กรรมเก่าของพระพุทธเจ้า 11 อย่าง

กรรมเก่าของพระพุทธเจ้า

ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่าน ในการใช้ชีวิต ที่ต้องดำเนินผ่านความทุกข์ยากลำบากต่าง ๆ และหลายท่าน ก็ต้องเผชิญกับวิบากกรรมที่ทำไว้ในอดีต แม้พระมหาโมคคัลลานะ สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่ก็ยังถูกทุบจนร่างกายแหลกเหลว
เพราะชาติก่อนเคยทุบตีพ่อแม่ไว้  ไม่มีใครหนีพ้นผลของกรรม   ฉะนั้น ทุก ๆ ครั้งที่จะเริ่มทำกรรม ทางกาย วาจา และใจ ขอให้สร้างเป็นบุญ สร้างเป็นกุศลอย่างเดียว  เพราะบุญเท่านั้น เป็นที่พึ่งของสัตว์ในปรโลก  และหากเจ็บปวดมากแค่ไหนกับผลกรรมที่ได้รับในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นความล้มเหลวทางการงาน กา่รหาเิงิน ความรัก เรื่องเพื่อน หรือเรื่องอะไรก็ตาม  ให้ใช้ขันติ เพื่อสะกดความเดือนเนื้อร้อนใจให้หยุดเป็นความแข็งแกร่ง  และให้ใช้โอกาสนี้เรียกปัญญามาเพื่อมองเห็นความจริง ที่รู้ว่าโลกมีสภาพอย่างนี้  การที่เราจะมาเป็นทุกข์ใจกับโลกที่มีสภาพอย่างนี้บ้าง อย่างนั้นบ้าง เป็นธรรมดา ไ่ม่สมควร  เืมื่อเรียกสติ ขันติ และัปัญญากลับมาได้ แม่ว่าจะอยู่ในสภาวะเลวร้ายแค่ไหน จิตใจก็กลับสงบ  ดังพระพุทธภาษิตว่า 

"สุเขน ผุฏฺฐา อถวา ทุกฺเขน
     น อุจฺจาวจํ ปณฺฑิตา ทสฺสยนฺติ."

                                   บัณฑิตทั้งหลาย อันสุขหรือทุกข์ถูกต้องแล้ว    
                                                ย่อมไม่แสดงอาการขึ้นๆลงๆ.

เมื่อวางจิตเป็นกลางได้แล้ว ก็ให้รู้ว่ากรรมเก่านั้นสักแต่ว่ารับ ไม่ยินดี ยินร้าย และจะไ่ม่ทำกรรมใด ๆ ใหม่อีก ด้วยการรักษาศีลห้า และปิดกั้นอกุศลทุกทางที่จะเกิด ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อตัวเราเอง ใครจะสำคัญยิ่งไปกว่าตน  

บาปกรรม เมื่อให้ผล ย่อมให้ผลอย่างเจ็บช้ำ สาสมกับเมื่อที่เวลาทำ ทำลงไปไม่คิด  เพราะอวิชชา คือความไม่รู้อริยสัจ ทำให้สัตว์หลงทำกรรม แต่เมื่อได้ทราบธรรมะ สัตว์ที่ได้พิจารณาตาม ก็จะมีปัญญา ทลายอวิชชาลงไปทีละส่วนจนถึงความสิ้นไปโดยสิ้นเชิง หมดเรื่องเศร้า หมดความเสียใจ หมดเรื่องกลุ้มกันเสียที แต่ตราบใดที่ยังไม่สำเร็จมรรคผล โอกาสที่จะทำอกุศลกรรมนั้นเป็นไปได้ง่าย ด้วยกำลังของกิเลสที่รุมเร้าเนือง ๆ ดังนั้นแล้ว นอกจากศึกษาธรรมะ รักษาีศีลแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการเจริญสติ รู้ตัวทั่วพร้อม 
เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่มีสติ  เมื่อนั้นไม่มีกิเลส  
เมื่อใดไม่มีกิเลส เมื่อนั้นไม่ทำกรรมชั่ว 
เมื่อใดไม่ทำกรรมชั่ว เมื่อนั้นย่อมเป็นสุข


กรรมเก่าของพระพุทธเจ้า 11 อย่าง

ในพระไตรปิฏก มีพุทธภาษิตอยู่บทหนึ่งว่า "สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตัว มีกรรม เป็นตัวให้กรรมเนิด มีกรรมเป็นตัวเกี่ยวข้อง 

 มีกรรมเป็น ที่พึ่ง สัตว์ทั้งหลาย ทำกรรมใดไว้ ดีหรือชั่วก็ตาม จักได้ผลกรรมนั้นแน่นอน...." 

