โรคอ้วนในเด็ก แค่ไหนถือว่าอ้วน

โรคอ้วนในเด็ก แค่ไหนถือว่าอ้วน



เกณฑ์การตัดสินภาวะอ้วนในเด็กทำได้ยากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากเด็กเป็นวัยที่กำลังเจริญเติบโต
มีน้ำหนักและส่วนสูงเพิ่มขึ้นตลอด ปัจจุบันตัวชี้วัดความอ้วนที่นิยมใช้กันในเด็กคือน้ำหนักตัว
ที่เหมาะสมกับความสูงนั้น ๆ (Weight for Height) และดัชนีมวลกาย
(Body Mass Index
หรือเรียกย่อ ๆ ว่า BMI)







ซึ่งคำนวณได้จากน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัมหารด้วย




ส่วนสูงเป็นเมตรยกกำลังสอง หน่วยเป็นกิโลกรัมต่อตารางเมตร ในผู้ใหญ่เราจะถือว่ามีภาวะ
น้ำหนักเกิน (Overweight) เมื่อ BMI มีค่าเกิน 25 และจะถือว่าอ้วนเมื่อ BMI เกิน 30 ในภาวะปกติ
ทั้งเด็กชายและหญิงจะมี BMI เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ตามวัยโดยมีค่ำต่ำสุดในช่วง 13.5-18
ระหว่างอายุ 4-6 ขวบ หลังจากนั้น BMI จะเริ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในประเทศไทยเราถือว่าเด็กอ้วน
เมื่อน้ำหนักตัวที่เหมาะสมกับความสูงนั้น ๆ มีค่าเกิน 120% ของปกติ ส่วนในบางประเทศเช่น
อเมริกา ถือเกณฑ์เด็กอ้วนเมื่อ BMI เกิน percentile ที่ 95 ของอายุนั้น ๆ เป็นที่น่าเสียดายว่า
ปัจจุบันในเด็กไทยยังไม่มีการทำกราฟมาตรฐานของ BMI ในแต่ละช่วงอายุ ดังนั้นเมื่อผู้ปกครอง
สงสัยว่าลูกจะอ้วนหรือเปล่าควรให้กุมารแพทย์เป็นผู้ประเมิน ปัจจุบันเด็กไทยราว ๆ 14-15%
เป็นเด็กอ้วน







สาเหตุหลัก ๆ ของโรคอ้วนในเด็ก
95% ของโรคอ้วนในเด็กเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน เช่นได้รับพลังงานจากอาหารเกินกว่าที่ร่างกาย
ใช้ไป ร่วมกับมีปัจจัยเสี่ยงบางอย่าง เช่น ประวัติอ้วนในครอบครัว พบว่าเด็กที่มีพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่ง
อ้วนจะมีโอกาสเป็นเด็กอ้วนเพิ่มขึ้น 4-5 เท่าเทียบกับเด็กปกติ แต่จะเพิ่มขึ้นเป็น 13 เท่าถ้าทั้งพ่อและ
แม่อ้วน อย่างไรก็ตามยังมีเด็กอ้วนอีกส่วนหนึ่งที่เกิดจากความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ เช่นโรคขาด
ไทรอยด์ฮอร์โมน, Growth hormone, Cushing’s syndrome , ความผิดปกติของการหลั่งอินสุลิน,
ภาวะพร่องหรือดื้อต่อฮอร์โมนเลปติน หรือโรคทางพันธุกรรมบางอย่างที่มีภาวะอ้วนเป็นหนึ่งในอาการ
แสดงของโรค เช่น Prader-Willi Syndrome เด็กกลุ่มที่เสี่ยงต่อโรคอ้วนคือ เด็กที่แรกเกิดมีน้ำหนักตัว
มากหรือน้อยกว่าปกติ, เด็กที่มีพ่อแม่อ้วน, เด็กที่เริ่มอ้วนตั้งแต่อายุน้อย ๆ ก็ยิ่งมีโอกาสเป็นผู้ใหญ่อ้วน
มากขึ้น นอกจากนี้ภาวะโภชนาการเกินในวัยทารกก็เป็นอีกปัจจัยเสี่ยงหนึ่ง ทารกที่กินนมผสมจะมีโอกาส
เป็นเด็กอ้วนได้ง่ายกว่าเด็กที่กินแต่นมแม่ และเด็กที่กินนมแม่เป็นระยะเวลานานจะมีโอกาสเป็นเด็กอ้วน
ได้น้อยกว่าเด็กที่กินนมแม่เพียงช่วงสั้น ๆ





ผลกระทบหรือภาวะแทรกซ้อนในเด็กอ้วน
ผลกระทบที่สำคัญที่สุดในเด็กอ้วนคือการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่อ้วน ในต่างประเทศมีการศึกษาพบว่าผู้ใหญ่
ที่อ้วนมาก ๆ จะมีอายุสั้นกว่าปกติถึง 5-20 ปี
ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยในเด็กอ้วนคือความผิดปกติของข้อ
ที่รับน้ำหนักมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อเข่า




