เหตุใดบางคนถึงเกิดมารวยล้นฟ้า และบางคนเกิดมายากจนเข็ญใจ


เหตุใดบางคนถึงเกิดมารวยล้นฟ้า และบางคนเกิดมายากจนเข็ญใจ

คลายความสงสัย ทำไมบางคนเกิดมารวย บางคนเกิดมาจน บางคนก็พอมีพอกินอยู่ได้ตามอัตภาพ ก่อนจะนำไปสู่หลักวิธีการ ขอทำความเข้าใจเรื่องคำถามที่ว่า ทำไมฟ้าช่างไม่ยุติธรรมบันดาลให้คนเรารวยจนแตกต่างกัน บางคนเกิดมาก็รวยล้นฟ้า บางคนก็เกิดมายากจนเข็ญใจแบบแทบจะไม่มีอะไรกิน

คนที่เกิดมาร่ำรวยนั้น มีเหตุให้รวยเพราะกรรมหรือการกระทำได้กำหนดเอาไว้ เช่นเดียวกับคนที่เกิดมายากจนก็เช่นเดียวกัน เพราะการกระทำกำหนดให้เป็นไป ตัวอย่างที่อยากจะกล่าวถึงเรื่องบุคคลที่ร่ำรวยมากๆ รวยมาตั้งแต่เกิดนั้นมีมากมาย ขอยกตัวอย่างบุคคลหนึ่งที่รวยแสนรวยและสามารถชี้มูลเหตุแห่งความรวยได้ชัดเจน นั่นก็คือ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี

ท่านผู้นี้รวยแค่ไหน ก็ร่ำรวยขนาดมีเจ้าชายท้าให้เอาทองไปกองให้เต็มลานที่จะสร้างวัดได้เมื่อไหร่ก็จะยกพื้นที่นั้นให้สร้างวัด ท่านก็รับคำท้าจัดแจงเอาทองคำที่ท่านมองว่าเป็นเหมือนวัตถุธรรมดาไม่ต่างจากกระเบื้องมาปูให้เต็มลาน จนเจ้าชายต้องซูฮกยอมถอย ยกพื้นที่ให้สร้างวัด เพราะทึ่งในความศรัทธา

นี่คือ คนรวยระดับที่โลกต้องจารึก กาลเวลาผ่านไปกว่าสองพันห้าร้อยปี เรื่องราวของเศรษฐีคนนี้ก็ยังถูกนำมาเล่าขานให้ชนรุ่นหลังได้ฟังอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งการที่ท่านร่ำรวยขนาดนี้นั้นไม่ใช่จู่ๆ ฟ้าก็บันดาลลงมาให้ท่านรวย คนที่จะตอบคำถามว่าท่านรวยขนาดนี้ได้อย่างไรก็มีเพียงพระพุทธเจ้าเพียงผู้เดียว ผู้ซึ่งเป็นผู้รู้แจ้งทุกสิ่งในโลก

พระพุทธเจ้าตรัสเล่า เหตุแห่งความร่ำรวยของเศรษฐีคนนี้ว่า ย้อนไปเมื่อแสนกัปปีที่แล้ว ในสมัยนั้นมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งพระนามว่า ปทุมุตตระพุทธเจ้า ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้เกิดเป็นบุตรของผู้มีสกุลในเมืองหงสาวดี เป็นผู้มีอันจะกินคนหนึ่ง

อยู่มาวันหนึ่ง ท่านได้ไปฟังธรรมจากพระบรมศาสดา ได้เห็นพระบรมศาสดาทรงสถาปนาอุบาสกท่านหนึ่งไว้ในตำแหน่ง เอตทัคคะผู้เป็นเลิศกว่าอุบาสกทั้งหลายด้านการถวายทาน เป็นเหตุให้ท่านอยากเอาอย่างบ้าง

เมื่อท่านได้เห็นดังนั้นจึงได้เร่งสั่งสมบุญกุศลอย่างยิ่งยวด นอกจากทำมาหากินอย่างสุจริตค้าขายอย่างชอบธรรมแล้ว ท่านยังมีการเลี้ยงพระถวายภัตตาหารเป็นสังฆทาน โดยมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธานตลอด 7 วัน แล้วตั้งความปรารถนาว่า ความปรารถนาอย่างอื่นไม่ต้องการเลย ต้องการตำแหน่งอันเลิศอย่างนี้อย่างเดียว และเพียรทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ

เมื่อละสังขารจากชาตินั้นแล้วไปบังเกิดในสวรรค์ จนกระทั่งถึงเวลาก็ลงมาสร้างบารมีบนโลกมนุษย์อีก ท่านเวียนว่ายตายเกิดอยู่ใน 2 ภพภูมิ คือ เทวโลก และมนุษยโลกเท่านั้น ในช่วงตลอดแสนกัปที่ผ่านมาไม่เคยไปท่องในอบายภูมิเลยแม้สักครั้ง

มาในสมัยพุทธกาลนี้ ท่านเศรษฐีก็ได้มาบังเกิดในเรือนของสุมนเศรษฐี แห่ง นครสาวัตถี พ่อแม่จึงตั้งชื่อว่า "สุทัตตะ" แล้วด้วยอุปนิสัยรักการให้ของท่าน จึงได้ชื่อใหม่ว่า อนาถบิณฑิกเศรษฐี ซึ่งเป็นชื่อที่ท่านตั้งความปรารถนาไว้ จนกระทั่งได้มาพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและได้สร้างมหาทานบารมีอย่างเต็มที่

ท่านเศรษฐีนั้นไปวัดพระเชตวันทุกวันมิได้ขาด วันละสามครั้งบ้าง สองครั้งบ้าง โดยท่านจะไปอุปัฏฐากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งเวลาเช้าและเวลาเย็น นอกจากนี้ท่านเศรษฐียังไปบำรุงพระภิกษุสงฆ์แห่งอื่นๆ ด้วย คือไปทั่วถึง ตั้งแต่พระบรมศาสดากระทั่งพระสาวก เวลาท่านเศรษฐีไปวัด ท่านไม่เคยไปมือเปล่าเลย เพราะใจท่านเอื้ออาทรต่อพระเณร อยากให้ท่านทำพระนิพพานให้แจ้งได้สะดวก เจริญสมาธิภาวนาได้สะดวก

ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้ทำทาน รักษาศีล เช่นนี้ทุกวัน จนกระทั่งทรัพย์ของท่านเริ่มหมดลง บริวารจึงมาเรียนให้ทราบว่า ทรัพย์มากมายกำลังหมดลงไปแล้ว หมดไปด้วยเหตุหลายเรื่อง พ่อค้าที่ร่วมลงทุนค้าขายกับท่านได้กู้เงินจากท่านเศรษฐีไปแล้วไม่ยอมเอามาคืน ขอยืมเป็นขอลืม ทรัพย์ที่ท่านฝากพระแม่ธรณีที่ฝังเอาไว้ในแผ่นดิน เป็นสมบัติของตระกูลท่านอีกมาก ซึ่งฝังไว้ที่ริมตลิ่ง ต่อมาก็ถูกน้ำเซาะพังทลายไป ทรัพย์ทั้งหลายก็หายไปตามสายน้ำ

ด้วยเหตุนี้ทรัพย์ของท่านจึงหมดลง แต่แม้จะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐียังถวายทานแด่พระภิกษุสงฆ์เป็นประจำ แม้วัตถุทานของท่านไม่ประณีตเหมือนเดิม แม้ทานนั้นไม่ประณีตก็ถวายทานไปอย่างเดิม

แม้แต่เทวดาที่อยู่ในซุ้มประตูบ้านมาบอกให้เลิกทำทาน ท่านก็ไม่สนกลับไล่เทวดาองค์นั้นไปเสียด้วยซ้ำ ใครมาบอกให้โกงบ้าง คดบ้างท่านก็ไม่ยอมกระทำ มุ่งมั่นทำทานรักษาศีลให้เคร่งครัดที่สุด ยอมอดเพื่อให้คนอื่นได้อิ่ม แม้จะมีเหลือแค่ปลายข้าวกับน้ำผักดองก็ยังคงมุ่งมั่นทำทานต่อไป