และว่า " ไม่ว่าจะไปอยู่กลางอากาศหรือหนีไปอยู่กลางทะเล จะช่วยให้คุ้มครองให้พ้นจากบาปกรรมได้ไม่มีเลย " 

จากพุทธภาษิตนี้ พระพุฒโฆษาจารย์ ผู้รจนาคัมภีร์อรรถกถาพระวินัย ได้นำมาเขียน สรุปไว้ในผลงานของท่านว่า 

"ขึ้นชื่อว่าผลกรรมแล้วไม่มีใคร สามารถห้ามได้ นั้นก็ หมายความว่า คนเราเมื่อทำอะไรลงไปแล้วไม่ว่าดีหรือชั่วก็ตาม ถึงคราวที่ความดีความชั่ว จะให้ผลนั้นย่อม ไม่มีใครห้ามได้ แม้พระพุทธเจ้า ของเราเองก็ทรงห้ามไม่ได้" 

ความจริงข้อนี้ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฏกเล่มที่ 32 (ขุททกนิกาย อปทาน) ซึ่งในพระไตร ปิฏกเล่มนี้ มีกล่าวไว้ว่า ... 

พระพุทธเจ้าได้ตรัสเล่าถึงกรรมเก่าที่มาให้ผลแก่พระองค์กรรมเก่าที่ตรัสเล่านั้นเป็นกรรมเก่าที่ทำไว้ในอดีตชาติ เมื่อครั้งยังเป็นปุถุชน แล้วมาให้ผลใน ชาติปัจจุบันถึงแม้ว่าพระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็ยังไม่พ้นไป จากผลของ กรรมเก่านั้นซึ่งนำมาสรุปกล่าวได้ดังนี้ 


กรรมเก่าของพระพุทธเจ้า 11 อย่าง

กรรมเก่าอย่างแรก คือ แกล้งโคไม่ให้ดื่มน้ำ

พระองค์ตรัสเล่าว่า ชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นคนเลี้ยงโค ต้อนโคไปเลี้ยง เห็นแม่โคแวะดื่มน้ำข้างทาง เกรงจะชักช้าจึงไล่แม่โคไม่ให้ดื่มน้ำ ด้วยการแกล้งเอาไม้กวนน้ำให้ขุ่น บาปกรรมในชาตินั้นส่งผลมาถึงชาตินี้ 

แม้จะได้ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ส่ง ผลให้พระองค์กระหายน้ำแล้วไม่ได้เสวยสมปรารถนาทันที เมื่อคราวใกล้จะเสด็จ ดับขันธ ปรินิพพาน 


กรรมเก่าอย่างที่สอง คือ กล่าวตู่ผู้มีศีลด้วยเรื่องไม่จริง

พระองค์ตรัสเล่าว่า เป็นกรรมเก่าทำไว้ในหลายชาติในอดีตดังนี้ ในชาติหนึ่ง พระองค์เกิดเป็นนักเลง ชื่อ "ปุนาลิ" 

ได้กล่าวตู่ (ใส่ร้าย) พระัปัจเจกพระพุทธเจ้าพระนามว่า "สุรภี" ว่าทำผู้หญิงท้อง ตายจากชาิตินั้น บาปกรรมส่งผลให้ ไปเกิดอยู่ในนรกนานแสนนาน เสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส เกิดมาในชาตินี้ แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เศษกรรมที่ยังหลงเหลืออยู่ ก็ส่งผลให้พระองค์มาถูกนางสุนทริกา กล่าวตู่ว่าพระองค์ได้ร่วมรักกับนางจนตั้งครรภ์ ต่อมาในชาติหนึ่ง มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก 

พระองค์ได้ทรงกล่าวตู่พระเถระชื่อ "นันทะ" พระสาวถองค์หนึ่ง ของพระพุทธเจ้าด้วยเรื่องทำนองเดียวกัน ตายจากชาตินั้น 

 บาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรกนานนับหมื่นปี เกิดมา ในชาตินี้แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว 

เศษกรรมที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ส่งผลให้พระองค์ถูก นางจิญจมาณวิกา กล่าวตู่ว่าพระองค์ได้ร่วมรักกับนางจนนางตั่งครรภ์อีกเช่นกัน 




กรรมเก่าอย่างที่สาม คือ ฆ่าน้องชายต่างมารดา

พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นลูกเศรษฐี บิดาของพระองค์มีภรรยาหลายคน 

