ใคร ? ลิขิตชีวิตเรา

ใคร ? ลิขิตชีวิตเรา


เราต้องยอมรับว่า "กรรม" นี้แหละเป็นผู้บันดาล ชีวิตเราจะดีจะชั่วก้าวหน้า ถอยหลังหรือรุ่งโรจน์สดใส แม้จะไม่ถึงขั้นโชติช่วงชัชวาลก็ตาม หาใช่เป็นเพราะพระพรหม หรือพระเจ้าเป็นผู้ลิขิต ดังบางท่านเข้าใจก็หาไม่ ชีวิตจะสุขทุกข์ขาดทุนหรือกำไร ขึ้นอยู่กับกรรมคือ การกระทำเท่านั้น

     มิใช่เพราะสิ่งอื่น หรืออำนาจภายนอกบันดาลให้….
     มิใช่เทวาดอกมาอุ้มสม
     มิใช่พระพรหมดอกมาเสกสรร
     มิใช่ศุกร์เสาร์หรืออาทิตย์จันทร์
     จะมาดลบันดาลให้เราชั่วดี
     แต่กรรมลิขิตชีวิตของคน
     จะยากดีมีจนก็สุดแต่วิถี
     กฎแห่งกรรมทำดีได้ดี
     ถ้าทำชั่วแล้วก็มีแต่เลวทราม ฯ

หรือว่า

     สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
     คนชั่วดี อยู่ที่กรรม นำจำแนก
     ให้ดูแตก ต่างกัน ชั้นยศฐาน
     ให้ทุกข์สุข สรรเสริญ และนินทา
     กัมมุนา วัตตะตี ที่แจกแจง (โดยถิรธัมม์)


ใคร ? ลิขิตชีวิตเรา


ดังนั้น จะเห็นได้ว่ากรรม เท่านั้นเป็นผู้ลิขิต

ท่านจะเห็นด้วย หรือไม่ก็ตาม แต่ผู้เขียนขอยืนยันว่า ทางพระพุทธศาสนาสอนให้เชื่อกรรม จะเสื่อม หรือเจริญขึ้นอยู่กับกรรมที่เราประกอบขึ้นมาเอง อะไรบ้างที่เป็นความดี ความชั่วอยู่ในวิสัยที่ท่านทั้งหลาย ย่อมจะพิจารณาและเข้าใจได้ด้วยตนเอง แต่ก็นั่นแหละสังคมไทยมักจะมีจุดอ่อนเสมอ สังคมไทยที่เกิดปัญหาเดือดร้อนทุกวันนี้ไม่ใช่เกิดจากผู้ไม่รู้ ล้วนเกิดจากผู้รู้แล้วทั้งสิ้น แต่ก็มักเข้าตำราที่ว่า "ผู้รู้ดีแต่ไม่ทำดี ผู้รู้ชั่วแต่ไม่เว้นชั่ว" เสียส่วนมาก นี่ต่างหาก คือต้นตอที่กอให้เกิดปัญหา ถ้าทุกคนรู้ดี แล้วแข่งขันกันทำดี รับรองสังคมยอมปลอดภัย แต่เท่าที่ปรากฏทุกวันนี้มักจะมีแต่ผู้รู้ชั่วแล้วแข่งขันกันประกอบความชั่วจึงเป็นเหตุให้สังคมระส่ำระสาย โดยเฉพาะข้าราชการ ซึ่งมีหน้าที่ทำงานเพื่อให้เกิดความชุ่มชื่นใจแก่ประชาชน ถ้ามีจิตสำนึก และพยายามปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ตามที่รู้ และได้รับมอบหมายแล้ว ข้าราชการจะน่ารักไม่น้อย เท่าที่เป็นอยู่…มีแต่รับ…"ชอบ"…ส่วน "ผิด" รีบปฏิเสธทันที

อนึ่ง ผู้ที่กำหนดหัวใจประชาชนทั้งประเทศนั้นคือ ข้าราชการ ยิ่งเป็นทหารด้วยแล้ว หน้าที่ย่อมมีความสำคัญต่อความมั่นคงของชาติ และการเป็นอยู่ของประชาชนเคยได้ยินคนแต่ก่อนพูดเป็นเชิงยกย่องว่า "ตำรวจเป็นบ้านทหารเป็นรั้ว" แสดงให้เห็นว่าบ้านใด เมืองใดถ้าขาดรั้วขาดกำแพงเยี่ยงตำรวจ ทหาร แล้วบ้านนั้นเมืองนั้นย่อมไม่มั่นคง หมิ่นเหม่ต่ออันตรายรอบด้าน ท่านเป็นข้าราชการสังกัดกองทัพเรือ ทำอย่างไรจึงจะก่อให้เกิดความชื่นใจแก่ประชาชน และกองทัพของท่าน ผู้เขียนขอเสนอแนะตามแบบพุทธวิธีว่าขณะที่ท่านทำงานทุกอย่างนั้นคือ ท่านกำลังประกอบกรรมเพื่อส่วนรวมคือ ประเทศชาติ แต่ความมั่นใจใจงานที่ทำนอกจากปัญญาคือ ความรู้แล้ว จะต้องอาศัยสติสัมปชัญญะเข้าควบคุมทุกขณะ ทั้งนี้ เพื่อมิให้งานนั้นพลาด เหมือนขับรถ ถ้าขาดสติสัมปชัญญะแล้วไม่รู้สึกสำนึกตัวว่ากำลังทำอะไร หรือจะไปไหน แทนที่จะไปสู่จุดหมายปลายทางก็จะกลายเป็นว่าจุดหมายปลายทางนั้นคือ "ป่าช้า"

   ฉะนั้นนักทำงานทุกคนต้องสำนึกอยู่ตลอดเวลาว่าทำงานนั้น ทำทำไม ทำเพื่ออะไร ถามตัวเองให้รู้จุดประสงค์ เสียก่อน แล้วค่อยลงมือทำงานนั้น แล้วความผิดพลาดก็จะเกิดได้ยาก…..


ขอบคุณบทความจาก  ธรรมะไทย


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์