กระเป๋าธรรมะฉุกเฉิน

กระเป๋าธรรมะฉุกเฉิน




โดย หนูดี วนิษา เรซ


ใครที่คิดจะบินสูง ยิ่งต้องเจอแรงเสียดทานมากกว่าคนธรรมดาเป็นเท่าตัว... ถ้าอยากเป็นคนเก่งหรือเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กเรียนเก่ง เราต้องมีเครื่องมือดูแลตัวเองที่ได้ผลจริงๆ ค่ะ เพราะเราจะโดนกระทบกระทั่งทางอารมณ์ตลอดเวลา การฝึกตัวเองให้ทนต่อทุกสถานการณ์นั้นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

สิ่งหนึ่งที่หนูดีพบว่าเป็น "อุปกรณ์กู้ชีพฉุกเฉิน" ของหนูดีไม่ว่าจะเดินทางไปมุมไหนในโลกนี้คือ "ธรรมะของพระพุมธเจ้า" นี่ล่ะค่ะ...ของดีใกล้ตัวที่คนไทยบางครั้งมองข้ามไป เพราะความเคยชินที่เห็นหลังคาวัดอยู่แทบทุกโค้งถนน แต่รู้ไหมคะว่า สำหรับคนไกลบ้านอย่างหนูดี แถมยังต้องอยู่ในแวดวงที่คนเก่งๆ ทำงานกันแบบเอาจริงเอาจัง จนไม่มีใครมานั่งดูแลใจเรได้นอกจากตัวเราเองนั้น... คำที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้จึงได้มาช่วยชีวิตเด็กหญิงคนหนึ่งในแดนไกลในเวลาหลายพันปีหลังจากที่ท่านไม่ได้อยู่ในโลกนี้แล้ว...มาดูดีกว่าว่าคำสอนโบราณหลายพันปีก่อนอันไหนที่หนูดีขอเลือกมาใช้ในยุคปัจจุบันทันสมัยจนฝ่าฟันเรียนจบมาได้อย่างมีความสุขค่ะ

สิ่งนี้...ก็จะผ่านไปเช่นกัน

ศาสนาพุทธสอนว่าทุกสิ่งย่อมมี "เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป" ตามกฎไตรลักษณ์ใช่ไหมคะ แต่ฝรั่งจะมีคำใกล้เคียงกันว่า This too shall pass... เป็นคำปลอบใจตัวเองค่ะว่า "และสิ่งนี้ก็จะผ่านไปเช่นกัน" เวลามีอะไรที่กระทบกระเทือนใจเกินจะทนได้ไหวในเวลานั้น หนูดีจะถอนตัวเองออกมาจากสถานการณ์เลย แล้วคิดว่า เอาน่า และพรุ่งนี้ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไป อีกสิบปีเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องเล็กและเราจะมองย้อนกลับมาที่วันนี้และหัวเราะกับตัวเองก็ได้...ไม่มีอะไรคงทนถาวรตลอดกาล แม้แต่ความสุขความทุกข์... วิธีคิดแบบนี้ ช่วยได้มากเวลาเราถูกตำหนิเรื่องงาน หรือเวลาต้องขึ้นไปยืนบนเวทีเพื่อรายงานผลการวิจัยต่อหน้าผู้ฟังที่น่ากลัวเป็นจำนวนมาก ที่เรามักจะคิดว่า "เราจะตายไหมนี่" ...เท่าที่ผ่านมา หนูดียังไม่เคยเห็นใครตายเลยนะคะ...เห็นแต่ทำผิดพลาดแล้วตกใจตอนนั้น...แต่คล้อยหลังไปสักสองสามวัน คราวนี้เอามาหัวเราะกันขำกลิ้งเลยค่ะ ...อย่างที่บอกเนอะ... "แล้วสิ่งนี้ก็จะผ่านไปเช่นกัน"...เป็นหลักการไม่ยึดติดค่ะ อะไร อะไรก็ไม่พ้นกฎไตรลักษณ์ คือเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป... คิดได้อย่างนี้จะช่วยคลายทุกข์ของนักเรียนอย่างพวกเราได้เยอะค่ะ

