ไม้จันทน์ของฉันอยู่ที่ไหน

ไม้จันทน์ของฉันอยู่ที่ไหน


ธรรมบรรยายโดย ภิกษุฟับหยุ่ง (หลวงพี่นำธรรม) แห่งหมู่บ้านพลัม


ชายคนหนึ่งมีความต้องการอยากได้ไม้จันทน์มาก เพราะเขาได้ยินมาว่าไม้จันทน์นั้นเป็นไม้ที่มีกลิ่นหอม เขาจึงเดินเข้าไปในป่าเพื่อเสาะหาไม้ชนิดนี้ แล้วเขาก็พบคนตัดไม้ในป่า ชายหนุ่มกล่าวกับคนตัดไม้ว่า "ฉันกำลังหาไม้จันทน์อยู่ ท่านช่วยหาอีกแรงได้ไหม เพราะท่านน่าจะรู้จักป่าแห่งนี้ดี" คนตัดไม้ได้ฟังดังนั้นก็ตอบว่า "ไม้จันทน์นะหรือ รู้จักแน่นอน แต่ว่าวันนี้มันค่ำเกินไปแล้ว คืนนี้เธอช่วยฉันทำงานเล็กๆ น้อยๆ ไปก่อนแล้วกัน พรุ่งนี้เราจึงจะออกไปหาต้นจันทน์ด้วยกัน"

ชายคนนั้นตอบตกลงด้วยความสุข คืนนั้นเขาช่วยคนตัดไม้ทำงานจนเหนื่อยและหลับไปอย่างสนิท ในวันรุ่งขึ้นเขาจึงตื่นสาย หลังจากตื่นนอน ชายคนนั้นก็ชวนคนตัดไม้ไปหาไม้จันทน์ แต่คนตัดไม้กลับบอกว่า "ไปไม่ได้แล้ว เพราะว่าวันนี้เธอนอนตื่นสาย การหาไม้จันทน์จะต้องใช้เวลาทั้งวัน เรารอไปวันพรุ่งนี้เถอะ" และในทุกๆ วันคนตัดไม้จะมีเหตุผลนานาประการเพื่อบอกชายคนนี้ว่าพวกเขายังไม่สามารถหาไม้จันทน์ในวันนี้ได้ และต้องหาในวันพรุ่งนี้เสมอ จนเวลาผ่านไป 3 ปี ชายที่ต้องการหาไม้จันทน์จึงค้นพบว่า "วันพรุ่งนี้" ไม่มีอยู่จริง

หลวงพี่เขียนนิทานเรื่องนี้ขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เมื่อเขียนเรื่องราวมาถึงตรงนี้ หลวงพี่ก็พบว่าชายคนนี้มีปัญญามาก เพราะเขาใช้เวลาเพียง 3 ปีในการค้นพบว่า "วันพรุ่งนี้" ไม่มีอยู่จริง หลวงพี่รู้จักคนหลายคนที่มีความเชื่อว่า "วันพรุ่งนี้ ฉันจึงจะมีความสุข" "วันพรุ่งนี้ ถ้าฉันมีเงินมากขึ้น ฉันจึงจะมีความสุข" "วันพรุ่งนี้ ถ้าฉันมีสิ่งนั้น ฉันจึงจะมีความสุข" "วันนี้ฉันจะทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินทอง และเมื่อฉันเกษียณแล้วฉันจึงจะมีความสุข" แม้แต่นักปฏิบัติก็ยังมีความคิดว่า "วันนี้ฉันจะต้องฝึกปฏิบัติอย่างเข้มงวดและเคร่งครัดเพื่อวันพรุ่งนี้ฉันจึงจะมีโอกาสตรัสรู้ และเมื่อนั้นฉันจึงจะมีความสุข" หลวงพี่ทราบดีว่ายังมีคนที่ฝึกปฏิบัติมาเป็นเวลา 10-20 ปี และยังเชื่อว่าพรุ่งนี้ฉันจึงจะมีความสุข แม้แต่ในบรรดาพระสงฆ์ก็สามารถที่จะตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้ได้

การปฏิบัติของเราไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น การปฏิบัติของเราคือการตระหนักรู้ว่าเมล็ดพันธุ์แห่งความสุขนั้นดำรงอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว แม้ว่าเมล็ดพันธุ์แห่งความสุขนั้นอาจยังคงนอนเนื่องอยู่ในเบื้องลึกของจิต หรือได้ปรากฏขึ้นมาแล้วในจิตรับรู้ของเรา แต่เราก็รู้ว่าเมล็ดพันธุ์แห่งความสุขอยู่ที่นั่นเสมอ เราจึงไม่จำเป็นต้องวิ่งหาความสุขจากข้างนอกหรือความสุขในอนาคต นี่จึงเป็นการฝึกปฏิบัติที่ประเสริฐมาก และเมื่อใดก็ตามที่เธอฝึกปฏิบัติ เธอจะสัมผัสได้ถึงความสุข

ต่อมา ชายคนนั้นก็จากคนตัดไม้คนแรกไป และได้พบกับคนตัดไม้คนที่สอง คนตัดไม้คนที่สองได้บอกกับชายคนนั้นว่า "เธอกำลังหาไม้จันทน์หรือ มันหาง่ายมาก เพราะมันอยู่ตรงหน้าเธออยู่แล้ว" ชายคนนั้นจึงถามกลับว่า "อยู่ตรงหน้าฉันหรือ อยู่ที่ไหนล่ะ" คนตัดไม้คนที่สองตอบว่า "เธอเพียงเข้าไปในป่าและหาไม้จันทน์เท่านั้นเอง" ชายคนนั้นตอบกลับว่า "มันไม่ง่ายอย่างนั้นสักหน่อย เพราะฉันเพิ่งออกมาจากป่าและก็ไม่เห็นต้นจันทน์เลยสักต้น" คนตัดไม้ตอบว่า "อ้าว ก็เป็นเพราะว่าเธอไม่รู้จักลักษณะของต้นจันทน์ เธอไม่รู้จักลักษณะต้นไม้ในป่า เดี๋ยวฉันจะสอนเธอเอง ฉันจะสอนให้เธอรู้จักต้นแอปเปิ้ล ต้นสน เธอจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับต้นไม้นานาพันธุ์ในป่านั้น และเมื่อเธอรู้จักต้นไม้ต่างๆ ในป่าเพียงพอ เธอก็จะรู้เองว่าต้นไหนคือต้นจันทน์"

แล้วชายคนนั้นก็เรียนรู้เกี่ยวกับต้นไม้ต่างๆ ในป่า แต่เมื่อ 3 ปีผ่านไป ชายคนนั้นก็ยังไม่รู้จักต้นจันทน์ ในเช้าวันหนึ่งชายคนนั้นตื่นขึ้นแล้วก็พบว่า คนตัดไม้คนที่สองไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับต้นจันทน์เลย

เช่นเดียวกัน เราอาจจะอ่านหนังสือหรือเรียนรู้มากมายเกี่ยวกับพุทธศาสนาและปรัชญาทางพุทธ แต่จริงๆ แล้วเราอาจไม่เคยได้สัมผัสกับความสุขที่แท้จริงเลย เราอาจจะกำลังทำเหมือนกับชายคนนี้และคนตัดไม้คนที่สอง ดังนั้นเวลาที่เราเรียนรู้ธรรมะหรือพุทธศาสนา เราไม่ควรเรียนรู้ในวิธีของคนตัดไม้คนที่สอง เวลาที่เราอ่านหนังสือธรรมะหรือพุทธศาสนา เราต้องคอยถามตัวเองอยู่เสมอว่า หนังสือเล่มนี้มีวิธีการปฏิบัติที่ทำให้เราได้สัมผัสกับเมล็ดพันธุ์แห่งความสุขในตัวเองหรือไม่ หากเราไม่ตระหนักรู้ถึงความสุขในตัวเอง เราอาจพลาดสิ่งต่างๆ ที่งดงามและมหัศจรรย์ในชีวิตของเราไป

