ติดหนี้สงฆ์จะมากจะน้อย เขาปรับโทษอเวจีอย่างเดียว

ติดหนี้สงฆ์จะมากจะน้อย เขาปรับโทษอเวจีอย่างเดียว


พระอาจารย์ เล่าว่า "ที่ วัดท่าขนุน ตอนนี้บริษัทรับเหมากำลังเจาะเสาเข็มกันอยู่ อาตมาเองก็เพิ่งทำพิธีลงเสาเอกไปเมื่อวันที่ ๒๗ ที่ผ่านมา แต่เป็นที่น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง ก็คือพวกคนงาน ถึงเวลาก็ลงไปกวาดเหรียญเงิน เหรียญทอง เหรียญในหลวง แก้วแหวนอะไรต่างๆ ไปคนละหอบสองหอบ อาตมาก็ไม่รู้จะบอกเขาไปทำไม ว่าสิ่งที่ตัวเขาเองทำนั้นจะเดือดร้อนสาหัสทีหลัง

ญาติโยมจำนวนมากยังไม่ทราบว่า การที่เข้าวัดเข้าวา แล้วนำเอาสิ่งต่าง ๆ ไปนั้นเป็นหนี้สงฆ์ คำว่า "หนี้สงฆ์" ถ้าเราไม่รู้โทษก็จะไม่รู้สึกว่าหนัก ขอบอกว่าหนี้สงฆ์จะมากจะน้อย เขาปรับโทษอเวจีอย่างเดียว เพียงแต่ว่าจะอยู่นาน อยู่เร็วกว่ากันเท่าไร ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนหนี้สงฆ์ที่เราเป็นอยู่ การเป็นหนี้สงฆ์ถ้าไม่ได้ชำระหนี้ บุญทั้งหมดที่ทำมาเป็นหมันหมด เพราะว่าเขาจะเอาลงไปปิ้งเล่นที่อเวจีก่อน..!

อาตมาสงสารพวกคนงานชุดนั้น แต่รู้ว่าบอกไปก็ไร้ประโยชน์ ถ้าบอกไปจะเป็นโทษหนักกับเขาอีก เพราะกลายเป็นว่ารู้แล้วยังขืนทำ ถ้าไม่บอกก็ให้เขาทำๆ ของเขาไป โทษยังไม่หนักเท่านั้น เขาอาจจะได้ทอง ได้เงินไปขายเพื่อยังชีพ สร้างความสุขสบายให้แก่ตัวเองก็ได้แค่พักเดียว พอถึงเวลาความเดือดร้อนมาถึงจะแก้ตัวก็ไม่ทันแล้ว เพราะส่วนใหญ่ไปรู้เอาตอนตาย

ในเมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเราเองที่พอจะรู้ ก็พยายามแนะนำลูกหลานญาติโยมของตนเองให้เข้าใจในเรื่องของการเป็นหนี้สงฆ์ คนโบราณสมัยก่อนจิตใจละเอียดมาก บรรดารุ่นปู่ย่าตายาย เวลาจะไปวัด จะบอกลูกหลานให้หยิบดินที่บ้านก้อนหนึ่งใส่หาบไปด้วย พอไปถึงก็ไปโยนไว้ในวัด เพราะเขาถือว่าการเดินเข้าวัด ทำให้มีเศษดินจากวัดติดเท้าไป ในเมื่อเศษดินจากวัดติดเท้าไปเท่ากับว่าเป็นหนี้สงฆ์

คนโบราณที่ใจละเอียดก็เลยใช้วิธี ชำระหนี้สงฆ์ โดยการเอาดินจากบ้านก้อนหนึ่ง จะก้อนเล็กก้อนใหญ่ก็อยู่ที่ลูกหลานจะหยิบให้ ใส่หาบที่เอาภัตตาหารไปถวายพระ ถึงเวลาก็เอาไปโยนไว้ในวัด ถือว่าใช้หนี้กันไป แล้วอีกส่วนหนึ่งที่โบราณท่านทำอยู่เป็นประจำ ก็คือการขนทรายเข้าวัด เขาก็ถือว่าการติดหนี้สงฆ์นั้น แต่ละปีจะทำการใช้หนี้ด้วยการขนทรายเข้าวัด สมัยก่อนทรายไม่ได้ซื้อหากันง่ายอย่างในสมัยนี้ อยากได้ทรายต้องไปงมเอาในแม่น้ำ ต้องดำน้ำลงไปตักขึ้นมาทีละถังครึ่งถัง แล้วแต่ว่าใครจะสามารถตักได้เท่าไร"

