จิตบริสุทธิ์ เป็นพื้นฐานที่สำคัญยิ่ง


การอธิษฐานเป็นการจดจ่อแน่วแน่ของจิต จิตของคนเราจะมีพลังอานุภาพมากต่อเมื่อจิตใจมีความบริสุทธิ์ และเมื่อจิตจดจ่อและตั้งมั่นอยู่ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งนานๆ เข้า จิตจะสามารถน้อมนำสิ่งที่ต้องการนั้นมาสู่เราได้ แต่สิ่งที่น้อมนำมาเป็นเรื่องของผล ก่อนจะมีผลก็ต้องมีเหตุก่อน

 

เราต้องสร้างเหตุที่ดีให้เกิดขึ้นก่อนแล้วจึงจะได้ผลที่ดีตาม

พลังจิตเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะเป็นองค์ประกอบในการอธิษฐาน เราจะอธิษฐานอะไรได้ผลหรือไม่ได้ผลก็ขึ้นอยู่กับพลังจิตของเรานี่แหละครับที่เป็นเหตุ เปรียบเทียบได้กับคนไข้กับคุณหมอ คุณหมอไม่สามารถจะทำการรักษาคนไข้ให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ได้เลย จนกว่าจะทำให้คนไข้มีจิตใจนั้นที่แข็งแรงสมบูรณ์เสียก่อน

เรื่องจิตนี่คนเรานั้นได้ติดตัวกันมาก่อนตั้งแต่เกิดกันทุกคนแล้ว นอกจากจะมีติดตัวกันมาตั้งแต่เกิดแล้วยังติดมาจากภพชาติในอดีตก่อนอีกต่างหาก หลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องราวของผู้ที่มีพลังจิตสูงๆ ผู้ที่สามารถระลึกชาติได้และสามารถนำมาช่วยเหลือคนอื่นในด้านต่างๆ ได้ด้วย

เรื่องนี้เรียกได้ว่าเป็น "จิตฐานเดิม" ที่มีติดตัวกันมาตั้งแต่ก่อน เพราะในอดีตนั้นคนเหล่านี้เคยมีการสะสม และการปฏิบัติมาแล้วหลายภพหลายชาติมาก่อนเรียกว่ามีอยู่ในเชื้อในตัวอยู่แล้ว เพียงแต่มีการฝึกฝนเพิ่มเติมในปัจจุบันเพียงเล็กน้อยจิต ก็มีความเข้มแข็งขึ้นมาได้ และเมื่อนำจิตที่มีความเข้มแข็งนี้ไปใช้จึงประสบความสำเร็จได้เกือบทุกครั้งไป

นี่จึงเป็นเหตุผลที่สำคัญว่า ทำไมบางคนตั้งจิตอธิษฐานในบางสิ่งบางอย่างเพียงครั้งหรือสองครั้งก็ได้รับการตอบสนอง แต่กับบางคนกลับกลายเป็นเรื่องที่ยากแสนยาก เพราะจิตฐานเดิมไม่มีความมั่นคงเพียงพอ

หรืออาจจะเป็นเพราะกรรมในอดีตส่งผลมาถึงเช่นในอดีต อาจเคยติดสุรา หรือมีสิ่งที่คอยรบกวนจิตประสาทให้เกิดความอ่อนแออยู่เสมอ จิตได้เคยถูกทำลายมาก่อน หรือจิตเคยอยู่ในสัตว์ที่อยู่ในภูมิของเดรัจฉานที่มีชีวิตอยู่เพียงโดยสัญชาติญาณ

พอได้เกิดมาในภพชาติปัจจุบัน จิตจึงไม่มีพลังมากพอ ฝึกเท่าไหร่ก็ไม่ได้ผล หรือ จิตก้าวหน้าได้ช้า พอนำจิตไปใช้ก็ไม่มีพลังมากพอจะส่งให้เกิดผลสำเร็จ อธิษฐานอะไรก็ไม่ค่อยเกิดผล

