ละ วาง ถอนที่ใจ

ละ วาง ถอนที่ใจ




หลวงปู่แหวน สุจิณโณ


กามนี้มันหมุนรอบโลก มันเป็นเจ้าโลก กามกิเลสนี้แหละที่ทำให้เกิดสงครามต่อสู้กัน เกิดก็เพราะกาม ตายก็เพราะกาม รักก็เพราะกาม ชังก็เพราะกาม


การทุกอย่างนี้เรียกว่ากามกิเลส การต่อสู้กามกิเลสเป็นสงครามอันยิ่งใหญ่ กามกิเลสนี้ร้ายนักมันมาทุกทิศทุกทาง ความพอใจก็คือกิเลส ความไม่พอใจก็คือกามกิเลส กามกิเลสนี้อุปมาเหมือนแม่น้ำธารน้ำน้อยใหญ่ไม่มีประมาณไหลลงสู่ทะเลไม่มี ที่เต็มฉันใดก็ดี กามตัณหาที่ไม่พอดี ภวตัณหา วิภวตัณหาเป็นแหล่งก่อทุกข์ ก่อความเดือดร้อนไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งหมดอยู่ที่ใจ สุขก็อยู่ที่ใจ ทุกข์ก็อยู่ที่ใจ ใจนี่แหละคือตัวเหตุ ทำความพอใจให้อยู่ที่ใจ นี่หมั่นเพียรและตั้งสัจจะให้มั่น รักษาศีล รักษาตา รักษาหู รักษาตัว รักษาปาก สำรวมอินทรีย์ รักษาธาตุ 4 ขันธ์ 5 พิจารณาเข้าไป ตจปัญจกกรรมฐาน 5 กายคตากรรฐาน พิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงก็จะถอนได้ พวกหมู หมา เป็ด ไก่ มันก็เสพกามกันทั่วแผ่นดิน อย่าได้ไปอัศจรรย์ มีแต่ศีล สมาธิ ปัญญา ผู้ใดรักษาศีล ภาวนาเข้าจนเกิดสมาธิแล้ว สติก็ดิ่งเข้าไปแล้ว ก็จะได้ทำจิตทำใจของตนให้บริสุทธิ์ พระธรรมแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ท่านก็ชี้เข้าหาใจนี่แหละ ทำใจให้บริสุทธิ์ ให้มีสติสัมปชัญญะนำคืนออกให้หมด ถ้ามีสติแล้วก็ นำความผิดออกจากกายจากใจของตน อย่าหลงสมมติทั้งหลาย มีรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสอย่าเอามาหมักไว้ในใจ


กามตัณหา เปรียบเหมือนแม่น้ำไหลไปสู่ทะเลไม่รู้จักเต็มสักที อันนี้ฉันใด ความอยากของตัณหามันไม่พอ ต้องทำความพอ จึงจะดี เราจะต้องทำใจให้ผ่องใส ตั้งอยู่ในศีล ตั้งอยู่ในทาน ตั้งอยู่ในธรรม ตั้งอยู่ในสมาธิก็ดี ทุกอย่างเราทำความพอดี ความพอใจก็นำออกเสีย เวลานี้เราจะพักจิต ทำกายของเรา ทำใจของเราให้รู้แจ้งในกายในใจของเรานี้ รู้ความเป็นมา วางให้หมด วางอารมณ์ วางอดีตอนาคตทั้งปวง........ที่ใจนี่แหละ


เรื่องสังขารนี้ สังขารมันปรุง สังขารมันแต่ง มันเกิด มันแก่ มันเจ็บ มันดับ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา วางอยู่นี่แหละ อดีตอนาคตมันก็มานี่แหละ ตัดอดีตกับอนาคตลงหมด จิตดิ่งอยู่ในปัจจุบัน รู้ในปัจจุบัน ละในปัจจุบัน สางในปัจจุบัน ทำจิตทำใจของเราให้สว่าง ให้รู้แจ้งในมรรคในผล ในศีล ในสมาธิ ปัญญา เอาที่ใจนี้แหละ ให้มันสำเร็จขึ้นที่ใจ


กามตัณหา สังขารมันปรุง สังขารมันแต่ง มันเกิด มันแก่ มันเจ็บ มันดับ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา วางอยู่นี่แหละ อดีตอนาคตมันก็มานี่แหละ ตัดอดีตอนาคตลงหมด จิตดิ่งอยู่ในปัจจุบัน รู้ในปัจจุบัน สางในปัจจุบัน ทำจิตทำใจของเราให้สว่าง ให้รู้แจ้งในมรรคในผล ในศีล ในสมาธิ ปัญญา เอาที่ใจนี่แหละให้มันสำเร็จขึ้นที่ใจ


เวลาปฏิบัติจริงกิเลสมันมาได้ทุกทิศทุกทาง ใจนี้มันสำคัญ เหตุมันเกิดจากใจนี้ ตั้งสัจจะจริง การจริงวาจา จริงใจ อย่าไปหลงไปตามเขา ตามอารมณ์ ละทิ้งความที่เกิดขึ้นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย สมบัติของเจ้าพ่อเจ้าแม่ทั้งหมดนี้เป็นที่ตั้งของทาน เป็นที่ตั้งของมรรค เป็นที่ตั้งของพระนิพพาน จงละและวางให้เป็นพุทโธ ละวางหมดก็เป็นสุข ปล่อยวางก็สบาย