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ทรงห้ามการให้ที่ดูจะเกินกำลังแล้วของท่านเศรษฐี เพราะทรงทราบว่า ผลแห่งบุญที่กระทำนี้ คือ ความสุขความสำเร็จในชีวิตและจะส่งผลให้สุทัตตะมีความสุขความเจริญแน่นอน ซึ่งก็เป็นความจริงเช่นนั้น ที่ทรัพย์ทั้งหลายที่เคยสูญหาย หรือถูกโกงถูกนำกลับมาคืนได้ทั้งหมด จะเห็นได้ว่า การกระทำหลักๆ ที่ทำให้ร่ำรวยมาก นั้นเป็นกรรมที่เกิดขึ้นทางใจก่อนคือ

ความมีนิสัยใจคอเผื่อแผ่ คือเอาแต่คิดให้
ท่านเศรษฐีสุทัตตะมีจิตผูกใจอยู่กับการให้ เคยชินกับการเป็นผู้ให้ รักที่จะให้มาตั้งแต่อดีตชาติ ขนาดไม่มีให้ก็ขวนขวายกระวนกระวายอยากหามาช่วยเหลือคนกำลังตกทุกข์ได้ยาก ตลอดชีวิตมีแต่ใจอยากเจือจาน กลัวแต่ว่าคนอื่นจะมีไม่พอ กระทั่งลืมๆว่าตัวเองจะมีพอไหม ผลแห่งการใจดีเกินธรรมดา คือการเป็นผู้มีทรัพย์มากเกินกว่าคนทั่วไปจะพึงมีพึงได้

การละอายต่อบาปอย่างยิ่งยวด
คือขนาดยอมอดตายดีกว่าคิดคดโกง ผู้ไม่คิดเพ่งเล็งเอาทรัพย์ผู้อื่นโดยมิชอบ ย่อมรับผลเป็นความสุขและปลอดภัยในทรัพย์สิน จะเห็นได้ว่าแม้ทรัพย์จะถูกคดโกงหรือถูกทำให้เสียหายสุดท้ายก็จะได้คืนมาอยู่ดี

กรรมทางใจเป็นหลักนี้เป็นเหตุให้เกิดการกระทำความดีขึ้นมาอีกมากมาย ครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งเป็นผู้รู้เกี่ยวกับเรื่องผลบุญและกรรมที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งได้กล่าวสนับสนุนเรื่องกรรมปลีกย่อยที่แต่งให้คนๆ นั้นเกิดมาร่ำรวยอีกมากมายหลายประเด็นดังนี้

1. ชี้ช่องคนอื่นรู้จักทำมาหากิน
คือเคยช่วยเหลือให้ผู้อื่นกลายเป็นผู้ฉลาดในธุรกิจ กับทั้งมีใจใหญ่คิดเผื่อแผ่กลยุทธ์การทำมาหากินอย่างสุจริตให้กับคนทั้งประเทศ หรือทั้งโลก หากการเผื่อแผ่ของเขาเป็นไปโดยบริสุทธิ์และปรารถนาให้คนทั้งแผ่นดินอยู่ดีกินดี มีชีวิตที่เป็นสุขขึ้นก็เป็นเหตุให้เกิดมาร่ำรวยได้

บุญที่ทำนั้นอาจนำให้ไปเกิดในถิ่นฐานอุดมสมบูรณ์ หรืออย่างน้อยแม้เกิดในถิ่นฐานแห้งแล้งด้วยบาปบางประการ เขาก็จะมีกินมีใช้เหนือกว่าคนที่อยู่แวดล้อมทั้งหมดตั้งแต่เกิด นอกจากนั้นยังฉลาดในการหา ฉลาดในการเก็บ และฉลาดในการใช้เป็นอย่างยิ่ง เพราะเคยบอกกล่าววิธีคนอื่นมาก่อน

2. เคยงดเว้นบาปชนิดที่ให้ผลเป็นความอัตคัดใดๆ ทุกรูปแบบ
หมายความว่า ไม่เคยไปสร้างกรรมที่ทำให้เกิดความเดือดร้อนทางทรัพย์สิน ไม่เคยก่อความทุกข์ยากให้สูญทรัพย์แก่ใคร ไม่เคยเผาไล่ที่ใคร ทั้งที่มีสิทธิ์ทำได้ด้วยอำนาจที่มี ตนเองเห็นว่าคนยากจนกำลังใช้พื้นที่หลวงบางส่วนในการทำมาหากินอย่างสุจริต แม้จะก่อความไม่เรียบร้อยไปบ้าง ก็ไม่ไปตัดโอกาสในการทำมาหากินของเขา