แต่เรื่องได้ผลหรือไม่ได้ผลนั้นต้องมีเรื่องของ "กรรม" เข้ามาเป็นปัจจัยสำคัญเกี่ยวข้องด้วย เพราะถึงแม้ว่าในอดีตทำบุญเรื่องจิตมาดี แต่ปัจจุบันทำไม่ดีไม่ได้ฝึกฝนต่อ ก็ไม่ส่งผลต่อการอธิษฐานอะไร

ส่วนคนที่ทำดีสร้างกรรมดีเป็นพื้นฐานในปัจจุบันอยู่ตลอดเวลา แต่พลังจิตอ่อนหากได้ฝึกฝนอย่างต่อเนื่องจิตก็จะมีความเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ เมื่อนำจิตไปใช้เพื่อการอธิษฐานแม้อาจจะเห็นผลช้าแต่ก็รับรองว่าจะได้ผลอย่างแน่นอน

ดังนั้นเมื่อทราบถึงเหตุผลและองค์ประกอบของการตั้งจิตอธิษฐานให้ได้ผลแล้ว จะเห็นได้ว่าเราไม่อาจย้อนไปแก้ไขเหตุต้นเดิมหรือ จิตฐานเดิมในอดีตชาติได้ สิ่งสำคัญก็คือเราจะเรียนรู้ต่อไปว่าจิตที่มีพลังนั้นคืออะไร และจะฝึกจิตอย่างไรในปัจจุบันให้มีพลังเพื่อเป็นพื้นฐานในการอธิษฐานที่ทรงพลังและมีอานุภาพต่อไป

 

เข้าใจเรื่องพลังจิต

มีหลายๆ คนที่ต้องการเสาะหาคำตอบที่ว่า ถ้าจิตและพลังจิตมีอยู่จริงแล้ว เหตุใดจึงมองไม่เห็นหรือไม่อาจจะจับต้องได้ด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เพราะในเมื่อมีจริงก็ต้องพิสูจน์ให้เห็นจริงได้สิ่งที่มองไม่เห็นและไม่มีตัวตนยากจะพิสูจน์แบบนี้ จึงทำให้หลายคนไม่เชื่อในเรื่องของจิตที่มีในตนจึงไม่อาจจะฝึกฝนให้มันแข็งแกร่งขึ้นมา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้คำจำกัดความเกี่ยวกับลักษณะของจิตว่า

อสรีรํ แปลว่า ไม่มีร่างกาย

คุหาสยํ แปลว่า มีคูหาเรือนกายเป็นที่อาศัย

ซึ่งคำที่มาจากพระโอษฐ์ของของพระพุทธองค์นี้ ได้ครูบาอาจารย์สำคัญท่านหนึ่งที่วงการพระพุทธศาสนารู้จักท่านดี ในฐานะครูบาอาจารย์ด้านอภิธรรมและในด้านอื่นคือ พระเทพวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตัณโณ) ท่านได้เมตตา ขยายความเอาไว้ในหนังสือเรื่องกฎแห่งกรรม ที่จัดพิมพ์ไว้เป็นธรรมทานอธิบายเรื่องจิต เพื่อให้คนทั่วไปเข้าใจกันได้ง่ายว่า

"...จิตนี้เป็นนาม ไม่ใช่รูป จึงไม่อาจจะมองเห็นได้ เพราะมันไม่มีรูปร่าง ไม่มีสี ไม่มีเสียงและ ไม่กินที่อยู่จึงไม่อาจจะจับต้องได้ด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ใดๆ แต่เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ซึ่งสามารถรู้ได้และ สังเกตได้จากพฤติกรรมที่แสดงออกมา

