โอบกอด สุข - ทุกข์ไว้เป็นหนึ่งเดียว

โอบกอด สุข - ทุกข์ไว้เป็นหนึ่งเดียว


โอบกอด สุข- ทุกข์ไว้เป็นหนึ่งเดียว

          ในงานเปิดตัวนิตยสาร คุณหญิงจำนงศรี หาญเจนลักษณ์ ได้กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า “ตัวเองอายุ 68 แล้วผ่านอะไรที่สุดโต่งมามากมาย เคยมีความทุกข์หนักขนาดคิดฆ่าตัวตายก็เคย คิดเสมอว่าชีวิตที่ผ่านมานั้นเป็นโชค มองว่าความทุกข์กับความสุขเป็นเนื้อเดียวกัน พอถึงจุดหนึ่ง        

          ประโยคที่สะดุดใจมากที่สุดจนกลายมาเป็นหัวข้อของบทความนี้คือ “มองว่าความทุกข์กับความสุขเป็นเนื้อเดียวกัน” นี่เป็นคำกล่าวของผู้ผ่านโลก นักปฏิบัติธรรม ทำกิจกรรมช่วยเหลือสังคมไว้มากมายและที่สำคัญคือท่านเป็นผู้ที่เข้าใจชีวิตเป็นอย่างดี วันนี้ถ้าได้นำสิ่งที่ท่านพูดไว้มาเพ่งพินิจกันให้ลึกซึ้ง ก็น่าจะเป็นประโยชน์มากทีเดียว

          มีผู้ให้ความหมายคำว่า สุข แล ทุกข์ ไว้แตกต่างกันมากมาย ทั้งที่เกี่ยวเนื่องด้วยธรรมะในศาสนา ปรัชญา และที่เป็นภาษาทางจิตวิทยา จนถึงคำที่ชาวบ้านใช้พูดคุยในชีวิตประจำวัน วันนี้เราจะเลี่ยงไม่พูดลึกลงไปในเรื่องทฤษฏีวิชาการใด ๆ แต่เราจะพูดถึงสุขทุกข์ที่ตรงลงไปในหัวใจ ในฐานะส่วนที่เป็นความรู้สึกในใจของปุถุชนเราๆท่าน ๆ กับความสุข-ทุกข์แบบติดดิน แบบที่เป็นพื้นๆที่สุด โดยที่ไม่ต้องไปเรียนรู้จากที่ไหน เพราะสุข-ทุกข์อยู่ในใจนี่แล้ว สุข-ทุกข์ในฐานะที่เป็นสิ่งที่พบเจอทุกเมื่อเชื่อวัน ไปไหนไปด้วยเป็นคู่กันกับชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย เรียกว่าเป็นเพื่อนแท้ของชีวิตก็ว่าได้


          ผมเฝ้ามองชีวิต วันที่สมหวังก็มีความสุข วันที่ผิดหวังก็มีความทุกข์ มากน้อยแตกต่างกัน ขึ้นกับเรื่องราวที่เข้ามา ที่พอทำใจได้ก็ให้มันผ่านเลยไปหรือลืมไป จะได้ไม่ต้องคิดถึงอีก แต่ที่ยังทำใจไม่ได้มันทุกข์นะ กฎ “หาทางดับทุกข์” กันไป ที่แก้ไขก็ทุกข์น้อยลง ถ้าแก้ไม่ถูกวิธีก็อาจจะยิ่งทุกข์มากขึ้น แบบทุกข์แล้วทุกข์อีก ทุกข์ซ้ำซาก ชีวิตก็วนเวียนอยู่กับทุกข์และการแก้ทุกข์ ตั้งแต่ตื่นจนหลับ แล้วก็โหยหิวหาสุขที่เป็นความพึงพอใจ สบายใจ สนุกเบิกบานใจ มาช่วยเติมแต่งชีวิตจิตใจให้รู้สึกดีขึ้น ทั้งต่อตนเอง คนที่รัก และผู้อื่น สังเกตช่วงเวลาที่มีทุกข์ดูช่างยาวนานเหลือเกิน เหมือนวันเวลายืดออกได้มีคนเคยพูดว่า “ในห้วงแห่งทุกข์เวลาทุกวินาทีช่างผ่านไปได้ยากเหลือเกิน” แต่ช่วงเวลาความสุขกลับผ่านไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเมื่อมองให้ลึกลงไปในใจ ความปรารถนาและความต้องการของทุกคนก็คือ “ปรารถนาสุข ต้องการพ้นทุกข์” ด้วยกันถ้วนหน้า เราทุกคนจึงเป็น “เพื่อนร่วมสุข-ทุกข์” ในยานอวกาศลำใหญ่ที่มีชื่อว่า “โลก” ยานลำนี้กำลังท่องเที่ยวไปในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด รู้แบบนี้เราก็ไม่ต้องเหงาแล้ว เพราะไม่เคยมีใครต้องโดดเดี่ยวหรือพบเจอความทุกข์ตามลำพังเลย ดีใจจัง เรามีเพื่อนมากมาย