3. เคยเป็นผู้ยกผลประโยชน์ใหญ่ของตนให้คนอื่นด้วยน้ำใจเมตตาอารี
เช่นตนเองเคยเป็นส่วนสำคัญในการสร้างสาธารณประโยชน์ให้กับสังคมส่วนรวมมากมาย และเมื่อมีผลประโยชน์เกิดขึ้นอันชอบธรรมที่ตนเองพึงจะได้แล้ว กลับไม่ยอมรับผลประโยชน์อันนั้น กลับยกให้เป็นของส่วนรวมเพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่ หรือเคยเป็นผู้เคยมอบสมบัติให้แก่ผู้สมควรได้รับ หรือมอบวัตถุอย่างใหญ่ มอบที่ดินให้เป็นประโยชน์แด่สงฆ์

4. เคยเป็นผู้ให้ลาภลอยแก่คนอื่นโดยที่เขาไม่คาดฝัน
มีอุปนิสัยแห่งการให้ คือเมื่อพบเห็นใครน่าช่วยเหลือก็ช่วยเลยทันทีทำให้คนอื่นเขาได้รับลาภเพราะความช่วยเหลือของตน ทำให้เขายินดีปรีดามีความสุขกับลาภที่ด้ หรือทำให้เขารอดจากภาวะยากลำบากแบบฉับพลันทันที

หรือเคยเป็นผู้ตั้งใจให้คนอื่นดีใจกับการได้รับของขวัญ ของกำนัลโดยไม่คาดฝัน ชอบสร้างความประหลาดใจโดยไม่เปิดโอกาสให้คนๆ นั้นรู้เนื้อรู้ตัว หวังจะเห็นเขาตื่นเต้นยินดีสุดขีด ความหวังชนิดนั้น ถ้าทำสำเร็จก็ให้ผลเป็นลาภลอยก้อนใหญ่ได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ารู้ว่าใครอยากได้อะไรมานาน รู้ว่าชีวิตเขาจะเปลี่ยนไปในทางดีขึ้นหากได้สิ่งนั้น ก็จะบังเกิดผลให้เป็นคนที่ลาภลอยก้อนใหญ่แบบไม่คาดฝัน

นอกจากการกระทำที่ก่อให้เกิดความร่ำรวยอันเกิดจากการให้ทานแล้ว ความร่ำรวยยังมาในลักษณะของโชคลาภและความสามารถในการประกอบอาชีพได้อีกหลายทาง เช่นคนที่สามารถประกอบอาชีพใดๆ ก็ตามแล้วมีกำไรอยู่เสมอก็มี การสร้างบุญมาในลักษณะที่แตกต่างกันไป

เช่น เคยให้ความหวังแก่พระสมณะว่าจะถวายสิ่งโน้นสิ่งนี้ ตกปากรับคำแล้วภายหลังนำมาถวายตามสัญญาเสมอ แต่ให้ยิ่งขึ้นกว่านั้นคือท่านต้องการเพียงหนึ่ง แต่ได้นำของที่ท่านประสงค์มาถวายเป็นสิบ หรือเป็นจำนวนมากกว่าที่ท่านคาดหวังโดยมีจุดมุ่งหมายให้ท่านได้ใช้สอยเผื่อเหลือเผื่อขาด

เมื่อกลับไปทำงานค้าขายประกอบอาชีพ ถ้าเก็งไว้ว่าจะทำยอดกำไรสินค้าให้ถึงเป้าสักล้านบาง ยอดการค้าก็อาจพุ่งพรวดทะลุเป้าไปเป็นหลายสิบล้าน มีโชคช่วยตลอด แม้ฝีมือจะไม่ได้ดีกว่า หรือมีเล่ห์เหลี่ยมมากกว่าพ่อค้ารายอื่นก็ตาม ข้อนี้พระพุทธเจ้าเคยตรัสแนะนำวิธีการค้าขายกับเศรษฐีไว้เป็นกรณีพิเศษ หากคนที่ไม่มีวิบากกรรมเก่ามาเป็นอุปสรรค ก็น่าจะได้เห็นผลทันตาในชาตินี้ได้