เช่น เมื่อดีใจ เสียใจ มีความโกรธ ความโลภ หรือมีความสุข เพราะจิตแสดงออกทางกายให้ปรากฏเช่นเดียวกับความรู้ แม้จะไม่มีตัวตนแต่ก็มีอยู่จริง แสดงออกได้ว่ามีหรือไม่มี มีน้อยหรือมีมาก ตัวเราเองย่อมรู้ชัดได้ด้วยตัวเอง เพราะจิตเป็นตัวทำหน้าที่จดจำ นึกคิด สั่งงาน เก็บได้กระทั่งกรรมและ กิเลสเอาไว้ คนที่มีความสามารถบางคนสามารถใช้พลังจิตหรืออำนาจจิตของตนเองสะกดคนอื่นได้ด้วย"

ในศาสตร์สมัยใหม่ นักจิตวิทยาชื่อก้องโลกอย่าง ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) ได้ทำการศึกษาวิเคราะห์เรื่องจิตใจของคนเราและพยายามจะอธิบายว่า จิตใจทำหน้าที่ควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ซึ่งมีอยู่ 3 ลักษณะคือ

1. จิตรู้สำนึก (Conscious mind) เป็นสภาวะจิตที่มีความรู้ตัวอยู่ว่าคนเรารู้ว่ากำลังทำอะไร แสดงพฤติกรรมแบบไหนออกมาให้สอดคล้องกับหลักหรือเหตุการณ์แห่งความเป็นจริง

2. จิตกึ่งสำนึก (Subconscious mind) เป็นสภาวะจิตที่ระลึกถึงได้ รู้ว่ามีอยู่แต่ไม่ได้แสดงออกมาในขณะนั้นหรือเวลาปัจจุบัน และเป็นส่วนที่รู้ตัวอยู่แต่สามารถดึงจิตออกมาใช้ได้ทุกเมื่อตามที่ต้องการ

3. จิตใต้สำนึก ( Unconscious mind) เป็นสภาวะจิตใจที่ไม่อยู่ในภาวะที่จะรู้ตัวหรือระลึกถึงไม่ได้ในเวลานั้น และถูกซ่อนอยู่ เป็นเหมือนสิ่งที่ถูกฝังลึกอยู่ในจิตใจแต่มีอิทธิพลจูงใจต่อ พฤติกรรมและการดำเนินชีวิตของคนเรามากที่สุด

จิตใต้สำนึกของคนเรานี่แหละครับที่มีความสำคัญมาก ฟรอยด์ได้แบ่งจิตใต้สำนึกลงไปอีก ถึง 3 ส่วนคือ อิด (Id) หมายถึงจิตที่เป็น "สัญชาติญาณดิบ" เป็นอารมณ์ความรู้สึกที่มีติดตัวคนเรามาตั้งแต่เกิด เช่น มีความรัก โลภ โกรธ หลง เป็นความรู้สึกพื้นฐานที่ทุกคนนั้นมีติดตัว

อีโก้ (Ego) เป็นจิตใต้สำนึกที่อยู่ตรงกลางระหว่าง สัญชาติญาณดิบและ "คุณธรรม"คอยทำหน้าที่ไม่ให้คนเราแสดงสัญชาติญาณดิบออกมามากเกินไป เช่น คอยควบคุมไม่ให้เราแสดงความต้องการทางเพศและระบายออกมาในที่สาธารณะ หรือ ควบคุมจิตในการรับประทานอาหารอย่างพอดี รู้จักรักษามารยาททางสังคม เป็นต้น

และซูเปอร์อีโก้ (Super Ego) เป็นพลังจิตที่ได้เรียนรู้ด้านค่านิยม คุณธรรม ความดีความชั่วซึ่งเป็นพลังงานที่ดีมาคอยกั้นการแสดงออกทาง Id เพียงอย่างเดียวแต่ พลังงานด้านนี้ก็ไม่อาจแสดงออกมาทางคุณธรรมเพียงอย่างเดียวเช่นกัน ต้องมี อีโก้มาคอยดึงไม่ให้แสดงออกถึงคุณธรรมมากเกินไป จิตใต้สำนึกทั้งสามนี้ จึงอยู่รวมกันในร่างกายของมนุษย์และทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์

