เทวดามีจริงหรือ?

เทวดามีจริงหรือ?


ปัญหามีอยู่ว่า: ตามบาลีมีอยู่ว่า

เทวดาที่ปรารถนาสุคติ ปรารถนามาเกิดในโลกมนุษย์นั้น ย่อมเป็นการรับรองว่า เทวดามีตัวจริง และ สวรรค์ก็มีตัวจริง ถ้าเชื่อว่ามีจริงเช่นนี้ จะไม่เป็นเรื่องเหลวไหลตามคติในยุคปัจจุบันไปหรือ?

ปัญหานี้ ผู้ถามได้ยึดเอาหลักที่อาตมาได้บรรยายไปในวันก่อนๆ ถึงตอนที่กล่าวว่า เทวดาที่ปรารถนาสุคติ หาที่อื่นไม่ได้ ไม่พบ ต้องมาหาในมนุษยโลก ซึ่งมีพระรัตนตรัย; เลยยึดเอาว่า ถ้าอย่างนั้น บาลีก็ยืนยันว่า ตัวเทวดามีจริง สวรรค์มีจริง?

อาตมาอยากจะขอตอบว่า ในบาลี มีกล่าวเช่นนั้นจริง และมีในรูปพระพุทธภาษิตจริง; แต่ความหมายนั้น หมายถึง เทวดาเป็นตัวบุคคลาธิษฐานเช่นนั้นจริงหรือไม่ เป็นอีกปัญหาหนึ่ง.

เรื่องเทวดานี้ ก็อยู่ในหลักเกณฑ์เดียวกันที่ว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่า ถ้าไม่ "มองเห็น" ได้ด้วยตนเองแล้ว อย่าไปเชื่อตามดีกว่า เพราะฉะนั้น ส่วนที่พูดถึงตัวเทวดาหรือ สวรรค์นั้น ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญ มันอยู่ที่ว่า คนที่มัวเมาอยู่ด้วยกามคุณอย่างเทวดาและจะเป็นเทวดาอยู่ที่ไหนก็ตาม ผู้ที่มัวเมาอยู่แล้วยากที่จะมีจิตใจที่โปร่งหรือแจ่มใสเพียงพอ ที่จะเข้าใจเรื่องดับทุกข์ หรือเรื่องนิพพาน

เพราะฉะนั้น เทวดาเมื่อสำนึกถึงความที่ตนมัวเมาอยู่ในกามคุณหรือในสวรรค์ได้ ก็เกิดความสลดสังเวชตัวเองว่าที่นี่ ไม่ใช่ที่เอาตัวรอดเสียแล้ว; ควรจะเป็นในที่ที่ไม่มัวเมา ในกามคุณมากถึงเช่นนั้น; ควรจะเป็นที่ที่จะหาเรื่องราวของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือเรื่องดับทุกข์นั้นได้โดยง่าย เพราะฉะนั้น โลกที่ดีที่น่าเกิด ก็ควรจะเป็นมนุษยโลกแทนที่จะเป็นเทวโลก.

เพราะฉะนั้น ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ว่า ควรจะอยู่ในที่ที่หาพบพระรัตนตรัยได้ง่ายหรือ ทำการดับทุกข์ได้ง่าย; เลิกพูดถึงมนุษยโลกหรือเทวโลก ซึ่งไม่ใช่ประเด็นสำคัญ.

ทีนี้ อาตมา อยากจะชี้แจงต่อ ถึงข้อที่ว่า ทำไม คำว่า เทวดา หรือ คำว่า สวรรค์นี้ มามีอยู่ในพระพุทธภาษิตและอยู่ในพระไตรปิฎก โดยตรง.

