แงๆ หนูโดนแกล้งในที่ทำงาน

พูดไปก็เหมือนโกหก ออฟิศที่คุณทำงานกลายเป็นโรงเรียนที่มีแต่เด็กๆ คอยแกล้งกันอยู่ตลอด ถ้าหยอกกันขำๆ คงไม่เป็นไร แต่ถ้ากลายเป็นสงครามก่อการร้าย ใช้วิธีต่างๆ ให้คุณทนไม่ไหว ไม่อยากไปทำงาน เครียดจนงานไม่เดิน คุณจะเลือกลาออกเองหรือลองสู้ดูสักตั้งดี

แผนจู่โจมที่ 1
หลบหน้าไม่ได้แปลว่าแพ้ บางคนอาจมองว่าถ้าเราอยู่เฉยๆ ไปซะ ทำให้ดูเป็นคนขี้ขลาดและอ่อนแอเกินไป แต่นี่ล่ะที่บอกว่าคุณมีความเป็นผู้ใหญ่มาก ยกเว้นมีเรื่องจำเป็นเท่านั้น แต่ต้องระวังคำพูดสิ่งที่จะคุยเพราะทุกเรื่องเขาสามารถหยิบมาใส่ความคุณเพิ่มก็ได้
 

แผนจู่โจมที่ 2
เผชิญหน้ากันไปเลย ไม่ใช่รวมหัวคิดแก้เผ็ดคนนั้นคืน แต่บางครั้งเราควรเตือนให้เขารู้สิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ เคลียร์กันไปเลยและต้องไม่ใช้อารมณ์เด็ดขาด ถ้าไม่มีเหตุผลที่ฟังได้ก็ต่างคนต่างอยู่ดีกว่า
 

แผนจู่โจมที่ 3
แกล้งนักรักซะเลย วิธีนี้นางเอกมากๆ คือทำดีกับเขากลับ พูดเพราะๆ ยิ้มให้ ไม่ต้องสนว่าเขาจะต้องดีตอบกับคุณทันที่ครั้งแรก ทำไปเรื่อยๆ เมื่อเราชื่นชมว่าสิ่งที่เราทำดี  จิตใจที่คิดไม่ดีของคนอื่นอาจจะเปลี่ยนพลิกกลับอย่างไม่น่าเชื่อ จากตอนแรกที่เขาแกล้งเพราะไม่ชอบที่คุณแต่งตัวจัด กลายเป็นคิดใหม่ว่าข้างในของคุณก็เป็นคนนิสัยดี น่าเป็นเพื่อนด้วยจัง
 

แผนจู่โจมที่ 4
คบเพื่อนดีๆ เป็นเพราะกำบัง เวลาที่คุณได้คบกับเพื่อนดีๆ ซึ่งจริงใจและรักคุณแบบไม่หวังอะไร พอคุณเจอคนคิดไม่ซื้อเอาไปเมาส์ เพื่อคุณจะคอยอธิบายให้คนอื่นรู้ว่ากำลังกำลังเข้าใจผิดอยู่และความจริงคืออะไร สุดท้ายแล้วคนที่แกล้งคุณก็จะโดนมองว่าเป็นเด็กเลี้ยงแกะแบบไม่ต้องสงสัย
 

แผนจู่โจมที่ 5
ได้เวลาฟ้องคุณครูแล้ว ถ้าทำทุกอย่างแล้ว ถ้าทำทุกอย่างแล้วแต่เขายังไม่หยุด คงต้องพึ่งคนที่มีอำนาจสูงกว่าแล้ว เช่น เล่าให้หัวหน้าแผนกฟังและถามว่าจะทำยังไงกับคนๆ นี้ดี จำไว้ว่าคุณไม่ได้ตั้งใจจะเอาเรื่องแต่จนปัญญาจะแก้ไข ก่อนเข้าไปคุย คุณควรมีพยานที่รู้เห็นเหตุการณ์เอาไว้อ้างถึงและคอยช่วยเล่าในมุมของเขาบ้าง