ภรรยาคนหนึ่ง มีลูกชายพระองค์เกรงว่าทรัพยสมบัติส่วนหนึ่งจะถูกแบ่งไปให้แก่น้องชายต่างมารดานั้นจึงลวงน้องชายไปฆ่าที่ซอกเขาแล้วเอาหินทับไว้ ตายจากชาิตินั้นบาปกรรมส่งผลให้ไปเกิอยู่ในนรกนานปี เกิดมาในชาิตินี้แม้จะได้ตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้าแล้ว  เศษกรรมที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ส่งผลให้พระองค์ถูกพระเทวทัตกลิ้งหินกระทบนิ้ พระบาทจนห้อ พระโลหิต 



กรรมเก่าอย่างที่สี่ คือ จุดไฟดักทางพระปัจเจกพุทธเจ้า

พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต คราวที่โลกว่างจากพระพุทธเจ้า มีพระปัจเจกพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลก พระองค์เกิดเป็นควาญช้าง 

วันหนึ่งเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งบิณฑบาตแล้วเกลียดจึงไสช้างให้จับ พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปนั้น ตายจาก ชาตินั้น บาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรกนานแสนนาน เกิดมาในชาตินี้ แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า 

เศษกรรมที่ยังหลงเหลือ อยู่ส่งผลให้พระองค์ถูกพระเทวทัตยุยงพระเจ้าอชาตศัตรู ให้ปล่อยช้างนาฬาคีรีมาแทงพระองค์ 



กรรมเก่าอย่างที่หก คือ นำทหารออกศึก

พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาิติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นแม่ทัพนำทหารออกรบฆ่า ข้าศึกตายเป็นจำนวนมากด้วยหอก ตายจาก ชาตินั้น บาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรกนานแสนนาน เสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส เกิดมาในชาตินี้ แม้จะได้ตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้า 

เศษกรรมที่ยังหลงเหลือ อยู่ก็ส่งผลให้พระองค์ถูกพระเทวทัตชักชวนนายขมังธนูผู้ดุร้ายมาฆ่า 


กรรมเก่าอย่างที่เจ็ด คือ เห็นคนฆ่าปลาแล้วชอบใจ

(ข้อนี้แสดงให้เห็นว่า เพียงแค่เราดีใจ ที่เห็นคนทำบาป  แค่นั้นกรรมก็ตกกับเราแล้ว)

พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นลูกชาวประมง อาศัยอยู่ในหมู่บ้านชาวประมง เห็นชาวประมงฆ่าปลาแล้วเกิดความสนุกยินดีสนุกสนาน มาเกิดในชาตินี้ แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว บาปกรรมก็ยังส่งผลให้พระองค์รู้สึกปวดพระเศียรเมื่อคราวที่พวกเจ้าศากยะพระประยูรญาติของพระองค์ ถูกพระเจ้าวิฑูฑภะกษัตริย์แห่งแคว้นโกศลยกทัพบุกสังหาร 



กรรมอย่างที่แปด คือ ด่าพระสาวกของพระพุทธเจ้า

พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นคนปากกล้าด่าว่าพระสาวกของพระพุทธเจ้าผุสสะ (พระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 17 ในจำนวนพระพุทธเจ้า 28 พระองค์ที่ปรากฏพระนามในคัมภีร์พระพุทธศาสนาฝ่ายบาลี) และพูด-ดันทำนองว่าให้ท่านเหล่านั้นได้ฉันแต่ข้าวชนิดเลว อย่าให้ได้ฉันข้าวดีๆอย่างข้าวสาลีเลย 

ตายจากชาตินั้นบาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรกนานแสนนาน มาเกิดในชาตินี้แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ่าแล้วบาปกรรมก็ยังส่งผลให้พระองค์ได้รับนิมนต์จากพราหมณ์เวรัญชาให้ไปจำพรรษาในเมืองเวรัญชา 

ครั้นพระองค์เสด็จไปถึงก็เกิดข้าวยากหมากแพง ทำให้พระองค์ต้องเสวยข้าวชนิดเลว(ข้าวแดง)อยู่นานถึง 3 เดือน 



กรรมอย่างที่เก้า คือ มีส่วนร่วมในการจัดมวยปล้ำ

พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นคนจัดมวยปล้ำ มาเกิดในชาตินี้ แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว บาปกรรมยังส่งผลให้พระองค์มีโรคประจำตัวพระองค์คือ ปวดพระปฤษฏางค์ (ปวดหลัง)



กรรมอย่างที่สิบ คือ เป็นหมอยารักษาคนไข้ตาย

พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นหมอยารับรักษาลูกชายเศรษฐี โดยวิธีให้ถ่ายยา จนลูกชายเศรษฐีตาย (ทำด้วยความจงใจ ไม่ใช่ทำพลาด) ตายจากชาตินั้น บาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรก มาเกิดในชาตินี้แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว

