นประโยชน์

แก่ท่านผู้อ่านต่อไปนะครับ รวมถึงเรื่องราวและระยะเวลาของการตรวจเลือดด้วย

ครับดังนั้นผมจึงอยากรบกวนท่านผู้อ่านช่วยเผยแพร่บทความนี้ต่อ ๆ กันไป เพื่อ

ให้เป็น บทเรียน...ความรู้...เป็นอุทาหรณ์...ช่วยเพิ่มความระมัดระวังในการมีเพศ

สัมพันธ์ หรือเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน เพียงเท่านี้ ผมก็ดีใจแล้วล่ะครับ เพราะไม่

อยากให้ใครต้องมาเสียใจ หรือรู้สึกผิดกับความประมาทของตัวเองทีหลังเหมือน

ผม เพราะไม่ใช่ว่าใครจะโชคดีกันได้ทุกคน พลาดเพียงครั้งเดียวอาจเสียใจไป

ตลอดชีวิต ... ขอบคุณครับ




P.s ขอขอบคุณบทความจาก -`๏- มิสเกรนเจอร์ -`๏-

เอดส์: ประสบการณ์จริง เรื่องที่ไม่ควรประมาท


เอดส์: ประสบการณ์จริง เรื่องที่ไม่ควรประมาท


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์