ตัดใจจากผลงาน

เด็กเรียนเก่งจะชอบคิดว่า เราลงทุนลงแรงไปเท่าไร ต้องได้ผลการเรียนตอบกลับมาดีเท่านั้น... คิดอย่างนี้ก็ผิดตั้งแต่เริ่มแล้วค่ะ และเป็นการเตรียมตัวเองให้เดินเข้ากองทุกข์โดยไม่จำเป็น อันดับแรกเลยคือ เราต้องเข้าใจในเรื่องของ "อำนาจ" ให้ถูกต้อง

เราในฐานะนักเรียนมีอำนาจเหนือการเรียนรู้ของเรา มีอำนาจเหนือถ้อยคำที่เราจะเขียนในข้อสอบหรือในรายงาน หรือในข้อมูลวิจัยของเรา...อำนาจเราหมดแค่ตรงนี้เท่านั้นค่ะ...เท่านี้จริงๆ

เมื่อเราส่งงานไปแล้ว หรือสอบไปแล้ว...คราวนี้อำนาจก็อยู่ในมือครูค่ะ...เราทำได้แค่ประกอบเหตุแต่ "ผล" จะเป็นอย่างไรนั้น เราต้องตัดใจให้ได้ ไม่ว่าคำตอบสุดท้ายของคะแนนเราจะเป็นเท่าไร ห้ามเอาใจไปผูกเด็ดขาด ต้องทำใจให้ได้เหมือนนักพนันเลย กล้าได้กล้าเสีย...เด็กเรียนเก่งต้องใจนักเลงพอสมควร และการมีใจนักเลงแบบนี้ ผู้ชายผู้หญิงก็เป็นได้เท่ากัน...หนูดีเคยมีเพื่อนผู้ชายคนหนึ่ง เรียนเก่งมากมาจากประเทศเยอรมัน...ในวันที่พวกเราเรียนจบที่ฮาร์วาร์ดนั้น เขาได้รับจดหมายปฏิเสธไม่รับเข้าเรียนต่อระดับปริญญาเอกในโปรแกรมเดียวกันนี้ที่ฮาร์วาดร์ดค่ะ เขาโกรธแค้นคุณครูมากว่าไม่เห็นคุณค่าของเขา และด้วยความโกรธแค้นนั้น เขาจึงไม่ยอมเข้าร่วมพิธีรับปริญญาอันแสนศักดิ์สิทธิ์ในสนามหญ้ากลางมหาวิทยาลัยของเรา ซึ่งเป็นประเพณีเก่าแก่เป็นร้อยๆ ปี และใครๆ ก็เฝ้ารอรวมถึงพ่อแม่ด้วย...วันนั้น พ่อแม่ปู่ย่าตายายบินกันมาจากทุกมุมโลก เดินแก้มปริ บัตรเข้าร่วมงานนั้น มีคนแอบเอาไปขายในอินเตอร์เน็ตถึงใบละร่วมหมื่น...แต่เพื่อนคนนี้ประชดครูด้วยการบินไปยุโรปและไปปั่นจักรยานเสือภูเขาโดยไม่ติดต่อกับใครเลย...เมื่อพบเขาอีกครั้งก่อนกลับเมืองไทย หนูดีพบว่าเพื่อนมีหน้าตาบึ้งตึงโกรธแค้นตลอดเวลา และปีต่อมาเมื่อสมัครใหม่ เขาก็ได้รับเข้าเรียนปริญญาเอกดังใจหมาย...แต่เขาโยนทิ้งเวลาดีๆ ไปหนึ่งปีแถมอดมีส่วนร่วมในประสบการณ์ที่ใครๆ ก็อยากได้เพียงเพราะตัดใจไม่ได้จากผลงานและไม่ยอมรับการตัดสินของครู...แต่ในขณะเดียวกัน หนูดีมีเพื่อนผู้หญิงที่ถูกขโมยผลงานไปซึ่งๆ หน้าทำให้คะแนนของเขาเสียไปมาก และเขาเลือกทำในสิ่งที่หนูดีต้องคารวะหัวใจของเขาเลย คือการไม่ฟ้องครูเ พราะจะทำให้เพื่อนผู้ชายเท่านั้นเสียอนาคตจนอาจเรียนไม่จบ และเขาเลือกที่จะ "ให้อภัย" อย่างเงียบๆ โดยไม่ได้เรียกร้องให้เพื่อนมาขอโทษเลย...หัวใจที่ยิ่งใหญ่แบบนี้เป็นได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิงค่ะ...เกิดเป็นหญิงเก่งก็ต้องมีหัวใจใหญ่ เกิดเป็นชายเก่งก็ต้องทำให้ได้ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน...สิ่งนี้ไม่เกี่ยวว่าเราเกิดมาเป็นเพศไหนเลยค่ะ ทุกคนฝึกได้เหมือนกัน...อยู่ที่ใครตั้งใจจะเป็นเด็กเรียนแบบไหน... ใจใหญ่หรือใจอ่อนแอ

