ทำอย่างไรจึงจะล้างสิ่งสกปรกออกจากใจให้หมด

ทำอย่างไรจึงจะล้างสิ่งสกปรกออกจากใจให้หมด


โดย ดังตฤณ


ถาม - มีความรู้สึกนึกคิดหลายอย่างที่ตกค้างอยู่ในใจ รู้ทั้งรู้ว่าเป็นความนึกคิดผิดๆ แต่ก็ตัดไม่ได้ เหมือนทำยังไงก็ล้างสิ่งสกปรกออกจากใจไม่หมด อย่างนี้ควรทำอย่างไรดีครับ ?

ตอน ที่พยายามจะเปลี่ยนความคิดแล้วมันไม่ยอมเปลี่ยนตามที่เราต้องการนี่แหละครับ เป็นโอกาสทองที่เราจะเห็นความจริงอันเป็นหนึ่งในแก่นความรู้ทางพุทธศาสนา นั่นคือ ความคิดไม่ใช่ของเรา ความคิดไม่ใช่สิ่งที่บังคับบัญชาได้ตามปรารถนา ความคิดเป็นเพียงสิ่งแปลกปลอมจรมารบกวนจิตใจชั่วคราว หรือสรุปย่นย่อคือ
ความคิดเป็นอนัตตา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวเรา ไม่มีเราในความคิด

เพราะฉะนั้น แทนการบังคับควบคุมหรือตั้งใจให้มันหายไปตามปรารถนา เราต้องเข้าใจกฎอนัตตา คือสร้างเหตุปัจจัยเพื่อให้ความคิดแปรไปในทางที่ดี และสำคัญคือคุณต้องทำเป็นขั้นเป็นตอน รวมทั้งให้เวลาอนัตตาเขาปรับเปลี่ยนสภาพกันบ้าง อย่าคาดหวังว่าทุกสิ่งจะรวบรัดรวดเร็วแบบเสกปุ๊บได้ปั๊บ เพราะถ้าเสกได้ดังใจ ก็แปลว่าความคิดเป็นสมบัติของคุณ ความคิดเป็นอัตตาของคุณจริงดังอุปาทาน

เหตุปัจจัยที่จะเปลี่ยนความคิดด้านร้ายให้กลายเป็นด้านดี มีดังต่อไปนี้

๑) เมื่อความคิดผิดๆ เกิดขึ้น ก็ให้ตระหนัก ให้ยอมรับว่ามันเกิดขึ้น อย่าปฏิเสธ อย่าหลอกตัวเองว่ามันไม่ได้เกิดขึ้น
การยอมรับตามจริงจะทำให้สติเกิดเต็มตัว และมีกำลังมากพอจะเห็นตามจริงในขั้นต่อๆ ไป

๒) เมื่อยอมรับได้ เห็นตามจริงได้ ก็อย่าไปฝืน อย่าไปโทษตัวเอง อย่าด่าตัวเองให้เกิดความทรมานใจ เพราะการจมปลักอยู่กับความทรมานใจและความรู้สึกผิดไม่เลิกรานั้น แทนที่จะเป็นผลดี กลับตอกย้ำให้อกุศลจิตเติบโตขึ้น เอาแค่ยอมรับตามจริง ไม่ต้องด่าตัวเอง ไม่ต้องหาทางกำจัดหรือขับไล่ความคิดแย่ๆ คุณจะเห็นว่ามันเกิดเองก็ดับเองได้ ถึงแม้เกิดบ่อยดับบ่อยให้เห็นอย่างน่ารำคาญ ในที่สุดคุณจะรู้สึกว่ามันเป็นเมฆหมอกและเงาดำแปลกปลอมที่จรมาแล้วจรไป ไม่ใช่หน้าที่ที่คุณจะต้องเสนอหน้าไปรับผิดชอบแต่อย่างใด

๓) ให้เฝ้าสังเกตว่าคุณมีใจยินดีไปกับความคิดร้ายๆ บ้างหรือไม่ ตอนยินดีกับความคิดร้ายๆ คนเรามักยิ้มอยู่ในหน้า หรืออย่างน้อยก็เกิดความมันเขี้ยวอยู่ข้างใน อันนี้เป็นสิ่งที่ต้องสำรวจตรวจตรา หากพบ ว่าครั้งใดที่คิดร้ายๆ แล้วเกิดความยินดี ก็ต้องเตือนตัวเองให้ทัน ว่านั่นเป็นอกุศล นั่นเป็นโทษ นั่นจะเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อนในภายหลัง แค่คิดเหมือนเล่นๆ ก็ได้ แล้วจิตจะค่อยๆ ฉลาดขึ้นเองวันต่อวัน

๔) สืบเข้าไปถึงต้นเหตุ คิดว่าจะทำอย่างไรให้เปลี่ยนความคิดจากอกุศลเป็นกุศลได้โดยไม่ต้องฝืนใจ ยกตัวอย่างเช่นที่เป็นกันมากในสังคมเมือง คือการเกลียดชัง หรือความรู้สึกริษยากันในที่ทำงาน ขอให้ลองตั้งมุมมองใหม่ มองแง่ดีที่คู่อริเราเขาเป็นประโยชน์ต่อสังคม แต่ถ้าไม่มีแง่ดีให้มองเลย ก็อาจต้องทำใจไปอีกแบบหนึ่ง คือเห็นเขาเป็นแบบฝึกหัด หรือเห็นเขาเป็น ‘ตัวแกล้ง' ให้จิตใจคุณตกต่ำ คุณกำลังเล่นเกมโหดๆ เกมหนึ่งที่มีตัวแกล้งอยู่กลาดเกลื่อน พอพิจารณาได้อย่างนี้ ก็สุดแท้แต่ใจคุณเองล่ะ ว่าจะยอมติดลบหรือเอาคะแนนเพิ่ม โดยมากเกมชีวิตจะไม่มีเสมอตัว มีแต่ลบกับบวก ถ้าลบก็ลบมาก ถ้าบวกก็บวกมาก หากวันหนึ่งคุณสะสมแต้มได้มากถึงขีดหนึ่ง ซึ่งทำให้เกิดความอบอุ่นใจ มีความสุขอย่างใหญ่กับการมองแต่แง่ดี คุณจะรู้สึกเหมือนเล่นเกมมาจนได้โบนัส และโบนัสนั้นก็คือความสุขที่ซื้อหาจากไหนไม่ได้ จะดีแค่ไหนถ้าคนเราไม่ต้องเครียด ไม่ต้องคิดมาก และไม่ต้องทรมานใจกับศัตรูในหัวคือความคิดร้ายของตนเอง ?


ที่มา dhammajak


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์