ธรรมชนะข้าศึก

ธรรมชนะข้าศึก

ธรรมชนะข้าศึก


พระเทพคุณาภรณ์ (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชรวรวิหาร


บุคคลผู้มีหลักธรรม 4 ประการ ย่อมชนะข้าศึกได้คือ 1.สัจจะ ความจริง 2.ธรรม ความประพฤติชอบ 3.ธิติ ความเพียร 4.จาคะ ความเสียสละ

1.สัจจะได้แก่ ความจริง แบ่งเป็น 2 อย่างคือ 1.ความจริงใจ 2.จริงวาจา

จริงใจนั้นได้แก่ การตั้งใจมั่นคือ มีจิตจำนงที่จะทำการสิ่งใด ก็พยายามทำไปจนการสิ่งนั้นสำเร็จสมประสงค์ แม้จะมีอุปสรรคอันใดเข้ามาขัดขวางก็ไม่ย่อท้อ หวาดหวั่นต่ออุปสรรคอันตรายนั้นๆ ดุจภูเขาศิลาล้วนมีแท่งทึบ ไม่หวั่นไหวเพราะลมและแดด ฉะนั้น ลักษณะเช่นนี้ชื่อว่า ความจริงใจ

ส่วนจริงวาจานั้นคือ เจรจาแต่คำจริง ไม่นำเอาสิ่งเท็จมาหลอกลวงให้ชาวโลกลุ่มหลง เจรจาคำใดไปแล้วก็มั่นคงไม่กลับกลอก เป็นวาจาที่คงที่ อันที่จริงการเจรจาถ้อยคำจริงนั้นง่ายกว่าการพูดเท็จ ไม่ต้องกลัวจะผิด แต่การพูดเท็จนั้นต้องระวังตัว เพราะว่ากลัวเขาจะจับพิรุธได้ คนที่ชอบพูดเท็จมักจะเอาตัวไม่รอด สักวันหนึ่งเขาต้องจับได้ ต่อไปก็ไม่มีใครเชื่อถือ ยิ่งคำเท็จนั้นเป็นการหลอกลวงให้ผู้อื่นเสื่อมเสียจากประโยชน์ด้วยแล้ว ก็จะทำให้ผู้คนหมดความเคารพนับถือ คุณ ธรรมใดๆ ที่เคยมีอยู่ก็จะพลอยสูญสิ้นไปด้วย เพราะตนเองขาดสัจจะคือความจริง วาจาสัตย์เช่นนี้ เป็นวาจาที่ดี มีรสหวาน ไม่มีสิ่งใดจะลบล้างได้ ดีกว่ารสหวานทั้งปวง

2.ธรรมแปลว่า สภาพผู้ทรงไว้ คือทรงผู้ปฏิบัติไว้ ผู้ใดประพฤติธรรม ธรรมก็ย่อมรักษาผู้นั้นไว้ ไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ความจริงคำว่า ธรรม นั้น เป็นคำกลางๆ มีมาแล้วแต่โบราณกาล หากแต่ขาดผู้ปรีชาญาณเลือกสรรเอามาใช้ เป็นได้ทั้งส่วนดีและส่วนชั่ว ถ้าต้องการหมายความข้างดีก็เติมคำว่ากุศล เข้าเป็นกุศลธรรม หมายถึงธรรมส่วนข้างดี เมื่อกล่าวโดยทางธรรมก็คือสุจริต เช่น ความประพฤติชอบด้วยกาย วาจา และใจ ถ้าต้องการหมายความข้างชั่ว ก็เติมคำว่าอกุศล เข้าเป็นอกุศลธรรม หมายถึงธรรมส่วนข้างชั่ว เมื่อกล่าวโดยทางธรรมก็คือ ทุจริต เช่น ความประพฤติชั่วด้วยกาย วาจาและใจ

3.ธิติแปลว่า ความเพียรเป็นเครื่องตั้งมั่น อันได้แก่ ความพยายาม ความบากบั่น ความก้าวหน้า บุคคลผู้พากเพียรเพื่อจะตั้งตัวในทางใดทางหนึ่ง ถ้ายังไม่ทันได้ลุถึงสิ่งนั้นๆ ไม่ควรถอยหลัง ควรพยายามต่อไป เพราะมีบางท่านว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น เมื่อพยายามทำไปแล้วแม้จะไม่สำเร็จผลที่หมายก็ยังได้รับความสบายใจว่า ตนเองได้ทำจนสุดกำลังความสามารถแล้ว

ผู้ปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน เมื่อได้สมาทานศีลอย่างเคร่งครัดแล้วบำเพ็ญปฏิบัติภาวนาอย่างแข็งแรงแล้ว ก็ไม่ควรละการสมาทานนั้นๆ ควรพากเพียร บากบั่นต่อไป ประพฤติให้ยั่งยืนจนกว่าจะได้รับผล

4.จาคะได้แก่ การบริจาคทรัพย์ ธรรมดาผู้คนอยู่ด้วยกันเป็นหมู่ต้องมีการสงเคราะห์เกื้อกูลกันตามฐานะ ในตระกูลอันหนึ่ง มารดาบิดากับบุตร สามีกับภรรยา ญาติกับญาติ มิตรกับมิตร ยังต้องเจือจานกันด้วยการให้สิ่งของ การให้อย่างนี้นับว่าการสงเคราะห์เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจกัน เพราะบุคคลผู้ให้ย่อมผูกไมตรีไว้ได้ ส่วนความเหนียวแน่นหวงแหนเสียดายทรัพย์สมบัติของตน ไม่ปรารถนาที่จะแบ่งปันให้คนอื่น ที่สุดตนเองก็เบียด เบียนตนเอง เรียกว่าความตระหนี่ ซึ่งตรงกันข้ามกับจาคะ ธรรมดาคนตระหนี่ย่อมไม่ต้องการที่จะเจือจานสงเคราะห์ใคร มีแต่เห็นแก่ได้ฝ่ายเดียว คนเช่นนี้ย่อมกลัวความหมดเปลือง ไม่ประสงค์จะคบค้าสมาคมกับใคร มีอัธยาศัยคับแคบ เมื่อการงานเกิดขึ้น ย่อมต้องทนทำแต่ผู้เดียว ไม่ค่อยมีใครช่วยเหลือ ถึงบางครั้งต้องเสื่อมจากประโยชน์นั้นๆ

ธรรมทั้ง 4 ประการนี้คือ สัจจะ ธรรมะ ธิติ จาคะ นี้ เมื่อมีในบุคคลผู้ใด ย่อมทำให้บุคคลผู้นั้น เป็นผู้มีความสัตย์ มีธรรม เมื่อจะประกอบกิจการใดๆ ก็ตั้งใจทำจริงไม่ย่อท้อ มีความพากเพียรพยายามไปจนกว่าประโยชน์จะสำเร็จ บุคคลเช่นนี้ย่อมไม่เป็นที่รังเกียจของใครๆ แม้ผู้ที่เป็นศัตรูอยู่ก่อน เมื่อได้ประสพอัธยาศัยอันดีงามย่อมละจากความเป็นศัตรู มีแต่จะอุปถัมภ์ค้ำชูให้ได้รับความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป

ผู้ที่ได้ยึดถือประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมนี้ จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมแล

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์