คนที่น่าสงสารที่สุด กับ คนฉลาด(หลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน)

คนที่น่าสงสารที่สุด กับ คนฉลาด


::: คนที่น่าสงสารที่สุด กับ คนฉลาด :::

“... คนเราเวลาตอนอยู่น่ะ มันเหมือนมันไม่ตื่นเต้นตอนตายไปแล้ว เพราะตอนอยู่มันก็อยู่กับสิ่งที่มีอยู่ แต่ตอนตายไปแล้วมันอยู่กับสิ่งที่ไม่มีอยู่ แล้วถ้าเราพูดถึงมันเหมือนกับว่า เรามีบ้านมีครอบครัว แล้วอยู่ๆ วันหนึ่งบ้านเราถูกไฟไหม้หมดเลย ที่ก็ถูกเขายึดไป พ่อแม่ก็ตายไปในกองไฟด้วย เราเหลือตัวคนเดียว นั่นนะ คือว่าคนที่ยังมีชีวิตอยู่คืออยู่กับสิ่งที่มีอยู่ แต่คนที่ตายไปแล้วอยู่กับสิ่งที่ไม่มี ก็เหมือนกับว่า บ้านก็ไม่มีแล้ว พ่อแม่ครอบครัวก็ไม่มี ตายไปพร้อมกับกองไฟ เหมือนคนที่ตายคือทุกอย่างทั้งหมดตายไปพร้อมกับกองไฟ เมื่อเขาตายมันก็ตายไปพร้อมกับเขา

ความรู้สึกเรานึกถึงคนที่ตาย เราจะรู้สึกเย็นถึงหัวใจเหมือนน้ำแข็ง แล้วมันอยู่ในหัวใจเรา มันเย็นเสียว เย็นแบบหวาดผวา เมื่อความตายจะมาอยู่ตรงหน้าเรา แล้วเราจะไปอยู่ในที่ๆ ไม่มีสิ่งที่มีอยู่ เพราะสิ่งที่มีอยู่นี้คือสิ่งที่เรารักและหวงแหน จะเป็นครอบครัว จะเป็นเงินเป็นทองข้าวของก็ตาม มันเหมือนอย่างน้อยสิ่งเหล่านั้นให้ทุกข์แก่เราก็ตาม แต่เราก็รู้สึกว่ามีความสุขที่เราอยู่กับมัน เหมือนพี่น้องครอบครัวลูกหลานเหมือนมีความทุกข์ที่อยู่ด้วยกัน แต่ก็ยังดีเรายังมีอยู่ ถึงแม้ของนั้นเป็นทุกข์ก็ตามเราก็ยังรู้สึกว่าเรามีความสุขที่ยังมีของพวกนี้

พอเราใกล้จะตายเราจะมีความรู้สึกว่าของสิ่งนั้นเราไม่อยากจาก นั่นคือน้ำแข็งที่จะเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ ในหัวใจของคนเรา และจะรู้สึกว่าเสียว หวาดผวา ระแวง แล้วก็มีความรู้สึกว่าโดดเดี่ยวเดียวดาย เวิ้งว้าง ไม่มีที่จะอาศัยอยู่ ประหนึ่งเหมือนกับคนที่บ้านถูกไฟไหม้ ที่ถูกยึด คนเหล่านี้น่าสงสารที่สุด เพราะในสมัยตอนที่ยังมีสิ่งที่มีอยู่ เขาไม่รู้จักการนำสิ่งที่มีอยู่ไปในที่ๆ ไม่มี ไม่มีอยู่ ถ้าเขาไม่รู้จักวิธีอย่างนี้เขาก็ไปหลงอยู่กับสิ่งที่เขามีอยู่ และก็พยายามฟูมฟักกับสิ่งที่มีอยู่ จนสุดท้ายเมื่อเขาจาก จากสิ่งที่มีอยู่แล้ว เขาก็ไปอยู่ด้วยความโดดเดี่ยวในสิ่งที่ไม่มีอะไรเลย เหมือนกับคนถูกไฟไหม้บ้าน ถูกยึดที่ พ่อแม่พี่น้องตายในกองไฟพร้อมกันหมด คนที่ฉลาดเขาจะย้ายในสิ่งที่มีอยู่ ไปในที่ๆ ไม่มีอยู่ หมายถึงคือ เราทำบุญแต่เราไม่รู้ว่ามันไปอยู่ที่ไหนบุญเรา เราถวายปัจจัยเราก็ไม่รู้ว่าปัจจัยของเรามันไปอยู่ตรงไหน ไปเรียกคืนไปหยิบมาก็ไม่ได้ มันไปแล้ว ถวายแล้วมันก็ไปแล้ว เราถวายอาหารตอนเช้า ของที่มีอยู่ไง เราทำให้มันไปอยู่ในที่ๆ มันไม่มีอยู่ เพราะเราต้องไปอยู่ในที่ๆ มันไม่มีของพวกนี้ เมื่อคนฉลาดทำสิ่งเหล่านี้ แล้วเรียกว่าเป็นประโยชน์ของตัวเอง ไม่ต้องรอให้คนอื่นทำบุญไปให้

แต่การทำสิ่งเหล่านี้จะต้องประกอบไปด้วยเจตนาที่มีความประสงค์ดีต่อการให้ คือการให้ทาน ต้องมีความประสงค์ดี อยากให้ แล้วดีใจที่ได้ให้ ดีใจที่ได้ทำสิ่งเหล่านี้ อันนี้เรียกว่าความประสงค์ดี และความบริสุทธิ์ของใจของเรามีอยู่ ความบริสุทธิ์ก็คือเรื่องของศีล มีความบริสุทธิ์ในระดับหนึ่งของผู้ที่จะให้ นั่นก็คือศีลเป็นตัววัด วัดความบริสุทธิ์ สองก็คือทานที่เราให้ วัดความบริสุทธิ์ว่าเราได้มาด้วยความบริสุทธิ์มากน้อยแค่ไหน ถ้าเราได้มาความบริสุทธิ์อย่างที่สุด ศีลของเราบริสุทธิ์อย่างที่สุดและมีเจตนาบริสุทธิ์ที่จะให้ อันนี้มหาศาลมาก ทำแค่ชิ้นเล็กๆ อย่างเช่นน้ำเพียงหนึ่งหยด กลายเป็นมหาสมุทรใหญ่ได้เลย อานิสงส์นะ เพราะมันอาศัยการแปรกระบวนการของสิ่งเหล่านั้นจากความบริสุทธิ์ของสามประการ หนึ่ง บริสุทธิ์ศีล สอง บริสุทธิ์ที่ทาน สาม บริสุทธิ์เจตนา สามประการนี้กลายเป็นของใหญ่โต ...”

ตอนหนึ่งของพระธรรมเทศนา ณ บ้านธรรมยอดไกรศรี พระราม๒
โดยหลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน

คนที่น่าสงสารที่สุด กับ คนฉลาด(หลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน)

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์