ใต้ถุนศาลาวัด

ใต้ถุนศาลาวัด


"ทิดเทือง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากใต้ถุนศาลาวัด

สมัยเด็กผมอยู่เสาไห้ สระบุรี พออายุได้สิบกว่าขวบพ่อแม่ก็ส่งมาอยู่กับหลวงตาคงที่วัดศาลาแดง ริมแควป่าสัก ใจกลางเมืองที่ยังเรียกกันติดปากว่า "ปากเพรียว"

สมัยนั้นปากเพรียวยังเป็นเมืองเล็กๆ ตอนเช้าเดินหิ้วปิ่นโตตามหลังหลวงตาเลี้ยวขวาไปทางสี่แยกวิทยุ อ้อ! ที่เรียกยังงั้นก็เพราะมีหอวิทยุกระจายเสียงจากกรุงเทพฯ เปิดเพลงรุ่นสมยศ ทัศนพันธุ์ กับชาญ เย็นแข เป็นประจำ

เสียงเพลงที่ติดหูติดใจมาจนถึงป่านนี้ก็คือ...อรุณจรุงรุ่งแล้ว ทั่วแคว้นเพริศแพรว สู่วันใหม่แล้วเพื่อนเอ๋ย ตื่นมาเสียจากกิเลสนั้นเอย มืดมิดเหลือเอ่ย...เพื่อมาชมเชยแสงแห่งบุญ

พวกผู้ใหญ่เล่าว่าสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เวลาส่องกล้องมองเห็นเครื่องบินข้าศึก ยามรักษาการณ์ก็จะ "เปิดหวอ" หรือสัญญาณเตือนภัยกระจายเสียงไปจากหอวิทยุแห่งนี้แหละครับ เขาว่าเสียงมันเหมือนเปรตขอส่วนบุญ ผู้คนไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไร เป็นต้องกระโดดไปที่หลุมหลบภัยทันที

น่าแปลกที่คนส่วนมากน่ะกำลังอยู่ดีๆ แท้ๆ แต่พอได้ยินเสียงหวอหวีดแหลมโหยหวนเข้าเท่านั้น จะเกิดอาการปวดท้องหนักท้องเบาขึ้นมาทันที บางคนไปส้วมไม่ทันก็ปล่อยซ่าออกมาตรงนั้นเอง...

หลุมหลบภัยส่วนมากมักจะเป็นหลุมตามธรรมชาติอยู่ริมตลิ่งแควป่าสักนั่นแหละ เพราะดินทรายมันลดหลั่นเป็นชั้นก็มี กอไผ่ขนาดใหญ่กลายเป็นซุ้มหนาทึบให้พวกเราหลบซ่อนก็มี...แถมยังมองผ่านกิ่งใบขึ้นไปเห็นเครื่องบินปีกขาววับอยู่ในแสงแดดอีกต่างหาก

เขาว่าบางครั้งดูเพลินจนลืมกลัวไปเลย!

เอาจริงเข้าข้าศึกมองไม่เห็นกองทหารญี่ปุ่นที่ซุ่มซ่อนอยู่ในดงไม้หนาทึบหลังวัดทองหรอกครับ เพราะเครื่องบินเลยไปทิ้งระเบิดที่มวกเหล็กโน่นแน่ะ

เรื่องขนหัวลุกที่ผมเจอมาเต็มเปากับไอ้อ่อนและไอ้เช้า-เพื่อนคู่หูอยู่กุฏิเดียวกัน ไม่ใช่ว่าอยู่ที่อื่นที่ไกลหรอกครับ...ศาลาการเปรียญนี่แหละ ผีดุชะมัด!