จากการได้นิยามความหมายเรื่องจิตนี้ พอจะสรุปความหมายเรื่องจิตได้ง่ายๆ ดังนี้ครับ คือ ผมอยากให้ลองนึกถึงว่า จิตของคนเรานี้ดังเดิมแล้วก็เหมือนกับน้ำใสๆ สะอาดๆ น้ำเป็นของเหลวต้องมีที่อยู่ก็ต้องหาภาชนะใส่ให้มัน เช่น ขวดน้ำ แก้วน้ำ ใส่มันลงไปในภาชนะรูปร่างแบบไหนก็กลายเป็นรูปร่างอย่างนั้น เช่นใส่ในขวดก็น้ำกลายเป็นรูปขวด ใส่ในแก้วน้ำก็กลายเป็นรูปแก้ว ซึ่งภาชนะนี้ก็เปรียบเสมือนร่างกายของคนเรา

น้ำนี่ก็เปรียบเหมือนจิตยังถูกปรุงแต่งเพิ่มเติมลงไปได้อีก เช่น ถ้าเอาสีอะไรไปใส่น้ำใสๆ ก็ กลายเป็นสีนั้น เอาน้ำหอมไปใส่น้ำก็กลายเป็นน้ำหอม หรือถ้าเอาโคลนไปใส่น้ำก็กลายเป็นน้ำโคลนข้นๆ ดำๆ เช่นกัน จิตที่อยู่ในกายของเราก็เช่นกันครับ ปกติเราเกิดมาจิตมันก็ใสๆ และสะอาด แบบเด็กทารกผู้ไม่รู้อะไรเลย ถ้าเอาอะไรเติมลงไปก็เป็นการปรุงแต่งจิตให้เป็นไปตามนั้น

สิ่งที่นำมาปรุงแต่งลงไปก็เรียกได้สองแบบ คืออย่างแรกคือ ของปรุงแต่งจิตแบบในทางโลกก็คือ องค์ความรู้ต่างๆ ทั้งหมดทั้งมวลที่ปรากฏอยู่ในโลก ค่อยๆ ถ่ายทอดและป้อนให้เรียนรู้กันมาตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย

ส่วนแบบที่สองก็คือของปรุงแต่งจิตในแบบทางธรรมก็คือ "กิเลส" ความอยากได้อยากมี อยากเป็นทั้งหลาย ซึ่งมีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคนอยู่แล้วและ ถูกความรู้ทางโลกเป็นตัวดึงกิเลสออกมาผสมผสานให้เข้ากันเพื่อตอบสนองความต้องการได้ตรงกับจิตที่ถูกปรุงแต่งไป

เพื่อความเข้าใจในเรื่องนี้ ผมขออนุญาตนำคำสอนของหลวงปู่ดุล อตุโล แห่งวัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์ ที่ท่านก็ได้เทศนาสั่งสอนเรื่องการที่จิตของเราถูกปรุงแต่งเอาไว้ เพื่อให้ทุกท่านเจริญในธรรมและเข้าใจในเรื่องจิต ได้ง่าย หลวงปู่ดูล ท่านเทศน์ไว้ว่า

"แท้จริงแล้วจิตนั้นก็คือ พุทธหรือสิ่งที่สูงสุด ไม่มีพุทธะอื่นใดที่ไหนอีก ไม่มีจิตอื่นใดที่ไหนอีกจิตที่บริสุทธิ์มันแจ่มจ้าและไร้ตำหนิ เช่นเดียวกับความว่าง คือมันไม่มีรูปร่างหรือปรากฏการณ์ใดๆ เลย ถ้าเราใช้จิตของเราให้ปรุงแต่งความคิดเพ้อฝันไปต่างๆ นั้น ก็เท่ากับเราได้ทิ้งเนื้อหาอันเป็นสาระเสีย แล้วไปผูกพันตัวเองอยู่กับรูปธรรมซึ่งเป็นเปลือก