ยิ่งไปกว่านั้นคุณงามความดีที่ส่งผลให้เกิดความเจริญ ความร่ำรวยอาจมาในรูปแบบของผลตอบแทนที่ได้คุ้มกับความรู้ความสามารถในงานที่ทำลงไปในทุกๆ งาน คือแม้จะไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไรมากนัก แต่เมื่อลงมือทำงานใดๆ แล้วก็มักจะได้เงินตอบแทนกลับมาแบบคุ้มค่าเหนื่อยทุกครั้ง เพราะตนเองก็เคยให้ผลประโยชน์กับคนอื่นอย่างตรงไปตรงมา สมน้ำสมเนื้อแล้วกับความรู้ความสามารถของพวกเขา

อาจเคยเป็นผู้ทำงานโดยเล็งประโยชน์สุขแก่คนอื่น คือตั้งต้นไม่ได้คิดเรื่องกำไรหรือรายได้เป็นหลัก เช่นอยากทำยาสีฟันออกขาย ก็เฝ้าครุ่นคิด หรือให้ทุนนักวิจัยว่าทำอย่างไรจะได้ยาสีฟันดีๆ มีคุณภาพสูง รักษาเหงือกและฟันได้จริง อีกทั้งมีราคาไม่แพงเกินกำลังผู้บริโภคส่วนใหญ่ เรียกว่ามอบสินค้าที่เกินคุ้มให้กับสังคม ประโยชน์สุขของผู้บริโภคจะย้อนกลับมาเป็นกำลังหนุนให้ได้รับผลตอบแทนเกินกว่าที่คาดฝันเช่นกัน

จากที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด แม้อาจจะยังไม่สามารถตอบคำถามของหลายๆ คนได้อย่างตรงมากมนัก อย่างน้อยก็น่าจะทำให้เริ่มเห็นได้ว่าการเป็นคนรวยล้นฟ้านั้น แน่นอนว่าจะต้องมีจิตแห่งทานในอดีตเป็นบุญเก่าหนุนส่งอยู่ แต่ยังต้องอาศัยปัจจัยอีกหลายต่อหลายอย่างในปัจจุบันประกอบร่วมเข้าไปด้วย

คนเรานั้นมีอยู่ 4 ประเภท แต่ละประเภทก็ล้วนเป็นไปเพราะกรรมกำหนดให้เป็นไปทั้งสิ้นคือ

1. มามืดไปสว่าง คนพวกนี้เกิดมาเป็นลูกของพ่อแม่ที่เป็นคนธรรมดา แต่สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้ดี กลายเป็นคนสำคัญของแผ่นดิน มีชื่อเสียงเกียรติยศค้ำจุนวงศ์ตระกูลให้มั่นคงยิ่งใหญ่ เป็นที่รู้จักกันทั่วบ้านทั่วเมือง แม้แต่เมื่อเสียชีวิตแล้วก็ยังได้รับพระราชทานเพลิงศพ

ตนเองแม้จะไม่รู้จักกรรมในอดีตที่ทำให้เกิดมาไม่ค่อยมี แต่ก็เพียรสร้างการกระทำความดีใหม่ให้เกิดขึ้น เมื่อทำดีชีวิตก็ย่อมได้ผลดีอยู่ตลอด ไม่เอากรรมเก่ามานั่งทุกข์ร้อนว่าเกิดมาจนก็ต้องจนตลอดไป สร้างกรรมใหม่ให้กลายเป็นคนร่ำรวยมีความสุขได้ ก็เพราะ คิดดี ทำดีอย่างสม่ำเสมอเป็นเหตุ

2. มาก็มืด ไปก็มืด คนพวกนี้เรียกได้ว่ามีต้นทุนในชีวิตที่ต่ำมากทั้งในทางโลกและทางธรรม คือเกิดมาก็ฐานะยากจนอยู่แล้ว ทั้งยังไม่มีโอกาส หรือไม่ได้แสวงหาโอกาสที่จะพัฒนาตนเอง ใช้ชีวิตแบบไปตามยถากรรมแบบที่พ่อแม่เคยเป็น