และอย่าลืมว่า เราทำได้แค่ "ประกอบเหตุ" เท่านั้น แต่นอกจากเหตุก็ยังต้องมี "ปัจจัยแวดล้อม" อีกมากมายว่าจะออกมาเป็นผล...มีพระท่านหนึ่งยกตัวอย่างไว้ได้ดีมากๆ คือ ท่านบอกว่า เปรียบเป็นการปลูกมะม่วงนะคะ เมล็ดมะม่วงเป็น "เหตุ" ส่วน "ดิน น้ำ แร่ธาตุในดิน ความชุ่มชื้นในอากาศ แสงแดด เชื้อโรค" นั้นเป็น "ปัจจัยแวดล้อม" การที่เราจะได้กินลูกมะม่วงนั้น นอกจากเราจะเอาเม็ดไปฝังลงดินแล้ว เรายังต้องพึ่งพาปัจจัยแวดล้อมด้วย พระพุทธเจ้าท่านถึงได้เรียกว่า "เหตุปัจจัย" ต้องถึงพร้อม

ขนาดเหตุ ยังแยกออกจากปัจจัย...ดังนั้น เรื่องผล...อย่าไปคาดหวังค่ะ ทำสิ่งที่อยู่ในอำนาจเราให้ดีที่สุดก็สุดยอดแล้ว ผลจะเป็นอย่างไร...อย่าเอาใจไปผูก...ทำใจได้แบบนี้ ไม่มีวันทุกข์เพราะเกรดแน่นอน

เบิกบาน...ที่นี่ เดี๋ยวนี้
(คำสารภาพของเด็กเรียนจับปลาสองมือ)

ใครที่รอให้เรียนจบแล้วค่อบมีความสุข...บอกได้เลยว่า ผิดหลักศาสนาพุทธค่ะ เพราะพระพุทธเจ้าได้ทรงสอนว่า ให้เราเป็นสุขในปัจจุบัน...ดังนั้น หนูดีจึงไม่รอช้า จัดการชีวิตให้เป็นสุขเรื่อยๆ ทุกวันตามคำสอนของผู้ชาย ที่หนูดีนับถือที่สุดในโลกท่านนี้ ...แต่ก็ไม่ละทิ้งความสุขในอนาคตนะคะ เรียกว่า หนูดีเป็นเด็กเรียนที่จับปลาสองมือ คือจะเอาทั้งสุขในปัจจุบันและสุขในอนาคตค่ะ

วิธีการก็คือ หนูดีวางแผนการเรียนให้ดี...ใช้เวลาให้ถูกต้อง ท่องหนังสือให้ถูกหลัก...เรียกว่า ประกอบเหตุปัจจัยแห่งการเป็นนักเรียนที่ดีให้ถึงพร้อม จะได้จบแบบเกรดเฉลี่ยสวยๆ กลมๆ ตามความชอบดั้งเดิม...นั่นเป็นสุขในอรนตร...แต่ให้หนูดีสุข สนุกสนาน สงบ สบายได้เรื่อยๆ เช่น ได้กินขนมที่ชอบ ได้ออกกำลังกาย ได้นั่งเล่นกับเพื่อนๆ ได้ทำงานอดิเรกที่รัก...สารพัดที่เป็นความสุขง่ายๆ ที่หนูดีจะสรรหาเข้ามาไว้... แถมยังไม่รวมถึงการมีโอกาสได้ศึกษาธรรมะ นั่งสมาธิเป็นประจำ จะได้เลือกที่มาของความสุขเล็กๆ เหล่านี้ ที่ไม่ก่อทุกข์ระยะยาวให้ภายหลัง...โอ้โห โลกนี้มีความสุขให้เราเลือกมากมาย เราก็ต้องเลือกอันที่ดีและปลอดภัยที่สุดสิคะ...นี่ล่ะค่ะสุขในปัจจุบัน ที่หนูดีหมายถึง ขอแค่ให้เราหมั่นสังเกตความชอบของเรา และเลือกให้ถูกเท่านั้นเอง