เศษกรรมที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ส่งผลให้พระองค์เกิดพระโรคปักขันทิกาพาธ(โรคท้องร่วง) หลังจากเสวยสุกรมัททวะก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน 



กรรมอย่างที่สิบเอ็ด คือ เยาะเย้ยพระพุทธเจ้า

พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นชายหนุ่มชื่อ "โชติปาละ" วันหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้ากัสสปะ (พระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 26 ในจำนวนพระพุทธเจ้า 28 พระองค์ที่ปรากฏพระนามในคัมภีร์พระพุทธศาสนาฝ่ายบาลี) แล้วกราบทูลทำนองเย้ยหยันว่า ทำไมจึงได้ตรัสรู้ช้าต้องบำเพ็ญพียรอยู่นานกว่าจะตรัสรู้ได้ 

มาเกิดในชาตินี้ซึ่งแน่นอนว่าพระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแน่ แต่ด้วยผลกรรมนั้นจึงส่งผลให้พระองค์หลงทางในการแสวงหาโมกธรรมจนต้องบำเพ็ญทุกรกิริยา อันทำให้พระองค์ต้องประสบกับทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสกว่าจะตรัสรู้ได้ 



ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ คือกรรมเก่าที่ไม่ดีของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ตรัสเล่าไว้อย่างเปิดเผย พระไตรปิฏกบอกว่าพระองค์ตรัสเล่า 

 ให้พระสาวกจำนวนมากที่มาเฝ้าพระองค์ฟังขณะที่ประทับนั่งอยู่บนพื้นหินแก้ว ในละแวกป่าใกล้สระอโนดาตเชิงป่าหิมพานต์ ณ ที่นั้นนอกจากจะได้ตรัสถึงกรรมเก่าที่ไม่ดีแล้วพระองค์ก็ทรง ตรัสถึงกรรมเก่าที่ดีซึ่งเป็นปัจจัยให้พระองค์ได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าไว้ด้วยนั่นคือ ถวายผ้าเก่าแก่พระ พระองค์ตรัสเล่าว่าในชาติหนึ่งในอดีตนั้นพระองค์เกิดเป็นคนยากจนเห็นพระสาวกของพระพุทธเจ้ารูปหนึ่งซึ่งถืออยู่ป่าเป็นวัตรแล้วเลื่อมใสจึงถวายผ้าห่มเก่าผืนเดียวที่ตัวเองมีอยู่แก่ท่านพร้อมกันนั้นก็ได้ฟังเรื่องราวของพระพุทธเจ้าจากพระสาวกรูปนั้นแล้วเกิดเลื่อมใสยิ่งขึ้นจึงตั้งจิตปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรกการเริ่มต้นปรารถนาแต่ครั้งนั้นของพระองค์ส่งผลให้ทำความดีมาอย่างต่อเนื่องจนมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในชาตินี้ 

 เรื่องราวที่กล่าวมานี้ย่อมชี้ให้เห็นว่ากรรมที่ทำแล้วไม่ว่าดีหรือชั่วก็ตามย่อมคอยโอกาสให้ผลอยู่ตลอดเวลาตราบที่ผู้ทำกรรมยังเวียนวายตายเกิดแม้ชาติสุดท้ายจะได้บรรลุอรหัตผลแล้ว แต่โดยเหตุที่ยังมีชีวิตอยู่ซึ่งชีวิตนี้เกิดมาจากกรรมเก่าฉะนั้นยังคงต้องได้รับผลอยู่ดี 

 พระพุทธเจ้าของเราเองก็เช่นกัน แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วแต่กรรมเก่าก็ยังหาโอกาสให้ผลอยู่เป็นระยะ 

 กรรมเก่าบางอย่างก็ให้ผลมาแล้วแต่ยังมีเศษเหลืออยู่ แต่กรรมเก่าบางอย่างก็ยังมิได้ให้ผลมาเลยและมาให้ผลเต็มในชาตินี้ 

 เห็นไหมว่ากรรมยิ่งใหญ่ขนาดไหนพระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้เราเข้าใจ ให้ถูกต้องและการแก้กรรมที่ดีนั้นก็คือ ไม่ทำความชั่วทำแต่ความดีแล้วจิตของเราก็จะพบกับความสุขสมบูรณ์แล. 



ข้อมูลจาก  อาจารย์ยบรรจบ บรรณรุจิ จากหนังสือ พ้นโลก ปีที่ 2 ฉบับที่ 12 เดือนมีนาคม พศ. 2535

ขอขอบคุณ  สมาชิก พันทิป Real-Fine



เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์