รู้แจ้งเห็นจริง

รู้แจ้งเห็นจริง




       ในมิติแห่งความคิดความฝันที่เราท่านดูว่ามันเป็นจริง และถ้าเราเกิดอวิชชาเชื่อว่าความคิดนั้นเป็นความจริง เมื่อจิตยึดเข้าที่ไหนและจิตปรุงที่ไหน ดวงจิตย่อมต้องเกิดเป็นตัวเป็นตนขึ้นที่นั้น อวิชชาในจิตมีความซับซ้อนมาก ฉะนั้น เมื่อดวงจิตเกิดอวิชชาซ้อนกันเอาไว้หลายๆ ชั้น จากชาติหนึ่งไปสู่อีกชาติหนึ่ง อวิชชา ความยึดมั่น ถือมั่น ยิ่งจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ดวงจิตวิญญาณจึงยังคงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร หาทางหลุดพ้นออกไปไม่ได้

อวิชชา คือ ความหลงผิด เข้าใจผิด ยึดเข้าที่ไหน ปรุงเข้าที่ไหน ย่อมเกิดเป็นตัวเป็นตนขึ้นที่นั่น เพราะว่าดวงจิตนั้นเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในมิติแห่  งความคิด อันเป็นนามธรรมที่ดวงจิตสร้างมิติขึ้นมาเอง เมื่อดวงจิตอาศัยอวิชชาความหลงผิด คิดเป็นจริงเป็นจัง มิติแห่งความคิดความฝันนั้นมันจึงแลดูเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ทำให้ความคิดและความฝันนั้นดูราวกับว่ามันเป็นความจริงยิ่งนัก

ผู้ปฏิบัติที่เฝ้าดูจิตของตนเอง และติดตามดูอาการของความคิดที่เกิดดับขึ้นภายในจิตนั้น เป็นการปฏิบัติในขั้นโลกุตรธรรม อันเป็นความจริงที่อยู่เหนือโลก
เหนือสมมติบัญญัติโลก สิ่งที่เป็นภูมิปัญญาความรู้ในขั้นนี้นั้นจะเป็นความรู้แจ้งเห็นจริง เป็นความรู้ขั้นหลุดพ้นโลก หากดวงจิตดวงใดสำเร็จธรรมในขั้นโลกุตรภูมินี้ ดวงจิตนั้นย่อมหมดอวิชชาหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ไม่ต้องมารับทุกข์จากการเกิดอีก สามารถเดินทางออกจากมิติแห่งความคิดความฝันนี้ออกไปได้

ดวงจิตที่เป็นอิสระหลุดพ้นเท่านั้นที่จะเข้าสู่พระนิพพานได้ ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิของโลกอีกต่อไป หมดอวิชชา จิตก็ไม่มีอะไรเหลือไว้ให้ปรุง ให้ยึด จิตจึงกลับสู่ความเดิมแท้แห่งจิต อันมีสภาพของความว่างเปล่าที่เรียกว่า "อนัตตา"
ความไร้ซึ่งตัวตน แม้แต่ดวงจิตเองก็ยังหาตัวตนแห่งตนไม่พบ นิพพานในความว่างเปล่าที่ไร้ซึ่งอัตตาตัวตนเป็นนิพพานที่จีรัง

ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ได้สำเร็จมรรคผลและพระนิพพานต่างเดินทางสู่การหลุดพ้นในแนวทางเดียวกัน ไม่มีผู้ใดใช้เส้นทางอื่นในการเดินทางกลับบ้าน ทุกคนล้วนพิจารณาสิ่งที่เรียกว่า "อนัตตา"
จนกระจ่างชัด เกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริงทำลายอวิชชาในจิตของตนเองจนหมดสิ้น ไม่เหลือสิ่งใดในจิตให้ยึดอีกต่อไป

อวิชชาจึงเปรียบเสมือนปมของเส้นเชือกที่ผูกซ้อนกันไว้เป็นชั้นๆ เมื่อเราแก้ปมแห่งอวิชชาปมหนึ่งออกได้ ก็พบว่ายังคงมีปม (อวิชชา) ที่ละเอียดกว่าอยู่อีก จนกระทั่งเราได้เดินทางมาถึงปมสุดท้ายของเชือกเส้นนี้ ด้วยคิดว่าเมื่อเราสามารถแก้ปมแห่งอวิชชาปมสุดท้ายนี้ออกได้ เราก็จะได้เชือกเส้นตรงที่ปราศจากเงือนปมใดๆ เสียที แต่พอเราสามารถแก้ปมสุดท้ายของเชือกเส้นนั้นได้ เส้นเชือกของเราก็พลันหายไป เส้นเชือกนี้ไม่เคยมีตัวมีตนอยู่เลย มันไม่มีเส้นเชือกอยู่ตั้งแต่ต้นแล้ว แต่พอมีปม (อวิชชา) มันจึงเกิดมีเส้นเชือกขึ้นมา หมดปม (อวิชชา) มันก็จึงไม่มีเชือก นี้แหละคือความหมายของคำว่า
"อนัตตา"

หมดสิ้นอวิชชา ความหลง ความยึดมั่นถือมั่น อัตตาตัวตนก็จะถูกทำลายลง เหลือแต่ความว่างเปล่าอันเป็นอนัตตา ไร้ตัว ไร้ตน ปัญญาธรรมในขั้นนี้เท่านั้นที่จะพาดวงจิตกลับสู่ความเดิมแท้และหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดไปได้

ภาวะนิพพานจึงเป็นภาวะที่อยู่ใกล้ตัวเรามากที่สุด เปรียบได้ราวกับเพียงแค่พลิกฝ่ามือ จากอวิชชาความโง่ ก็อาจเกิดเป็นปัญญาความรู้แจ้งเห็นจริงปรากฏขึ้นภายในดวงจิตได้
ด้วยเพราะดวงจิตวิญญาณนั้นล้วนมาจากที่เดียวกัน และในที่สุดก็จะต้องเดินทางกลับไปสู่ที่เดิมที่ตนจากมาด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
ดวงจิตทุกดวงจึงมีความสามารถในการเข้าถึงพระนิพพานด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่ว่าจะช้าจะเร็วแตกต่างกันไป แต่สุดท้ายแล้วละครโรงนี้ก็ต้องปิดตัวลง นักแสดงทุกคนต้องกลับบ้านของตนในที่สุด

มิติแห่งความคิดความฝันนั้นเป็นมิติที่ซ้อนอยู่ภายในจิตใจของเรา ถึงแม้ว่าเราจะเข้าใจกระบวนการเวียนว่ายตายเกิดในมิติแห่งความคิด แต่เป็นการยากยิ่งที่จะหาทางออกไปได้ อวิชชาความหลง ความยึดมั่นถือมั่น คิดเป็นจริงเป็นจัง ต่อให้เรารู้ เราเข้าใจ แต่เราก็ไม่อาจเอาสิ่งเหล่านี้ออกไปจากความคิดและจิตใจของเราได้ ต้องอาศัยการฝึกฝนอบรมจิตด้วยความมานะพากเพียรเท่านั้น จิตจึงจะเกิดภูมิปัญญาความรู้ และในที่สุดจิตที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีแล้ว ก็จะสามารถเอาชนะอวิชชา และบรรดากิเลสมายาสมมติโลกทั้งปวงลงได้ เหลือเอาแค่เพียงภาพแห่งความฝันที่ไร้อารมณ์ การยึดมั่นถือมั่น หมดอัตตา หมดอวิชชา เข้าสู่พระนิพพาน.

อ.บูรพา ผดุงไทย

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์