สร้างบ้านในใจ

เด็กเรียนอย่างพวกเราต้องเปลี่ยนที่อยู่ไปเรื่อยๆ ตามสถานที่เรียน...และเชื่อเถิดค่ะ ยิ่งเราเรียนเก่งมากขึ้นเท่าใด โอกาสในการเรียนยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น...ใครเลยจะรู้ว่าความเก่งของเราจะพัดพาเราไปถึงไหนได้บ้าง ดังนั้น บ้านของเด็กเก่ง คงไม่สามารถจำกัดอยู่ได้แค่บ้านเราที่ต่างจังหวัดหรือบ้านในกรุงเทพฯ

ตอนแรกๆ หนูดียังทำใจเรื่องนี้ไม่เป็น... เวลาต้องขึ้นเครื่องบินไปเรียนต่อก็จะร้องห่มร้องไห้เหมือนมีคนตาย...เคยมีครั้งหนึ่งอาละวาดไม่ยอมกลับไปเรียนจนแม่ต้องให้สัญญาว่าทันทีที่มีวันหยุดจะซื้อตั๋วให้กลับมาทันที...และหนึ่งเดือนหลังจากนั้นมีวันหยุดแค่หนึ่งสัปดาห์ประจำฤดูใบไม้ผลิ หนูดีก็เดินหน้าแป้นลงจากเครื่องบินที่กรุงเทพฯ มากินข้าวเหนียวมะม่วงที่เมืองไทย แค่หกวันแล้วกลับไปเรียนต่อ...ซึ่งมองย้อนกลับไปตอนนี้แล้วนับว่าเป็นการใช้เงินอย่างไม่ฉลาดเลย แต่ตอนนั้นคุณแม่บอกว่ายังดีกว่าให้หนูดีโทรศัพท์ข้ามประเทศมาร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือด...แล้วโทรมาก็ไม่พูดไม่จา ร้องไห้อย่างเดียว เพราะคิดถึงบ้านจนพูดไม่รู้เรื่อง...จับตัวใส่เครื่องบิน กลับมาให้สิ้นเรื่องสิ้นราวยังราคาถูกกว่าค่าโทรศัพท์ข้ามประเทศ ซึ่งเมื่อเกือบสิบปีก่อนนั้นนาทีหนึ่งแพงเอาการ...เอาเป็นว่าตอนนั้นหนูดีคิดได้แค่ว่า บ้านหนูดีคือเมืองไทย ที่ไหนก็ไม่ดีเท่าบ้าน ที่ไหนก็ไม่เหมือนบ้าน...รักเมืองไทยที่สุดในโลก

เพื่อนฝรั่งเคยมานั่งปลอบหนูดีว่า Home is where the heart is และหนูดีก็แปลเอาเองว่า "หัวใจของเราอยู่ที่บ้าน"...แล้วก็ร้องห่มร้องไห้ต่อไปอีกว่า เห็นไหม...พอไม่ได้อยู่บ้านหนูดีถึงได้จะขาดใจแบบนี้...แต่จริงๆ แล้ว ประโยคนี้แปลได้อีกอย่างว่า "หัวใจของเราอยู่ที่ไหน ที่นั่นก็คือบ้านของเรา"

ปีหลังๆ หนูดีเริ่มทำใจว่า...เอาล่ะ จะทำให้ประเทศนี้เป็นบ้านที่สองของเรา ก็เริ่มมีเพื่อนมากขึ้นจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก เริ่มสนุก เริ่มมีกิจกรรม...แต่ก็ยังโหวงเหวงในใจตลอด... และทุกหนที่กลับบ้านได้ก็จะรีบกลับทันที ทั้งๆ ที่ปิดเทอมบางช่วงเพื่อนๆ จะอยู่ท่องเที่ยวกันต่อทั้งกลุ่ม หนูดีก็ไม่สนใจใยดี...พลาดโอกาสอะไรดีๆ ไปเยอะพอควร