นอกจากนี้บางคนยังนอนกรนหรือหยุดหายใจตอนกลางคืนจากภาวะทางเดินหายใจถูกอุดกั้น ซึ่งถ้าเป็นเรื้อรัง
โดยไม่ได้แก้ไขอาจเกิดภาวะหัวใจวายตามมาได้ นอกจากนี้ยังอาจพบโรคเบาหวาน ซึ่งปัจจุบันเริ่มพบในเด็ก
อายุน้อยลงเรื่อย ๆ บางรายอาจมีผิวหนังบริเวณคอ, รักแร้, ขาหนีบ ข้อพับดำคล้ำ (Acanthosis Nigricans)
ซึ่งเกิดจากภาวะฮอร์โมนอินสุลินในเลือดสูง สีคล้ำของผิวหนังดูเผิน ๆ เหมือนขี้ไคล แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่
ไม่สามารถทำให้จางลงได้ด้วยการถูหรือใช้ครีมใด ๆ ทา แต่สามารถจางลงได้เมื่อลดน้ำหนัก ผิวหนังสีคล้ำนี้
เป็นสัญญาณเตือนว่าถ้าไม่ลดน้ำหนัก ท้ายที่สุดเด็กคนนั้นก็จะมีโอกาสเป็นเบาหวานสูงในอนาคต โดยอาจมี
อาการเริ่มต้นที่พ่อแม่สังเกตได้คือกินจุแต่ผอมลง หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย หรือบางรายอาจมีปัสสาวะรด
ที่นอนตอนกลางคืน ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจพบได้คือไขมันในเลือดสูง ซึ่งสามารถตรวจพบได้จากการ
เจาะเลือด ส่วนใหญ่พบว่าดีขึ้นเมื่อลดน้ำหนักตัวลง มีเพียงน้อยรายที่ต้องทานยาเพื่อลดระดับไขมันในเลือด
ภาวะมันจุกตับ ก็เป็นอีกภาวะหนึ่งที่พบได้ในเด็กอ้วนที่มีไขมันในเลือดสูง ภาวะนี้จะหายได้เช่นกันเมื่อลด
น้ำหนักตัวลง






วิธีรักษาหรือแก้ไข
ปัจจุบันยาลดความอ้วนในเด็กยังมีที่ใช้น้อยมาก และมีข้อบ่งชี้ในโรคอ้วนบางอย่างเท่านั้น การศึกษาส่วนใหญ่
ทำในผู้ใหญ่ ดังนั้นในเด็กส่วนใหญ่จะเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมากกว่า ในเด็กเล็กการควบคุมน้ำหนักตัว
ให้คงที่แทนการลดน้ำหนักเป็นวิธีหนึ่งที่ใช้ได้ โดยอาศัยหลักการว่าเมื่อเด็กโตขึ้น ส่วนสูงเพิ่มขึ้น จะทำให้ BMI
ลดลง ส่วนในเด็กโตหรือวัยรุ่นการควบคุมน้ำหนักให้คงที่อาจไม่เพียงพอ ต้องลดน้ำหนักโดยการควบคุมอาหาร
ร่วมกับออกกำลังกาย ในแง่ของอาหาร พบว่าการดื่มน้ำอัดลมหนึ่งกระป๋องต่อวันสามารถทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
ถึง 7 กิโลกรัมต่อปี ดังนั้นวิธีที่ง่ายที่สุดในการควบคุมอาหารคือการงดดื่มน้ำหวาน, น้ำผลไม้, หรือน้ำอัดลม
ถ้าอยากดื่มน้ำอัดลมอาจเปลี่ยนเป็นชนิด diet ที่มีสารให้ความหวานเทียมแทนน้ำตาล หรือถ้าอยากดื่มน้ำผลไม้
ให้เปลี่ยนเป็นเจือจางลงเท่าตัวหรือให้กินผลไม้เป็นลูก ๆ แทน ซึ่งมีประโยชน์มากกว่าเนื่องจากผลไม้จะมีเส้นใย
อยู่ด้วยซึ่งย่อยและดูดซึมช้ากว่าน้ำผลไม้เปล่า ๆ หรือน้ำหวานมาก ทำให้อิ่มท้องได้นานกว่า นอกจากนี้การ
ออกกำลังกายอย่างน้อย 20-30 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์ก็ทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานส่วนเกินได้มากขึ้น
ช่วยให้การลดน้ำหนักได้ดีขึ้นด้วย นอกจากนี้ถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงของทอดของมัน โดยเฉพาะพวก fast food
เนื้อสัตว์ที่เคยทอด อาจจะต้องเปลี่ยนเป็นวิธีปรุงโดยการต้มแทน การทอดอาหารถ้าเป็นไปได้ให้ใช้กระทะ Teflon
ที่ไม่ติดน้ำมัน จะทำให้ใช้น้ำมันน้อยกว่า ที่สำคัญที่สุดในการรักษาโรคอ้วนในเด็กคือ ผู้ปกครองและทั้งครอบครัว
ต้องให้กำลังใจและปฏิบัติตนให้เป็นตัวอย่างแก่เด็กด้วย


ขอบคุณ : postjung

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์