หลวงพี่เคยได้ยินเรื่องราวของคุณพ่อท่านหนึ่งที่กำลังเดินขึ้นบันได และเหลือบไปเห็นภาพของลูกชายเมื่อตอนที่ยังอายุ ๓-๔ ขวบ เขาบอกกับตัวเองในทันทีว่า "โอ้ ลูกของฉันตอนที่อายุ 3-4 ขวบนั้นน่ารักมาก แต่ฉันในตอนนั้นกลับไม่สัมผัสถึงความงดงามนั้นเลย ฉันกำลังอยู่ที่ไหนในตอนนั้นนะ ฉันมักทำงานยุ่งอยู่เสมอจนไม่สามารถตระหนักรู้ถึงความงดงามของลูกฉันได้"

การมีงานที่ดีเพื่อที่จะดูแลครอบครัวและมอบสิ่งต่างๆ ให้กับสังคมนั้นเป็นสิ่งที่ดีมาก แต่เราควรผนวกการงานที่ดีงามเข้ากับการปฏิบัติ เราไม่ควรรอเพื่อที่จะมีชีวิตในวันพรุ่งนี้ เราจำเป็นที่จะต้องตื่นรู้เพื่อมีชีวิตที่ดีงาม ฉะนั้นเราจึงจำเป็นต้องมีการปฏิบัติ คนส่วนใหญ่มักใช้ชีวิตอยู่ในความโง่เขลาและความไม่รู้ พวกเขาจึงไม่สามารถมีชีวิตอย่างแท้จริง เวลาที่เรามีการปฏิบัติ เราจะสามารถสัมผัสกับเมล็ดพันธุ์แห่งความสุขและเมล็ดพันธุ์ที่ดีงามในตัวเอง แต่เมื่อเราไม่ได้ปฏิบัติ เราก็จะไม่สามารถตระหนักรู้ถึงเมล็ดพันธุ์ที่นอนเนื่องอยู่ในจิตสำนึกของเรา และเมื่อวันที่เมล็ดพันธุ์เหล่านั้นปรากฏขึ้น เราก็ตกเป็นเหยื่อของตนเอง นั่นเป็นเพราะเราไม่สามารถเข้าใจจิตใจตัวเองได้ เมื่อความโกรธหรือความซึมเศร้าเกิดขึ้นในจิตใจ เราก็ตกเป็นเหยื่อของอารมณ์เหล่านั้นอย่างง่ายดาย และในบางครั้งเรายังตกเป็นเหยื่อความสุขของเราอีกด้วย

เมื่อเรามีการปฏิบัติที่แท้จริง เราจะสัมผัสได้ถึงความสุขที่แท้จริง ความสุขที่แท้จริงนั้นจะประกอบไปด้วยความสงบสันติ และเมื่อเราสัมผัสกับเมล็ดพันธุ์แห่งความสุข เราก็จะตระหนักรู้ถึงเมล็ดพันธุ์แห่งความทุกข์ได้ด้วยเช่นเดียวกัน เมื่อเรามีความสุข เราควรปฏิบัติเพื่อเข้าใจความทุกข์ของเรามากยิ่งขึ้น ซึ่งมันจะทำให้เราสามารถสัมผัสความสุขได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้นด้วย

หลวงพี่ขอย้อนกลับมาเล่าเรื่องของชายผู้หาไม้จันทน์ต่อ ต่อมาเขาได้พบกับคนตัดไม้คนที่สาม ชายคนนั้นพูดกับคนตัดไม้ว่า "ฉันตามหาไม้จันทน์มา 6 ปีแล้ว ยังหาไม่ได้เลย เธอช่วยฉันหาไม้จันทน์หน่อยได้ไหม ฉันอยากจะหามันให้ได้ในตอนนี้ วันนี้" คนตัดไม้คนที่สามหัวเราะและบอกว่า "ได้สิ ฉันจะช่วยเธอหาไม้จันทน์ให้ได้ภายในวันนี้เลย" หลังจากนั้นครึ่งวัน ชายคนนั้นและคนตัดไม้คนที่สามก็ยืนอยู่ข้างหน้าต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง แล้วคนตัดไม้ก็บอกว่า "นี่แหล่ะ ต้นจันทน์" ชายคนนั้นมีความสุขยิ่งนัก เขาร้องไห้ด้วยควมดีใจและก้มลงกราบต้นไม้ จากนั้นเขาก็ตัดต้นไม้นั้น นำกลับบ้าน และอวดเพื่อนๆ ของเขา เขาบอกเพื่อนๆ ว่า "ดูสิ นี่คือต้นจันทน์อันสวยงาม มันมีใบไม้และลำต้นที่สวยงามมาก ฉันได้เรียนรู้เกี่ยวกับต้นจันทน์นี้จากคนตัดไม้คนที่สาม เขาเก่งเหลือเกิน เขาสามารถบอกฉันได้ว่าต้นจันทน์คือต้นไหน เขาเป็นคนตัดไม้ที่เก่งจริงๆ" เพื่อนของเขาก็พลอยชื่นชมต้นจันทน์และคนตัดไม้คนที่สามไปด้วย