จนวันหนึ่งหนูดีมีโอกาสได้ฝึกสมาธิแบบเซน โดยพระสงฆ์จากหมู่บ้านพลัม ประเทศฝรั่งเศส ท่านสอนให้ร้องเพลงน่ารักมากว่า "ฉันได้กลับมา กลับมาบ้านแล้วในปัจจุบัน อันประเสริฐสุด ฉันมั่นคง ฉันเป็นอิสระในปัจจุบัน ฉันดำรงอยู่" และสอนให้นั่งสมาธิด้วยการสร้างบ้านในใจหลังหนึ่ง...เป็นบ้านที่เล็กๆ สงบ มั่นคง มีน้ำตก มีลำธาร มีนกร้อง...และเวลาที่เรารู้สึกโหวงเหวงในใจก็ให้กำหนดจิตกลับมาที่บ้านในใจไปด้วยเสมอ

เทคนิคนี้ใช้เวลาเราเสียใจ โมโห โกรธ...ขาดสติ ก็ได้เช่นกันค่ะ ทันทีที่เรารู้สึกเช่นนั้น ให้หยุดทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วหายใจเข้าออกลึก ช้ายาว...จินตนาการถึงบ้านหลังนี้แล้วเดินเข้าไปนั่งพักในบ้านเลยค่ะ เพราะเราควบคุมโลกภายนอกไม่ได้...แต่โลกภายในใจเราเป็นของเราคนเดียวนี่คะ...ใครเขาทำให้โกรธ เราก็แค่อย่าเชิญเขาเข้ามาในบ้านหลังนี้เท่านั้นเอง...

อ่านถึงตรงนี้แล้ว...ลองวางหนังสือลง...ใช้เวลานิ่งๆ สักห้านาทีหลับตาแล้วหายใจเข้าออกสบายๆ แล้วลองสร้างบ้านในใจไว้สักหลังนะคะ...เด็กเรียนหนักทุกคนควรมีบ้านใจในค่ะ เพราะเราต้องมี "ที่พักใจ" ตลอดเลย เวลาเรียนเหนื่อยๆ และที่ไหนก็ไม่ดีเท่ากับบ้านเล็กๆ หลังนี้ค่ะ...ที่สำคัญ ถ้าบ้านจริงๆ ของเราไม่มีอะไรที่เราอยากมีก็ลองจินตนาการเพิ่มได้ตามสะดวกเลย...บ้านจริงๆ ของหนูดีไม่มีน้ำตก หนูดีก็คิดเพิ่มเสียเลย แถมหลังบ้านหนูดียังเป็นภูเขาที่ครึ้มตลอดทั้งปี มีเสียงนกร้อง มีเสียงห่านป่า...เป็นบ้านที่น่าอยู่มากค่ะ

(หากท่านไหนอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเข้าไปเยี่ยมชมและรับฟังเพลงหมู่บ้านพลัมได้ที่ www.thaiplumvillage.org และหนังสือแนะนำสำหรับน้องๆ ที่อยากฝึกโยคะดูแลบ้านในใจ ให้ลองอ่าน "โยคะบ้านภายใน" โดยคุณสุวรรณา โชคประจักษ์ชัด ดูนะคะ)

ระมัดระวังเรื่องความสัมพันธ์...ศีลห้าช่วยชีวิต

เด็กเรียนเก่งโดยที่ทำตัวน่ารัก ไม่ข่มใครแถมชอบแบ่งปันความรู้ไปทั่ว...มักจะเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนมาหลงนัก มามอบหัวใจให้เราอยู่เรื่อยๆ...หนูดีไม่มีสิทธิจะตัดสินว่า การมีแฟนในวัยเรียนเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี เพราะเราไม่สามารถมีคำตอบตายตัวได้ในเรื่องนี้ ซึ่งทุกสิ่งขึ้นอยู่กับวัย กับสภาพแวดล้อมและกับสถานการณ์ในเวลานั้น ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะตัวและเฉพาะบุคคล...คำตอบสำหรับน้องๆ วัยมัธยม กับคำตอบสำหรับรุ่นพี่ที่เรียนปริญญาเอใกล้จบแล้ว คงไม่มีวันเหมือนกันไปไปได้...แม้เขาจะเป็น "นักเรียน" เหมือนๆ กัน

