เงินกับความสุข...

เงินกับความสุข...

คุณทราบหรือไม่ว่า คน ๓ กลุ่มต่อไปนี้
ได้แก่ เศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกา ชาวอามิชในรัฐเพนซิลวาเนีย
ชาวอินุยต์ในเกาะกรีนแลนด์ มีอะไรบ้างที่เหมือนกันหรือเท่ากัน ?


ก)อายุคาดเฉลี่ยเมื่อแรกเกิด
ข)สัดส่วนการมีโทรศัพท์มือถือต่อประชากร ๑,๐๐๐ คน
ค)อัตราการตายด้วยอุบัติเหตุบนท้องถนน
ง)ความสุข


ถ้าคุณตอบข้อ ก)-ค) คุณก็ตอบผิดแล้ว คำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ ง)


จากการสอบถามความเห็นของประชาชนทั่วโลกเมื่อปีที่แล้ว
พบว่าคนทั้ง ๓ กลุ่มข้างต้นมีความสุขกับชีวิตคิดเป็นคะแนนเท่ากัน
คือ ๕.๘ (จากคะแนนเต็ม ๗)
โดยมีชนเผ่ามาไซในแอฟริกาตามมาติด ๆ คือ ๕.๗


ผลการศึกษาดังกล่าวคงทำให้หลายคนอดแปลกใจไม่ได้
เพราะคนทั้ง ๓ กลุ่มนี้มีมาตรฐานความเป็นอยู่และรายได้แตกต่างกันอย่างมาก
แต่กลับมีความสุขเท่า ๆ กัน ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่านั้น
คือ เศรษฐีอเมริกันซึ่งมีเงินมากมายมหาศาล
กลับมีความสุขมากกว่าชนเผ่ามาไซเพียงแค่ ๐.๑ คะแนนเท่านั้น
ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายหลังแทบไม่มีสมบัติอะไรเลย
นอกจากกระท่อม ธนู และสัตว์เลี้ยงไม่กี่ตัว


การค้นพบดังกล่าวสอดคล้องกับงานวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ว่า
ความร่ำรวยมิใช่ปัจจัยหลักของความสุข
จริงอยู่คนเราจะมีความสุขก็ต้องมีเงินหรือทรัพย์สมบัติ
อย่างน้อยก็ต้องเกินระดับความยากจน
ถ้ายังกินไม่อิ่มนอนไม่อุ่น ก็ยากจะมีความสุขได้
ด้วยเหตุนี้คนเร่ร่อนไร้บ้านในแคลิฟอร์เนียกับคนเร่ร่อนในกัลกัตตา
จึงมีความ สุขแค่ ๒.๙ นั่นคือมีความสุขเพียงครึ่งเดียวของเศรษฐีอเมริกัน
มองในแง่นี้ก็เห็นได้ไม่ยากว่า คนรวยมีความสุขมากกว่าคนจน


แต่เมื่อมีเงินหรือทรัพย์สมบัติถึงระดับหนึ่งแล้ว
แม้จะมีเงินมากขึ้นก็ไม่ได้ทำให้มีความสุขเพิ่มขึ้นเลย
คนอเมริกันและคนญี่ปุ่นมีรายได้สูงขึ้น
และมีความสะดวกสบายมากกว่าเมื่อ ๕๐ ปีที่แล้วหลายเท่าตัว
แต่น่าสังเกตว่าอัตราส่วนของคนที่บอกว่า “มีความสุขมาก” ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย


ทำไมมีเงินมากขึ้นจึงไม่ทำให้มีความสุขเพิ่มขึ้น?
เหตุผลข้อหนึ่งก็คือ เราชินชากับความร่ำรวย
หรือสะดวกสบายที่เพิ่มขึ้นได้รวดเร็วมาก
วันแรกที่คุณได้รถคันใหม่ที่ขับนิ่มกว่าเดิมหรูหรากว่าเดิม
แน่นอนคุณย่อมมีความสุข แต่เมื่อผ่านไปสัก ๓ เดือนหรือครึ่งปี
คุณก็จะรู้สึกเฉย ๆ กับรถคันนั้นแล้ว พูดอีกอย่างหนึ่ง
ความสุขที่เคยเพิ่มขึ้นได้ลดมาสู่ระดับเดิมก่อนที่จะได้รถคันนั้น


คำพูดที่ว่า “เงินซื้อความสุขได้” จึงมีส่วนถูกเพียงครึ่งเดียว
ถ้าให้ถูกจริง ๆ น่าจะพูดว่า “เงินเช่าความสุขได้”
อะไรที่เราเช่าหรือยืมมา เรามีสิทธิครอบครองได้เพียงชั่วคราว
ไม่ช้าไม่นานก็ต้องคืนเขาไป ความสุขที่ได้จากเงินก็เช่นกัน
มันมาอยู่กับเราเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น


มีความสุขอีกมากมายที่ไม่ต้องใช้เงินเลย และสามารถอยู่ได้ยั่งยืนกว่า
เช่น ความสุขท่ามกลางครอบครัวอันอบอุ่น
ความสุขจากการสังสรรค์ในหมู่มิตร ความสุขจากการชื่นชมธรรมชาติ
ความสุขจากการเอื้อเฟื้อผู้อื่น รวมถึงความสุขจากการทำสมาธิภาวนา
ชาวอามิช ชาวอินุยต์ และชาวมาไซ
อาจไม่มีโอกาสเสพสุขจากวัตถุได้มากเท่าเศรษฐีอเมริกัน
แต่สิ่งที่ให้ความสุขแก่พวกเขาอย่างมากมาย
คือ สัมพันธภาพอันงดงามทั้งกับผู้อื่นและกับธรรมชาติ
รวมทั้งความสุขจากใจที่สงบเย็น

ความสุขจากเงินนั้นมีเสน่ห์ตรงที่เข้าถึงได้ง่าย
แต่อะไรที่ได้มาง่ายนั้นไม่ค่อยยั่งยืน
(ลองนึกถึงความสุขจากเซ็กส์และยาเสพติดเป็นตัวอย่าง)
แต่ความสุขจากสัมพันธภาพและความสุขจากจิตใจอันสงบนั้น
แม้จะเข้าถึงยาก แต่อยู่ได้ยั่งยืนกว่า
อย่างไรก็ตามมีวิธีหนึ่งที่เงินสามารถให้ความสุขอย่างรวดเร็วและยั่งยืน
(อย่างน้อยก็นานกว่าการเที่ยวห้าง)
นั่นคือ บริจาคเงินให้แก่คนจนหรือผู้ทุกข์ยาก
รอยยิ้มของเขาสามารถทำให้คุณอิ่มเอิบไปได้นานทีเดียว






ที่มา IMAGE ฉบับเดือน มีนาคม

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์