"อย่างสมัย หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ทำการก่อสร้าง หลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกว่า หลวงปู่ปานต้องดำงมทรายเอง ตัวดำเป็นเหนี่ยงเลย เด็กสมัยนี้ไม่รู้จักว่า "เหนี่ยง" หน้าตาเป็นอย่างไร แมลงเหนี่ยง เป็นแมลงชนิดหนึ่ง บางคนเรียกว่าแมลงตับเต่า เอามาคั่วเกลือกินอร่อยดี ดำจนขึ้นเงา เพราะฉะนั้น..สมัยก่อนอะไรที่ดำๆ เขาจะไม่บอกว่าดำเหมือนอีกา เขาจะบอกว่าดำเป็นเหนี่ยง ท่านบอกว่า “หลวงปู่ปานนี่ดำทรายทุกวัน ตัวดำเป็นเหนี่ยงเลย” ว่าอย่างนั้น

แสดงว่าสมัยก่อนที่เราจะซื้อจะหาทรายกันเพราะมีเครื่องดูดนั้น คนโบราณเขาใช้วิธีดำไปตักทรายกัน แล้วก็เอาใส่หาบ หาบไปวัด ไปก่อเจดีย์ทรายถวายเป็นพุทธบูชา แล้วอีกประการหนึ่งที่สำคัญก็คือ ได้ชำระหนี้สงฆ์ที่ตนเองติดหนี้เอาไว้ เนื่องจากว่าเข้าวัดเข้าวาแล้ว ได้เหยียบย่ำเอาดินทรายติดเท้าไป มาระยะหลัง หลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านแนะนำว่า ถ้าอยากจะชำระหนี้สงฆ์ให้สร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก ถ้าสร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอกแล้วไม่ปิดทอง ชำระหนี้ได้เฉพาะเจ้าภาพคนเดียว แต่ถ้าปิดทองด้วย ชำระได้ทั้งคณะ จะกี่ร้อยกี่พันคนก็ได้ถ้าร่วมกันทำ

ญาติโยมส่วนใหญ่เข้าวัดแล้วไม่มีความรู้ เพราะว่ารุ่นพ่อรุ่นแม่ก็ไม่รู้ ไม่ได้อบรมมา รุ่นเราก็ไม่รู้ ถึงเวลาจึงไม่ได้อบรมต่อ ลูกหลานก็ยิ่งไม่รู้หนักเข้าไปอีก ฉะนั้น..ถึงเวลาเข้าวัดแล้ว ชอบใจอะไรก็หยิบไปเรื่อย เห็นดอกไม้สวยเด็ดดอกไม้ เห็นผลไม้สุกเก็บผลไม้ เป็นต้น สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นทำให้เราเป็นหนี้สงฆ์ทั้งนั้น และโดยเฉพาะบรรดาลูกหลานที่เป็นพระยิ่งไม่เข้าใจ ก็ยิ่งมีการแสดงออกที่ทำให้พ่อแม่เป็นหนี้สงฆ์หนักขึ้นไปอีก ก็คือญาติโยมเขาถวายอะไรมา ก็ขนกลับบ้านไปให้พ่อแม่"

สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
ณ บ้านวิริยบารมี วันที่ ๓๑ เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖


ที่มา :
เก็บตกงานฉลองบ้านวิริยบารมี วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ - กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

ติดหนี้สงฆ์จะมากจะน้อย เขาปรับโทษอเวจีอย่างเดียว


ติดหนี้สงฆ์จะมากจะน้อย เขาปรับโทษอเวจีอย่างเดียว

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์