นอกจากนั้นอาจประพฤติตนให้ตกต่ำยิ่งกว่า คือนอกจากไม่แสวงหาทางในการทำมาหากินแล้ว ยังปล่อยตัวปล่อยใจให้ไหลไปตามกิเลส เป็นทาสของความโลภ โกรธ หลง นำความเสื่อมมาสู่ตนไม่เข้าหาผู้รู้ แล้วก็ตายจากไปโดยที่ไม่มีทั้งทรัพย์และอริยทรัพย์ ไม่มีชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จักมักคุ้นกับใครเลย

3. มาสว่าง แต่ไปมืด คนประเภทนี้ มักเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องของการกระทำ คิดว่าตนเองเกิดหนเดียวตายหนเดียว หลงระเริงกับสิ่งได้รับติดตัวมาตั้งแต่เกิดเพราะเคยสร้างกรรมดีไว้ก่อน แต่มีความประมาทในชีวิต จึงใช้ต้นทุนที่มีอยู่ทั้งหมดให้หมดไป

คือแม้จะเกิดมาในตระกูลที่ดี ร่ำรวยแล้วแต่กลับทำทุกอย่างให้พินาศไปหมด เกียจคร้าน ไม่ทำมาหากิน นอกจากนั้นยังหลงไปในอบายมุข เสพแต่กามกิเลส ไม่สนใจจะใช้ชีวิตให้ถูกต้อง เมื่อตายไปก็ไม่เป็นที่จดจำ และยังต้องรับผลกรรมให้ยากจนในชาติถัดไป

4. มาก็สว่าง ไปก็สว่าง คนประเภทนี้นับว่าเป็นคนที่โชคดีที่สุด เพราะเคยทำบุญสนับสนุนไว้ดี พ่อแม่เตรียมสมบัติพัสถานไว้ให้มากมาย และเมื่อเติบโตขึ้นแล้วยังมุ่งหน้าสร้างสรรค์ความดีให้มากยิ่งๆ ขึ้นไป อาจร่ำรวยได้ยิ่งกว่าพ่อแม่ พ่อแม่ก็พร้อม ลูกก็พร้อม ลูกอาจทำได้ดีกว่าพ่อแม่ เพราะมีแนวความคิดในการไม่ประมาทในชีวิต ถือว่าตนเองเกิดมาดีแล้ว ต้องทำดีมากขึ้น มีจริตในบุญ มีความคิดที่ดีงามเป็นที่ตั้ง

คนที่มีมากแล้วยิ่งไม่ประมาทเช่นนี้ มักกลายเป็นผู้ที่มีความสำคัญในวงสังคม เป็นผู้มีชื่อเสียงและเป็นผู้ที่มีความเจริญได้สูงสุด เป็นที่จดจำทั้งตอนที่มีชีวิตอยู่และเมื่อเสียชีวิตไปแล้วก็ ยังเป็นบุคคลตัวอย่างให้เป็นกรณีศึกษาแก่คนรุ่นหลัง ถือเป็นบุคคลต้นแบบได้

นี่คือเหตุผลของคำถามที่ว่า เหตุใดคนเราถึงเกิดมารวย และในด้านตรงกันข้ามก็สามารถตอบคำถามได้ด้วยว่า เหตุใดจึงเกิดมาจน แต่กรรมเก่านั้นจะเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญเท่า "กรรม ณ เวลาปัจจุบัน" ที่เราจะมุ่งเน้นในการสร้างคุณงามความดีคือเหตุแห่งความร่ำรวยใหม่ๆ มากแค่ไหน เราท่านทั้งหลายอยากเป็นคนประเภทใดใน สี่ประเภทนี้ แต่ละท่านคงพอจะทราบคำตอบด้วยตัวเอง

ขอเชิญพบกับคำตอบแห่งความร่ำรวยที่คุณได้ทำแล้ว ต่อให้หนีไปสุดหล้าฟ้าเขียวแค่ไหนก็รับรองว่าคุณหนีมันไม่พ้นแน่นอน

ขอบคุณ torthammarak.wordpress.com


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
ตามข่าวteenee.com จาก LineToday เข้าไปคลิ๊กกดติดตามได้เลย
กระทู้เด็ดน่าแชร์