ใช้พลังจิตในการต่อสู้

ใช้พลังจิตในการต่อสู้

ใช้พลังจิตในการต่อสู้


ถาม
: ฝึกกำลังภายใน ฝึกไป...?

ตอบ: ท้ายๆ ก็เป็นเรื่องของจิตหมด ดูอย่างใน มังกรคู่สู้สิบทิศ ตอนนี้ถึงขั้นสัมพันธ์กับฟ้าดินแล้ว แต่ว่ายังมีอีกขั้นหนึ่งคือสู่อนุภาค ตอนนี้จะเหลือแต่จิตล้วนๆ

สมัยก่อนคนไทยของเรา เวลาฝึกมวยฝึกอาวุธ จะต้องหัดสมาธิภาวนาไปด้วย ระยะแรกๆ การใช้อาวุธ ท่าเท้า การเคลื่อนไหวของร่างกาย ต้องสัมพันธ์กันหมด ในเมื่อสัมพันธ์กันหมด พอเริ่มกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ก็อยู่ในระดับที่เรียกว่า ม้าย่อง พอต่อไปกำลังจิตเริ่มส่งออกมากดดันคู่ต่อสู้ได้ จะอยู่ในจุดที่เรียกว่า เสือย่าง คือเดินแบบเสือ เห็นแค่การเดินคู่ต่อสู้ก็รู้แล้วว่าเราเอาตายแน่ บางคนแพ้ตั้งแต่ไม่ทันจะลงมือ เพราะระดับห่างกันมาก พอสุดท้ายเขาเรียก สีหยาตร เดินแบบพญาราชสีห์ แบบนี้มีพลังจิตออกกดดันคู่ต่อสู้รุนแรงมาก ส่วนใหญ่คู่ต่อสู้จะยอมแพ้ตั้งแต่ก่อนที่จะลงมือ ที่เราอ่านๆ ไปในหนังสือนั่นแหละ สังเกตไหมว่าพอถึงระดับสุดท้ายแล้ว ของเขาสามารถที่จะใช้กำลังของเขาควบคุมคนอื่นได้

ในการฝึกพาหุยุทธ์ (มวยไทยโบราณ) มีท่า เหินเตะ ท่านี้เขาเรียกว่า หนุมานเหินหาว เป็นการใช้กำลังใจคุมร่างกายตัวเองให้ลอยขึ้น ตามเตะคู่ต่อสู้ไปเรื่อย ถ้าไม่หมอบคาเท้าก็ไม่เลิก ปัจจุบันเท่าที่รู้มีทำได้อยู่คนเดียว ก็คือ คุณสเกน แก้วผดุง ตอนนี้เปิดค่ายมวยอยู่อังกฤษ ต้องอัดกับพวกไอ้มืดไอ้หรั่งตัวยักษ์ๆ ที่มาท้าสู้เป็นประจำ สเกนเขาให้ฝรั่งๆ ๒ คนขี่คอกัน แล้วเอาดาบเสียบลูกแอ๊ปเปิ้ลชูขึ้นไปสุดแขน สูงน่าจะเกิน ๓ เมตร คุณสเกนเตะถึง ลักษณะเหมือนกระโดดในสายตาคนอื่นเขา แต่ในสายตาของพวกเราก็คือลอยขึ้นไปเฉยๆ

หลวงพ่อวัดท่าซุง บอกว่าใช้กำลังใจไม่มาก แค่คุมอุเพ็งคาปิติให้อยู่ในระดับนั้นก็พอ กำหนดใจเมื่อไรให้ได้ตรงจุดนั้นก็ใช้ได้ แค่นั้นเอง[/color] ไม่ได้ใช้กำลังใจเยอะเลย แต่อย่าลืมว่าเป็นส่วนหนึ่งของสมาธิ เพราะฉะนั้น..ปัจจุบันของเราอย่างที่หัด ๆ กันอยู่ในเรื่องของอาวุธ อย่าง สำนักพุทไธสวรรย์ ตามปัจจุบันแย่มากแล้ว [color=darkred]ถ้าสามารถใช้ได้แค่นี้เมืองไทยไม่รอดจากข้าศึกมาจนทุกวันนี้หรอก

เคยอ่านประวัติพระยาสีหราชเดโชหายตัวได้อึดใจหนึ่ง พอถึงเวลากลั้นใจว่าคาถา เขาเรียก คาถาวิรุฬจำบัง ข้าศึกจะมองไม่เห็นทั้งตัวทั้งเงาไปชั่วอึดใจหนึ่ง เหลือเฟือที่จะฟันหัวฝ่ายตรงข้าม ก็อาวุธยังเหมือนเดิมทุกอย่าง เพียงแต่เขามองไม่เห็น นั่นคือการใช้พลังจิตอย่างหนึ่ง

มารุ่นหลังๆ หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ อยุธยา เจ้าของหนึ่งในเหรียญเบญจภาคี แพงที่สุดในประเทศไทย หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ ท่านเปิดสำนักสอนกระบี่กระบองในวัด สมัยนั้นยังมีการค้าขายสำเภากับจีนอยู่ มีมือกระบี่จากเมืองจีนมา อยากทดสอบวิชาตัวเองว่าอยู่ระดับไหนแล้ว ก็ตามลุยไปทีละสำนัก เขาชนะมาตลอด พอไปถึงวัดพระญาติก็ขอลองด้วย หลวงพ่อกลั่นบอกว่าท่านเป็นพระ ท่านสอนแต่ลูกศิษย์ ถ้าคุณอยากลองก็ยอมให้ลอง แต่ว่ามีข้อแม้

หลวงพ่อกลั่นท่านบอกจะปิดให้ตีเพลงหนึ่ง เพลงหนึ่งเขาตีกลองกันลิ้นห้อยเหมือนกัน ไม่ใช่แค่พักเดียว อย่าลืมว่าเพลงหนึ่งอาจจะมีสักร้อยแปดกระบวนท่า จะปิดให้ตีเพลงหนึ่ง ถ้าคุณไม่สามารถทำอันตรายได้ คุณต้องกลับเมืองจีน แล้วอย่ามารังควานคนไทยอีก เขาก็ตกลง หลวงพ่อกลั่นถือพลองสั้น ๒ อัน ฝ่ายตรงข้ามใช้อาวุธได้ตามถนัด ลูกศิษย์บอกว่าพอหลวงพ่อกลั่นควงไม้พลอง มองไม่เห็นตัวหลวงพ่อเลย เห็นแต่เงาพลองล้อมอยู่ เจ้านั่นฟันจนลิ้นห้อยไม่ถูกสักที เข้าไปเท่าไหร่กระดอนกลับออกมาหมด ก็เลยยอม วางกระบี่กราบหลวงพ่อกลั่นแล้วก็กลับ ไม่รู้จะสู้ไปทำไม เขายังไม่ทันจะตีคืนเลย นั่นแหละ..วิชาการต่อสู้ที่บวกกับการฝึกจิตไปด้วย จึงทำได้เกินกว่าคนทั่วๆ ไป


สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกันยาน ๒๕๔๕



ขอบคุณบทความจาก วัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์