แต่แล้ววันหนึ่ง เพื่อนคนหนึ่งก็กล่าวทักขึ้นมาว่า "เพื่อนรัก ฉันคิดว่าขอนไม้นี้ไม่น่าใช่ไม้จากต้นจันทน์นะ" ชายคนนั้นโกรธมากและยืนยันว่า "มันเป็นไม้จากต้นจันทน์แน่นอน ฉันเรียนรู้เกี่ยวกับต้นไม้มาตั้ง ๖ ปี" เพื่อนจึงตอบว่า "ฉันเองก็ไม่รู้อะไรนักเกี่ยวกับต้นไม้ แต่ฉันไม่คิดว่านี่เป็นไม้จันทน์หรอก เพราะขอนไม้นี้ไม่มีกลิ่นหอมอย่างที่ไม้จันทน์ควรจะเป็น" ชายคนนั้นรู้สึกตกใจและประหลาดใจมาก เขาเพิ่งจะระลึกได้ว่า เขาเริ่มออกตามหาไม้จันทน์นี้เพราะว่ามันมีกลิ่นหอม แต่เมื่อเขาคิดว่าเขาพบมันแล้ว เขาก็หลงดีใจจนลืมคุณสมบัติของมัน

ชายคนนั้นพูดอย่างโมโหว่า "ไม้นี้ช่างน่าเกลียด ใบไม้นี้ช่างน่าเกลียด ลำต้นนี้ช่างน่าเกลียด และคนตัดไม้คนนั้นก็น่าเกลียด" ชายคนนั้นจึงตัดสินใจที่จะเผาขอนไม้นั้นทิ้งเสีย และในขณะที่เขากำลังเผานั่นเอง เขาก็ได้กลิ่นหอมของไม้จันทน์

เช่นเดียวกันกับคำสอนของพระพุทธองค์ที่ว่า เมื่อเราได้ค้นพบการปฏิบัติแล้ว เราจะต้องนำการปฏิบัติกลับไปใช้ที่บ้าน ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นเหมือนกับชายคนนี้ซึ่งแม้จะพบไม้จันทน์แล้ว แต่กลับวางมันไว้เฉยๆ เขาจึงไม่สามารถสัมผัสกับกลิ่นหอมของไม้จันทน์ได้ จนเมื่อเขาได้เผาไม้แล้วนั่นเอง ดังนั้นถ้าเราไม่ฝึกปฏิบัติหรือไม่นำการปฏิบัติไปใช้อย่างต่อเนื่อง เราอาจรู้สึกว่า "
บรรดาหลวงพี่จากหมู่บ้านพลัมเอาแต่พูดถึงความสุข แต่ฉันไม่เห็นจะสัมผัสได้ถึงความสุขเลย"