ทั้งนี้ ก็เพราะว่า ในประเทศอินเดีย สมัยนั้น มีความเชื่อเรื่องเทวดา เรื่อง นรก เรื่องสวรรค์ นี้อยู่โดยสมบูรณ์แล้ว มีรายละเอียดชัดเจน เหมือนที่กล่าวนี้ ทุกอย่างมาแล้วตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น พอพระพุทธเจ้า มีขึ้นในโลก เรื่องเหล่านี้ มันมีอยู่แล้ว จะไปเสียเวลาหักล้าง ก็ไม่ไหว พิสูจน์ให้คนโง่ เห็นไม่ได้ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า ท่านจึงพลอยตรัส เอออวยไปตามคำที่พูดๆ กันอยู่ แต่แล้ว ก็ทรงแสดง สิ่งที่ดีกว่าให้เขาเลิกละความสนใจหรือ ติดแน่นในสิ่งนั้นเสีย ให้เลิกละ ความติดแน่น ในนรก ในสวรรค์ ในเทวโลก พรหมโลก เหล่านั้นเสีย โดยมาเอา สิ่งที่ดีกว่า คือ เรื่องโลกุตตระ หรือ นิพพาน; ทั้งๆ ที่ไม่ต้อง เสียเวลา พิสูจน์ เรื่องเทวดา เรื่องนรกสวรรค์ ชนิดนั้น ว่ามันมีข้อเท็จจริงโดยแท้จริงอย่างไร.

มีอยู่ในพระไตรปิฎก บางแห่ง พระพุทธเจ้าตรัสว่า

เรื่องเทวดานี้ เขาพูดกันอย่าง เอิกเกริก ทั่วไปอยู่แล้ว เสียเวลา ที่จะไปฝืน ความรู้สึกของเขา; แล้วเราเอง ก็ต้องการ อีกอย่างหนึ่ง ต่างหาก สิ่งที่ต้องการ ไม่ได้เป็นอันเดียวกับที่ต้องการให้เขาหลงใหลในสวรรค์ ไม่จำเป็นที่จะต้อง อธิบายเรื่อง นรก สวรรค์ ซึ่งเป็นสิ่งที่จะพิสูจน์กันเดี๋ยวนั้นไม่ได้. ถ้าหากว่า ผู้นั้นจะมีปาฏิหาริย์มาก ถึงกับบังคับจิตผู้คนหรือกลุ่มประชาชน ให้เห็นนรกเห็นสวรรค์ด้วยอำนาจจิตได้อย่างแท้จริง; ซึ่งสวรรค์และนรก จะจริงไม่จริงไม่ทราบ; แต่ว่า สามารถบังคับด้วยปาฏิหาริย์ ให้พากันเห็นชัดเจนแท้จริง จนมีความเชื่ออย่างนี้ก็ทำได้;  พระพุทธเจ้า ท่านก็ทำได้ เป็นของง่ายๆ แต่ท่านก็ไม่ประสงค์ จะทำอย่างนั้น; กลับเอออวย ไปในบางส่วนว่าให้ทาน รักษาศีล นี่แหละ จะเป็นทางให้ได้สวรรค์ แล้วเมื่อได้สวรรค์ มาแล้ว เป็นอย่างไร ท่านก็ชี้ให้เห็นว่า สวรรค์นั้น มันเต็มไปด้วยโทษ คือ ความหลงใหลอย่างไร แล้วจึงทรงแสดงโทษของสวรรค์ ผู้นั้นก็พร้อมที่จะรู้เรื่องโลกุตตระ

เขาเห็นจริง เชื่อจริง มาตามลำดับ ว่า ทาน ศีล ให้เกิดสวรรค์, สวรรค์ มีลักษณะ อย่างนั้นๆ ประกอบไปด้วย อาทีนพ-คือโทษทำให้โง่ ให้หลง ให้วนเวียน ในวัฏฏสงสาร อย่างนั้นๆ จึงมีจิตใจ พร้อมที่จะรู้เรื่อง อริยสัจจ์ หรือ เรื่องของ โลกุตตระ