ละ วาง ถอนที่ใจ

เอา พุท หายใจเข้า โธ หายใจออก จะเอาพุทโธเป็นมรรคของใจ หรือเป็นอารมณ์ของใจก็ได้ เอาน้อย ๆ แต่ทำให้มาก อาศัยความหมั่นความเพียร ให้จริงทางวาจา จริงใจให้มีขันติบารมี อดทนทางกาย อดทนทางวาจา อดทนทางใจ


ความอดกลั้นเป็นบารมีธรรมอย่างเอก อาศัยความเพียรละกายทุจริต ละวจีทุจริต ละมโนทุจริต ละให้หมด เอาศีล ระวังตา หู จมูก ลิ้น กาย อินทรีย์ทั้ง 5 อย่างนี้สำคัญ ตานี้เห็นรูป ไม่พอใจก็ดี รูปที่มีวิญญาณก็ตาม ไม่มีวิญญาณก็ตาม เอาศีลนั่นแหละ เอาออกจากจิตจากใจของเรา ทำใจของเราให้สว่าง รักษาหู เสียงมาทางหู เกิดความพอใจก็ดี ไม่พอใจก็ดี นำออกให้หมด เอาศีลนั่นแหละนำออกให้หมด


กาม ตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เปรียบเหมือนแม่น้ำ ธารน้ำน้อยใหญ่ไม่มีประมาณไหลลงสู่ทะเล ไม่มีที่เต็มฉันใด กามตัณหาที่ไม่พอดี ภวตัณหา วิภวตัณหาเป็นแหล่งก่อทุกข์ก่อความเดือดร้อนไม่มีที่สิ้นสุด


ทำความพอใจให้มีขึ้นในใจ อย่าดื่มสุรายาเมา การดื่มสุรายาเมาเป็นการทำลายสมบัติของเจ้าพ่อเจ้าแม่ ก้อนนะ ก้อนโมนี้เป็นที่ตั้งของศีล เป็นที่ตั้งของธรรม เป็นที่ตั้งของมรรคของผล การเรียนวิชาฝ่ายโลกก็อาศัยก้อนนี้แหละ การจะรักษาศีล ให้ทานก็เอาสมบัติของเจ้าพ่อเจ้าแม่นี่แหละ การบำเพ็ญบุกุศล ก็เอาสมบัติของเจ้าพ่อเจ้าแม่นี้แหละเป็นที่ตั้ง


ความโกรธ ความหลง อกุศลธรรมเมาทั้งหลาย เมื่อเกิดขึ้นเรานั้นแหละเดือดร้อน เพราะฉะนั้นละให้หมด ทำใจของตนให้ผ่องใส เอาใจละ เอาใจวาง เอาใจถอน ละออก วางออก ถอนออก จากจิตจากใจของเรานี้ ใจของเราแต่งเอาได้ แต่งให้เป็นบุญก็แต่งได้ แต่งให้เป็นศีลก็แต่งได้ ให้ตั้งอยู่ในพระไตรสรณคมน์จนตลอดชีวิต ตั้งอยู่ในกุศลกรรมบถ 10 รักษากาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์ ตั้งอยู่ในสุจริตธรรม ตั้งอยู่ในศีล 5 ทำตนของตนให้เรียบร้อย


สติ

สติที่รู้เท่าทัน คิดขึ้นเรื่องใดก็ดับ คิดเท่าใดก็ดับถ้ามีสติพร้อมกับปรุงขึ้นดับ ปรุงขึ้นดับเรียกว่าสติพร้อมกัน คิดไปก็หลงไปลืมไปแปลว่าไม่มีสติ ถ้ามีสติแล้ว คิดขึ้นร้ายก็ดี คิดดีก็ดี รู้พร้อมกันนั่นแหละ สติรู้พร้อมกับดับลงทันทีนั่นแหละ ตัวสตินี้สำคัญ ถ้ามีสติก็มีปัญญาพร้อมกัน คิดดีก็ตาม คิดชั่วก็ตาม หลงก็ตาม โกรธก็ตาม คิดขึ้นแล้วมีสติมันก็ดับไปทันทีไม่ต้องไปคุมมัน มีสติแล้วจะมีปัญญา เมื่อไม่มีสติก็จะเผลอ เผลอแล้วก็จะหลงไป..... ตัวสติครั้นเกิดขึ้นพร้อมกันทุก ๆ เมื่อแล้ว เมื่อเวลามันเกิดขึ้นพร้อมกันคราวใดจะดับพร้อม ๆ กัน ถ้าไม่มีสติก็จะไม่ดับ


ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ไม่มีความเพียรจะเอาแต่ความสำเร็จให้ได้ เหลวไหลไปเสีย เมื่อมีสติก็ต้องมีความเพียร ความเพียรนั้นต้องรู้จักปฏิบัติเหมือนกัน ถ้าไม่รู้จักปฏิบัติ เพียรผิดไป ความเพียรกับความมีสติคืออันเดียวกัน มีสติแล้วใจก็ผ่องใสเบิกบานไม่หลงไม่ลืม คิดอย่างไรขึ้นมาก็จะดับลงไปพร้อมกับความคิดขึ้นนึกขึ้น ตัวสติจึงสำคัญยิ่งนัก



ที่มา
http://board.palungjit.com/
งานบำเพ็ญกุศล ครบรอบวันมรณภาพปีที่ 44
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ท่านพ่อลี ธมมธโร)
วันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2548


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์