ชีวิตไม่แน่นอน

ชีวิตไม่แน่นอน


เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วมีผู้หญิงคนหนึ่ง
เรียนจบปริญญาโททั้งสาขาบริหารธุรกิจและสาขาเศรษฐศาสตร์
จากมหาวิทยาลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ในขณะที่เธอมีอายุเพียงยี่สิบปี

ในวันนั้นเธอคิดว่า ความรู้ที่เธอเรียนมาทางโลก
ความตั้งใจดี เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่เป็นคนทำงานที่ดี
เพียงพอแล้วจะทำให้ชีวิตเธอมีความสุข

พออายุยี่สิบสองปี เธอสามารถซื้อรถเบนซ์ด้วยตัวของเธอเอง
วันที่เธอขับรถคันใหม่ไปทำงาน
ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เธอหยุดแล้วถามตัวเองว่า
วัตถุที่เราอยากได้นักอยากได้หนา
คิดว่าเมื่อได้มันมาแล้วจะทำให้มีความสุขอย่างแท้จริง

ทำไม ความสุข ความตื่นเต้น มันมีอยู่แค่ชั่วขณะเดียวแล้วจางหายไป
แล้วอะไรล่ะที่จะเป็นความสุขที่ยั่งยืนแท้จริงของมนุษย์


แต่ความสงสัยในขณะนั้นไม่มีกำลังพอที่จะให้เธอค้นหาคำตอบ
เธอก็ยังดำเนินชีวิตในแบบเดิม
และเริ่มทำธุรกิจของตัวเองเมื่ออายุยี่สิบห้าปี
ในขณะที่เธอภาคภูมิใจในความสำเร็จ
มั่นใจตัวเองที่สุด รู้สึกเหมือนโลกทั้งโลกอยู่ในกำมือ

แล้วเธอก็สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอสร้างที่เธอมีภายในพริบตา
จากคนที่เคยมั่นใจในตัวเองกลายเป็นคนที่รู้สึกล้มเหลว
ไม่อยากพบหน้าผู้คน เธอหนีไปอยู่บ้านคุณพ่อคุณแม่ที่ ตจว.
เวลาที่ตื่นนอนในตอนเช้าทุกวัน
เธอไม่สามารถที่จะลุกขึ้นมาจากเตียงได้
ความรู้สึกเหมือนเลือดในตัวมันเหือดแห้งไปทุกหยด
ใครจะมาบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดาของโลก
เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต ก็ไม่เข้าใจ
ก็เราทุกคนถูกสอนมาว่า ถ้าเราตั้งใจเรียน เราจะมีงานดีๆ
ถ้าเราตั้งใจทำงาน ชีวิตก็จะเจริญรุ่งเรือง

แต่ไม่มีใครเคยบอกเราอย่างแท้จริงว่า
ไม่ว่าเราจะทุ่มเทสักเพียงไหน
ทุกอย่างในชีวิตมันก็ไม่แน่เสมอไป
เราทำได้แค่สร้างเหตุ เหมือนปลูกต้นไม้ รดน้ำ พรวนดิน ไล่แมลง
แต่ปัจจัยที่จะช่วยให้ต้นไม้เจริญเติบโต หรือตายไปมีมากมาย
บางอย่างเราเลือกได้ บางอย่างเราก็เลี่ยงไม่ได้
ผลของมันจึงไม่แน่เสมอไป
แล้วอะไรล่ะที่เป็นความมั่นคงที่แท้จริงของชีวิตเรา

ชีวิตไม่แน่นอน


เหตุการณ์ข้างต้นเล่าให้ฟังว่า
ชีวิตไม่มีความแน่นอน ที่เราคิดว่า
เรามีความสุข มั่นคง ดูแลตัวเองได้
เราไม่มีทางจะรู้ได้เลยว่า วันใดวันหนึ่งจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเรา
กับสิ่งที่เรารัก ตอนที่เรารับรู้เรื่องนี้
เราอาจรู้สึกสงสารบ้างเล็กน้อย
แต่ถ้าตัวละครในเรื่องนี้เปลี่ยนไปแค่คำเดียว
จากคำว่า เขา เป็น เรา สามีเรา ลูกเรา บริษัทเรา เงินของเรา
ใจเราคงไม่หยุดแค่สงสารบ้างเล็กน้อยแน่ๆ
คำๆเดียว แต่มีกำลังมหาศาลที่จะสร้างความทุกข์ในใจเรา

คือคำว่า "ของเรา"

ของของคนอื่นจะตาย ล้มละลาย สูญเสีย ไม่เป็นไร
อย่าเป็นของเราก็แล้วกัน
แต่ดิฉันไม่โชคดีเหมือนท่านผู้อ่าน
เพราะคนที่ตายคนนั้นคือสามีของดิฉัน
และเด็กคนนั้นเป็นลูกของดิฉันเอง

ขณะที่ดิฉันกำลังสับสนไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรกับชีวิต
มีผู้ใหญ่ท่านนึงมาที่งานศพมาถึงท่านก็เล่าว่า
ในสมัยพุทธกาล มีแม่อยู่คนหนึ่งชือนางกีสาโคตมี
ลูกของเธอเสียชีวิต เธอวิ่งขอร้องให้คนช่วยชุบชีวิตลูก
จนมาพบพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ก็ตรัสว่า
ถ้าท่านหาเมล็ดพันธุ์ฟักกาดจากบ้านที่ไม่เคยมีคนตายได้เราจะช่วยลูกท่าน
นางกีสาโคตมีก็วิ่งขอเมล็ดพันธุ์ผักกาดจากบ้านต่างๆทุกบ้านก็ยินดีทีจะให้
แต่พอถามว่าในบ้านท่านเคยมีพ่อตาย แม่ตาย ตายายตาย ปู่ย่าตายาย ลูกหลานตายไหม
ทุกบ้านก็ตอบว่า เคยมี ทุกบ้าน

ขณะที่ได้ฟังนั้น สติของดิฉันกลับมาอีกครั้ง
คิดได้ว่าทุกคนในโลกนี้ต้องเคยเสียของ เสียคน เสียสิ่งที่ตัวเองรักที่สุดมาแล้วในชีวิตทั้งนั้น
เพียงแต่เวลาที่เป็นของ คนอื่นตาย คนอื่นเสียใจ เราไม่ทุกข์
เราจะทุกข์ก็ต่อเมื่อเรามีความรู้สึกว่า มันเป็นของเรา
และอยากให้อยู่กับเราดีๆตลอดไป

ตอนนั้นมีผู้ใหญ่ หลายๆท่านบอกกับดิฉันว่า
ถ้าไม่อยากล้มละลาย ไปหาเวลาอยู่กับตัวเอง
ศึกษาตัวเอง ศึกษาธรรมชาติธรรมดาของชีวิตเราซะ
ดิฉันไม่เคยเข้าหลักสูตรภาวนาที่ไหนมาก่อน
เคยได้ยินตั้งแต่สมัยเรียนที่ . ตปท ว่าเป็นที่นิยมกันมาก
ทั้งในนักธุรกิจ นักวิชาการ คนทั่วไป ว่ามีประโยชน์ ต่อชีวิต
แต่ไม่เคยศึกษา ไม่เคยสนใจว่ามีลักษณะอย่างไร

(พี่อ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง ผู้เขียนหนังสือเข็มทิศชีวิต)



ขอบคุณบทความจาก ธรรมจักร

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์