อุบายวิธี ทางธรรม เช่นนี้ เราจะเรียกว่า พระพุทธเจ้าท่านฉลาดในการสวมรอย หรือ อะไรก็ตามเถิด แต่ว่าความจำเป็นมันบังคับให้ทำได้เพียงเท่านั้น จะไปพิสูจน์ เรื่องนรก สวรรค์ กันมากกว่านั้นก็ไม่มีเวลา ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็น ทั้งไม่ได้ประโยชน์อะไร; เพราะเรื่องที่สำคัญนั้น ต้องการจะสอน ให้เห็น ความทุกข์ เดี๋ยวนี้ ให้เห็น เหตุให้เกิดทุกข์ เดี๋ยวนี้ กล่าวคือ เรื่องอริยสัจจ์สี่ นั่นเอง

เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า จึงทรงมีอุบาย ลัดๆ สั้นๆ ชำระของเกรอะกรัง ในจิตใจของประชาชน เรื่องนรก สวรรค์ เสียพอสมควรก่อน ได้แก่ ทรงแสดงเรื่อง ทาน เรื่องศีล แล้วเรื่องสวรรค์ แล้วย้ำเรื่อง โทษของสวรรค์ แล้วจึงถึงเรื่องการออกไปเสีย จากสวรรค์ ที่เรียกว่า เนกขัมมะ การออกไปเสียจาก กามคุณ ว่าจะมีผลดีอย่างนั้นๆ

พอมาถึงขั้นนี้แล้ว คนนั้นที่เรียกได้ว่า มีหัวใจเคยเกรอะกรังไปด้วยตะกอนต่างๆ มาแต่กาลก่อนๆ ถูกชำระล้างหมดสิ้นดีแล้วก็พร้อมที่จะรู้ อริยสัจจ์สี่ คือ ทุกข์ มูลเหตุให้เกิดทุกข์ สภาพที่
ไม่มีความทุกข์เลย และวิธีปฏิบัติ ที่จะให้ลุถึงสภาพชนิดนั้น พระพุทธเจ้า ท่านก็สอนเรื่องของท่านโดยตรงเอาตอนนี้เอง ส่วนตอนเรื่อง นรกสวรรค์อะไรนั้น เป็นตอนที่ไม่ใช่ใจความของพุทธศาสนา เขาเชื่อกัน อยู่อย่างนั้นแล้ว เขาทำกัน อยู่อย่างนั้นแล้ว ก่อนพระองค์เกิด ถ้าไปตู่เรื่องนี้มาว่าเป็นพุทธศาสนาก็เรียกว่า ไม่ยุติธรรม พระพุทธเจ้าท่านไม่ขี้ตู่อย่างนั้น เรื่องของท่านจึงมีแต่เรื่อง โลกุตตระ คือ อริยสัจจ์ เป็นพื้น

เพราะฉะนั้น จึงเห็นได้ว่า เรื่องสวรรค์หรือนรกนี้ไม่ใช่ประเด็นของพุทธศาสนาแต่มันพลัดมาอยู่ในคำของพระพุทธเจ้าได้เพราะความจำเป็นอย่างนี้

ฉะนั้น เราไปสนใจกับตัวพุทธศาสนาโดยตรงเสีย ปัญหาเรื่องนรกสวรรค์ ก็จะหมดสิ้นไปในตัวเอง หมดความจำเป็นไปในตัวเอง เพราะถ้าขืนเชื่องมงายไปตามผู้อื่นว่า มีจริง เป็นจริง อย่างนั้น ก็เป็นการถูกหลอกหรือ แม้แต่ เขาจะบังคับกระแสจิตให้เห็นได้ทางปาฏิหาริย์ก็ยังเป็นการ ถูกหลอกอย่างลึกซึ้งอยู่นั่นเอง

พุทธบริษัท ไม่ทำอย่างนี้จึงพิสูจน์เรื่อง ความทุกข์ และ เรื่องความดับทุกข์ โดยตรง เป็นเรื่องของ พุทธศาสนาแท้.



ที่มา คัดจาก หนังสือ ธรรมานุกรมธรรมโฆษณ์
ฉบับประมวลธรรม เล่ม ๒ เรียบเรียงโดย นาย พินิจ รักทองหล่อ
พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๔๐ โดย ธรรมทานมูลนิธิ
buddhadasa


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์