ที่วัดทองน่ะไม่มีอะไรน่ากลัวเพราะเป็นศาลาที่สร้างราบกับพื้นที่ลาดซีเมนต์ ถึงวันพระหรือเทศกาลก็ปูเสื่อหวายบ้าง เสื่อลำแพนบ้าง ยกเว้นแต่งานใหญ่ถึงจะปูเสื่อจันทบูร มียกพื้นสำหรับพระท่านสวดมนต์กับฉันข้าวด้านใน...ส่วนวัดพวกผมน่ะตรงกันข้าม

ศาลาการเปรียญวัดศาลาแดงยกพื้นสูง ค่อนข้างกว้างขวาง เสาตะละต้นใหญ่โตขนาดเด็กๆ อย่างพวกผมโอบไม่รอบก็แล้วกัน พื้นเป็นไม้กระดานแผ่นใหญ่โตเหลือเชื่อ เวรใครต้องเช็ดถูเล่นเอาเหงื่อตกไปตามๆ กัน แม้จะช่วยกัน 2-3 คนก็เถอะเอ้า!

เหตุเกิดที่ใต้ถุนศาลานั่นแหละครับ...

ตอนแรกพวกเราก็เล่นล้อต๊อก หยอดหลุมทอยกองเอาหนังยางกันตามประสาเด็ก บางทีเอาฝาเบียร์มาทุบจนแบนแล้วเจาะรูร้อยเชือก ปั่นติ้วเหมือนใบจักรแล้วสาดใส่กันตัวต่อตัว ว่าใครจะคมกว่าใคร...ถ้าเชือกขาดก็ถือว่าแพ้ ต้องจ่ายหนังยางแทบหมดข้อมือเพราะเสียเดิมพัน

ไม่รู้จะเล่นอะไรกันจริงๆ ก็เอารูปมาร่อนกัน ทั้งดัดทั้งกรีดให้กินลม...เพราะใครร่อนรูปได้ไกลกว่าถือเป็นผู้ชนะ

วันนั้นพระท่านตีระฆังลงโบสถ์ตอนเย็น หมูหมาหอนระงมเชียว...พวกเราสบโอกาสไปเล่นล้อต๊อกกันข้างศาลา ไม่ต้องหลบสายตาพระมุดเข้าไปเล่นใต้ถุนมืดๆ มองอะไรไม่ค่อยเห็น แถมน่ากลัวจะตาย...กำลังมันๆ ไอ้อ่อนก็หยอดเหรียญแรงไปหน่อย มันเลยก๋อยหลุนๆ เข้าไปในใต้ถุนศาลามืดครึ้ม...

ไอ้อ่อนมุดเข้าไปหาเหรียญพลางแช่งด่าไปด้วย เดี๋ยวเดียวก็ร้องว่า...เฮ้ย! มาดูอะไรนี่ซีวะ! ผมกับเช้าก็เลยมุดตามเข้าไป ถามว่าพ่อมึงมารออยู่ในนี้เหรอ? ไอ้อ่อนด่าขรมแล้วชี้มือให้เราดู...เด็กรุ่นเรานี่แหละครับที่นั่งกอดเข่าฟุบหน้า เสื้อแสงก็ไม่ใส่เห็นซี่โครงขึ้นกงโก้

"เอ...ใครวะ?" ไอ้เช้าเกาหัวแกรก "มานั่งร้องไห้หาพ่อมึงเรอะ?"

"ปะ...เปล่า..." ร่างนั้นสะอื้นเบาๆ จนไหล่สะท้านก่อนจะเงยหน้าขึ้นช้าๆ "ข้าหนาวเหลือเกิน...ข้าหิวด้วย...ข้าหิวมานานแล้ว..."


พวกเราหงายหลังผลึ่งทั้งสามคน เมื่อเห็นใบหน้าขาววอกแต่นัยน์ตาดำปี๋ แลบลิ้นสีแดงๆ ออกมาเลียริมฝีปากด้วยอาการหิวโหยเหมือนจะฉีกเนื้อเรากินดื้อๆ ผมกล้ายืนยันว่าเร็วกว่าเพื่อนเพราะเผ่นพรวดออกมาเป็นคนแรก แว่วเสียงไอ้อ่อนกับไอ้เช้าร้องไห้จ้า...ผีหลอกโว้ย! ผีหลอกแล้ว! ช่วยด้วย...

แม้เวลาจะผ่านมาหลายสิบปีแล้ว แต่หน้าตากับเสียงหัวเราะแหบโหยของผีเด็กนั่น ยังติดหูติดตามาจนถึงทุกวันนี้เลยครับ! บรื๋อออ...


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์