เมื่อเธอสามารถนำการปฏิบัติกลับไปใช้ที่บ้าน พลังจากการปฏิบัติจะนำมาซึ่งความสันติและความมั่นคงในครอบครัวของเธอ พลังนั้นจะเป็นบ่อเกิดแห่งความสุข ความสงบ ความสันติ ซึ่งจะนำมาซึ่งปัญญา หรือที่เราเรียกว่าความเข้าใจ ปัญญานี้เองที่จะช่วยถอดถอนความกลัวของเรา เพราะเมื่อเรามีความสงบสันติ เราจะสามารถยอมรับตัวเองอย่างที่เป็นได้ เราจะสามารถดูแลตัวเองได้ เราจะตระหนักรู้ว่าสิ่งที่ปรากฏขึ้นในจิตใจก็คือการประกอบกันขึ้นของหลายสิ่งหลายอย่าง และตัวเราคือส่วนประกอบ ฉะนั้นเราก็เปรียบได้ดั่งดอกไม้ที่งดงาม แต่เรายังเป็นมากกว่าดอกไม้ เราเป็นทั้งผืนดิน เราเป็นทั้งครอบครัวของเรา เช่นเดียวกับลูกๆ ของเธอ ลูกก็คือการประกอบกับขึ้นของทั้งครอบครัว และเธอทราบดีว่าสักวันหนึ่งเธอก็จะกลับไปสู่พื้นโลก กลับไปสู่บรรพบุรุษของเธอ และเธอรู้ดีว่าเธอไม่ได้หายไปไหน เพราะลูกของเธอก็คือการสืบเนื่องของเธอ

หากเธอปฏิบัติ เธอจะมีปัญญาเข้าใจว่า ตัวเธอไม่ใช่แค่ตัวเธอที่เป็นเนื้อหนังมังสาตรงนี้เท่านั้น แท้จริงแล้วเธอเป็นอะไรที่มากกว่าตัวเธอ เหมือนกับดอกไม้ที่มีทั้งผืนดิน สายน้ำ และแสงแดดดำรงอยู่ในดอกไม้ ตัวเธอก็มีส่วนประกอบของบรรพบุรุษและครอบครัวของเธอ เธอจึงปรากฏขึ้นมาอยู่ในรูปลักษณ์เช่นนี้ แต่เมื่อเหตุปัจจัยสิ้นสุดลง เธอก็จะไม่ปรากฏขึ้น และเมื่อเธอเข้าใจ เธอก็จะไม่ติดยึดกับการเกิดการตาย เพราะไม่มีทั้งการเกิดและการตาย

หลวงพี่ก็ปฏิบัติเช่นเดียวกัน เมื่อหลวงพี่กลับไปดูแลคุณแม่ในช่วงระยะสุดท้าย หลวงพี่บอกคุณแม่ว่า "ขอให้คุณแม่ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งสิ้น กลับไปสู่พื้นโลก ไปสู่บรรพบุรุษ และลูกจะสืบเนื่องจากคุณแม่เอง ดวงตาของลูกนี้ก็คือดวงตาของแม่" เมื่อคุณแม่ได้ยินเช่นนี้ท่านก็มีความสุข ท่านลืมตาขึ้น มองไปที่ลูกๆ ของท่าน แล้วก็หลับตาลง ท่านเสียชีวิตไปในท่วงท่าที่สงบราวกับเพียงหลับไป ...๐


๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐


ภิกษุฟับหยุ่ง แปลว่า การทำหน้าที่แห่งธรรม (Function of the Dharma) ท่านเป็นชาวเวียดนามอายุ 40 ปี ปัจจุบันจำวัดอยู่ที่วัดบน หมู่บ้านพลัม ประเทศฝรั่งเศส ท่านบวชเป็นพระตั้งแต่ปี 2536 ได้รับตะเกียงธรรมาจารย์จากหลวงปู่ติช นัท ฮันห์เมื่อปี 2543 ท่านเป็นหลวงพี่ใหญ่ที่คอยดูแลน้องๆ ในสังฆะ ท่านมีความสุขที่ได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนในเรื่องจิตวิทยาเชิงพุทธ และมีความคมคายในการแลกเปลี่ยนธรรมะ


ที่มา หมูบ้านพลัม
http://www.thaiplumvillage.org/
แปล : ภิกษุณีนิรามิสา
ถอดความ : พริญญ์ ธนาภิสิทธิกุล - พุทธิจิตตรา
เรียบเรียง : กมลวรรณ ทวีกิตติกุล - จิตราฐิติวรดา


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์