          เวลาที่เราเห็นใครเขามีความสุข ทำอะไรได้สำเร็จ ดูเหมือนเราจะยิ่งทุกข์มากขึ้น เหมือนจะมาตอกย้ำให้เห็นความล้มเหลวในชีวิตพานคิดไปว่า “ทำไมเขาสุขมากกว่าเรา ทำไมเรายังทุกข์” แต่มองดูดี ๆ ตอนที่เขาทุกข์ เราไม่ได้เห็น หรือเขาก็ไม่ได้มาเล่าให้ฟัง เขาอาจจะเคยทุกข์ กำลังทุกข์ หรือกำลังจะทุกข์มากกว่าเราก็ได้ ฉะนั้นเวลาที่เรามีทุกข์ใจใดๆก็ตาม หมายถึงเรากำลังได้เป็น “ประจักษ์พยาน” ผู้รู้เห็นความทุกข์ของมนุษยชาติเลยทีเดียว เราจะได้พูดเต็มปากว่าเรารู้เราเห็นทุกข์ เท่า ๆ กับเพื่อนร่วมโลกทุกคน อย่างที่ไม่น้อยหน้าใครเลย


          ผมลองค้นหาคำว่าความสุข ความทุกข์ ด้วยกูเกิ้ล ( Google ) พบความทุกข์ในแหล่งที่อ้างอิงได้มี 1,780,000 แหล่ง ขณะที่ความสุขกลับพบมากกว่าๆมากถึง 14,900,000 แหล่ง และเมื่อค้นคำทั้งสองพร้อมกัน พบที่อ้างอิงถึงทั้งความสุขและความทุกข์อยู่ด้วยกันมี 1,250,000 แหล่ง สิ่งนี้สะท้อนถึงอะไร ผมมองว่าคนเราชอบพูดถึงหรือเขียนถึงความสุขมากกว่า และเมื่อไรก็ตามที่เราต้องพูดถึงความทุกข์ ก็จะพยายามโยงไปหาความสุขด้วย เพราะเราไม่อยากอยู่กับความทุกข์นาน อยากไปให้พ้นจากทุกข์ ฤามนุษย์เรากลัวทุกข์ ใฝ่หาสุขกันมากเกินไป แต่ก็จะเข้าทำนองที่ว่า “ยิ่งเกลียดยิ่งเจอ”


          แล้วถ้าเปลี่ยนจะยืนชีวิตใหม่ล่ะ แบบว่า “สุขก็เตรียมไว้ว่าความทุกข์คงตามมาอีกไม่ไกล จะได้รับความจริงเมื่อต้องเจ็บปวดไหว” เหมือนบทเพลง Live and Learn ของคุณกมลา สุโกศล หรือ “มองว่าความทุกข์กับความสุขเป็นเนื้อเดียวกัน” ดังที่กล่าวไว้ในตอนต้น เหล่านี้คือหัวใจของ “การยอมรับ” นั่นเอง การยอมรับคือความอ่อนโยนของจิตใจที่มีให้ชีวิต เห็นว่าใจที่กำลังทุกข์ก็ทุกข์มากพอแรงแล้ว จะซ้ำเติมจิตใจให้ทุกข์ยิ่งขึ้นอีกทำไม


          สำหรับท่านเรามาเติมความรักเจือลงไปในการยอมรับอีกที เหมือนเพิ่มค่าให้การยอมรับ คือ ทั้งยอมรับและรักเมตตาต่อความทุกข์ในใจไปพร้อม ๆ กัน ให้ความรักเป็นเสมือนสองแขนที่โอบกอดสุข-ทุกข์ในใจไว้ ไม่ว่าทุกข์จะใหญ่แค่ไหน ความรักในใจก็จะยิ่งใหญ่กว่า เราจะสามารถยิ้มได้ทั้งน้ำตา ให้ความรักนี้ได้ ดูแลจิตใจที่กำลังทุกข์ ให้สมกับที่ทุกข์นั้น อุตส่าห์อยู่เป็นเพื่อนกับเรามาทั้งชีวิต


          ความสุข ความทุกข์ เป็นธรรมชาติของชีวิต ยิ่งปฏิเสธความทุกข์ ใจเราจะยิ่งทุกข์ จงรักและเมตตาต่อความทุกข์ เพราะความทุกข์คือเพื่อนที่อยู่กับเรามาทั้งชีวิต


ขอบคุณที่มา  ::  เรื่องโดย รองศาสตร์จารย์ นายแพทย์ธวัชชัย กฤษณะประกรกิจ


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์