แต่สิ่งหนึ่งที่หนูดีกระทำ คือ การดูแลหัวใจตัวเองและหัวใจคนอื่นไปพร้อมๆ กัน ...เรามีหน้าที่เรียนให้ดี หากใครเข้ามาคบกับเราแล้วไม่ขัดขวางเส้นทางสู่คะแนนอันยอดเยี่ยม ยอมรับในสิ่งที่เราเป็น เช่น เราอาจมีเวลาคุยโทรศัพท์น้อยกว่าคนอื่นๆ หรือ ความสนใจของเราคงไม่ใช่แค่ เสาร์อาทิตย์ไปดูหนัง แต่อาจเป็นการชวนกันไปเรียนรู้อะไรใหม่ๆ และตัวเราในฐานะเด็กเรียนก็ควรมีเวลา "ดูแลใจ" ของคนอีกคนหนึ่งเช่นกัน จึงจะสมดุล และเป็นความรักที่เอื้อกับการเป็นนักเรียนมืออาชีพ

แต่หากเราหวังเพียงจะให้เขามาดูแลเรา...และให้ความหวังอีกฝ่ายหนึ่งโดยไม่เหมาะสม...เท่ากับเราได้ละเมิดศีลห้าไปแล้วโดยไม่เจตนา เพราะหนึ่งในเบญศีลข้อที่สามนั้น คนมักมองเผินๆ ว่า เป็นแค่การไม่ละเมิดสามีภรรยาผู้อื่น...แต่จริงๆ แล้วศีลข้อนี้ คือการมีความรับผิดชอบในเรื่องความสัมพันธ์ เราบอกว่าเรารักใคร เราต้องดูแลคนนั้นให้ได้...ถ้าเรายังทำไม่ได้ในวันนี้ ให้บอกเขาตรงๆ ว่า เรารู้จักกัน เป็นเพื่อนกันสนิทกันได้ แต่เกินกว่านั้น...ขอค่อยๆ ดูไป...ชีวิตนี้ยังมีอีกยาวนัก และโดยเฉพาะสำหรับคนเก่ง อย่ามองอะไรแค่ตื้นๆ ใกล้ๆ

วิธีการดูแลใจ...ค่อยเป็นค่อยไปนั้น...ปลอดภัยที่สุดและเลี่ยงการ "อกหักจนไม่อยากอ่านหนังสือสอบ" ได้อย่างมาก และเป็นวิธีที่หนูดีและเพื่อนๆ ใช้ปกป้องใจมาแล้วในวัยเรียน...รักใครคบได้ค่ะ แต่ดูแลระวังใจตัวเองด้วย เพราะเรื่องนี้ทำเอาเด็กเรียนเก่งหลายคนเป๋จนเกือบเรียนไม่จบมาแล้ว...เก่งแค่ไหน ถ้าดูแลความสัมพันธ์ไม่เป็น ก็จอดทุกราย จะเก่งทั้งทีต้องเก่งทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียนด้วยนะคะ...คิดอะไรไม่ออกจริงๆ ก็ท่องศีลห้าไว้เลยค่ะ หนูดีทำมาแล้ว ได้ผลดีมากๆ

...ในฐานะพ่อแม่ ถ้าเราเริ่มสอนสิ่งเหล่านี้ให้ลูกตั้งแต่เล็กๆ...วันหนึ่งเมื่อเขาโตขึ้นและต้องจากไปเรียนต่อในที่ไกลๆ ไม่ว่าจะเป็นต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ เราจะได้ไม่ต้องห่วงเท่าไรว่าเขาจะดูแลใจเขาอย่างไร...ศาสนาพุทธนี่ล่ะค่ะ ของดีใกล้ตัว หยิบมาใช้ได้ในทุกสถานการณ์ของชีวิตจริงๆ




นิตยสารบันทึกคุณแม่


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์