จิตนั้นเป็นเหมือนกับความว่างซึ่งภายในนั้นไม่มีความสับสนและไม่มีความไม่ดีต่างๆ เห็นได้จากเมื่อดวงอาทิตย์ผ่านไปในที่ว่างแห่งนั้น ย่อมส่องแสงไปได้ทั้งสี่มุมโลก เพราะว่าเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นย่อมให้ความสว่างทั่วไปทั้งผืนโลก ความว่างที่แท้จริงนั้นมันไม่ได้สว่างขึ้น และเมื่อพระอาทิตย์ตกความว่างก็ไม่ได้มืดลง ปรากฏการณ์ของความสว่างและความมืดย่อมสับเปลี่ยนซึ่งกันและกัน

 

แต่ธรรมชาติของความว่างนั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง จิตของพุทธและของสัตว์โลกทั้งหลายก็ย่อมเป็นเช่นนั้น"

จากคำเทศน์ของท่าน คงพอจะแสดงให้เห็นว่า จิตนี้แท้จริงแล้วไม่ใช่จิตที่เกิดจากความคิดที่ถูกปรุงแต่งด้วยปัจจัยต่างๆ หรือกิเลสใดๆ เป็นสิ่งที่อยู่ต่างหากปราศจากความเกี่ยวข้องกับรูปธรรมใดๆ ในโลกอย่างสิ้นเชิงในทางธรรมแล้ว การที่ทำให้จิตว่างเปล่าไร้การปรุงแต่งปราศจากกิเลสทั้งหมด ก็คือการเข้าถึงความว่าง หมายถึง "พระนิพพาน"นั่นเอง

ขอเปรียบเทียบเรื่องจิตกับ "น้ำ" อีกเป็นประเด็นสุดท้ายเพื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เราจะเห็นแล้วว่า จิตที่จะนำไปใช้ได้ดีก็คือ จิตที่สะอาดเหมือนกับน้ำสะอาด น้ำสะอาดๆ ใครๆ ก็อยากเอาไปใช้กระทำการต่างๆ จะเอามาดื่มกิน เอามาหุงหาทำอาหาร ผสมในยา หรือแม้กระทั่งจะซักผ้า ถูบ้าน ล้างจาน หรือแม้แต่ย่อมจะได้ผลดี

หากเป็นน้ำที่สกปรกเจอไปด้วยสิ่งต่างๆ เชื่อว่าก็ไม่มีใครอยากเอาไปใช้หรือถ้านำไปใช้ก็ไม่อาจใช้มันได้เต็มที่ จะเอาไปดื่มก็ไม่ได้ จะเอาไปซักล้างใดๆ ก็มีแต่รังจะทำให้สกปรกมากขึ้นไปอีก ผลหรือประโยชน์ของน้ำที่ไม่สะอาดนั้น ย่อมน้อยไปตามความบริสุทธิ์

ดังนั้น จิตที่สะอาดหมดจด จึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการนำไปใช้โดยเฉพาะเรื่องการอธิษฐานให้ได้ผลและมีพลังต้องอาศัยจิตที่สะอาดเป็นองค์ประกอบหลักๆ แต่ในเมื่อเราเกิดมาถูกปรุงแต่งจิตกันมาตั้งแต่เกิดจนกระทั่งปัจจุบัน น้ำที่เคยใสตั้งแต่เกิดก็คงไม่ใสสะอาดเหมือนเดิมอีกแล้ว ต้องหาวิธีการทำให้น้ำกลับมาใสเหมือนเดิมจึงจะนำมันไปใช้ได้


จิตบริสุทธิ์ เป็นพื้นฐานที่สำคัญยิ่ง

โดย ธ. ธรรมรักษ์


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์